1 ต.ค. 2019 เวลา 10:00 • ปรัชญา
"ความสำคัญของวันนี้"
พออายุมากขึ้น ผมชอบคิดถึงเวลาที่เหลืออยู่ของตนเอง คิดถึงนาทีสุดท้ายของชีวิตที่ต้องดับสูญไป คิดถึงว่าตอนนั้นจะเป็นยังไง ผมจะกลัวไหม เจ็บปวดหรือเปล่า หรือว่าแค่ง่วงแล้วก็หลับไป ดับสูญไปเสียสิ้น
ความตายเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องต้องเผชิญ ไม่ว่าเราจะนับถือศาสนาอะไรหรือมีความเชื่อแบบไหนเราต่างตระหนักถึงสัจธรรมข้อนี้ ถึงอย่างนั้นเราทุกคนก็ย่อมต้องกลัวการสูญเสียชีวิตของเรากันแทบทั้งนั้น ต่อให้เรามีเวลาเตรียมตัวดีเพียงใดก็ตาม
คงเพราะเหตุนั้น ผมถึงรู้สึกว่า ณ เวลาที่ยังมีเรี่ยวแรง เวลาอันเป็นปัจจุบันขณะนี้มีความสำคัญกับชีวิตมากเหลือเกิน แม้เราจะปล่อยให้เวลานั้นไหลผ่านตัวเราไป เหมือนการทำงานที่เราเฝ้ารอเวลาตอกบัตรหรือพิมพ์ลายนิ้วมือออกจากที่ทำงาน กลับบ้าน กินข้าว อาบน้ำ และรอเวลานอนหลับ ทว่าในแต่ละวินาทีที่ผันผ่านไป เราสามารถทำอะไรได้บ้าง และเราจะทำสิ่งที่มีความหมายอย่างไร
การแสวงหาความหมายหรือจุดประสงค์ของการมีชีวิตอยู่เลยกลายเป็นโจทย์สำคัญสำหรับมนุษย์ ถ้าเราไม่คิดมากและใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ เราคงไม่เครียดหรือซึมเศร้า เพราะเราก็แค่แสวงหาความสุขใส่ตัวจนเวลาล่วงเลยไปถึงยามแก่ ถึงตอนนั้นจะแก้ไขอะไรก็คงทำไม่ได้ แต่เพราะมนุษย์เรามีความสามารถในการคิดพิจารณา หรือถ้าพูดถึงศัพท์ภาษาอังกฤษก็คือคำว่า reflection ซึ่งหมายถึงการคิดสะท้อนกลับ และเราสามารถคิดสะท้อนกลับมาที่ตนเองเป็น self-reflection ได้ด้วย สิ่งนี้ทำให้มนุษย์สามารถมองเห็นตัวตนแต่อดีตจนปัจจุบัน และสามารถตั้งคำถามกับตัวเองได้ว่าเราได้ทำอะไรมาแล้วบ้าง ปัจจุบันเราเป็นอะไร และเราจะเดินทางไปยังที่ใดต่อ
ปัจจุบันจึงเป็นผลของอดีตและเป็นเส้นทางไปสู่อนาคต คำถามคือเราจะสามารถตระหนักรู้ถึงความเป็นปัจจุบันได้อย่างไร เพราะความเป็นปัจจุบันอาจไม่มีอยู่จริง มีแต่เวลาที่เลื่อนไหลไปเรื่อย ๆ และสิ่งที่เราเก็บเกี่ยวจากเวลาที่เลื่อนไหลก็คือความทรงจำ
ผมมักนึกย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่มีความสุขและตื่นเต้นเสมอ เช่น เมื่อจะเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศเพียงลำพัง ผมยังจำความรู้สึกนั้นได้ราวกับเพิ่งเกิดขึ้น ผมเดินเข้าสู่สนามบินชั้นในที่สนามบินสุวรรณภูมิ แบกเป้เดินทางหนึ่งใบ ถือไปบ้างสะพายบ้างด้วยความเมื่อย เวลาตอนนั้นราวเที่ยงคืน ผมเดินทางเพียงลำพัง ตื่นเต้นและประหม่า ในใจคิดว่าการผจญภัยรออยู่เบื้องหน้า จะได้ขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรกแล้ว .... มีความทรงจำมากมายในวันเพียงวันเดียว
ความน่าเศร้าของวันนี้คือ ทุกอย่างที่ผมจำได้เป็นอดีต ตัวตนของผมได้เลยผ่านจุดนั้นมา มีอายุมากขึ้น และกลับมานั่งทำงานประจำเหมือนคนทั่วไป ความตื่นเต้นและความสุขไม่อาจจับต้องได้นอกจากรู้สึกและจดจำไว้เท่านั้น
ความทรงจำหรือประสบการณ์คือขุมพลังแห่งความเบิกบานและความเศร้าหมองของเรา เป็นประตูสู่อดีตเพียงหนึ่งเดียวที่เราสามารถไขว่คว้าช่วงเวลาแห่งความสุขเอาไว้ หรืออาจชวนให้เรานึกถึงความทรงจำอันไม่สดใสซึ่งกลายเป็นพลังผลักดันให้เราลุกขึ้นสู้ หรือไม่ก็อาจเป็นชนวนเหตุแห่งความทุกข์ของเราในวันนี้
อาจจะกล่าวได้ว่า ณ ปัจจุบันที่เราใช้เวลาอยู่ทุกขณะจิตคือช่วงเวลาที่เราย้อนกลับไปสู่อดีต หรือก็คืออดีตประทับอยู่ในปัจจุบันผ่านความทรงจำของเรา ผู้คนจึงชอบโหยหาอดีต เพราะอดีตมักมีภาพจำที่สวยงามที่เรียกว่า nostalgia ซึ่งเราไม่อยากลืมเลือนเอาเสียเลย
แล้วเราควรทำเช่นไรดี หากเราไม่อยากลืมอดีตเราก็ไม่จำเป็นต้องลืม ขอว่าเราต้องตระหนักเสมอว่าอดีตก็คืออดีต อดีตเป็นรากฐานของปัจจุบัน แต่อดีตไม่ใช่ปัจจุบัน ตัวเราในวันนี้คือตัวเราที่ไหลไปกับกาลเวลาอย่างสม่ำเสมอ เราจึงควรตระหนักถึงปัจจุบันกาลมากกว่าจมจ่อมกับอดีต
แน่ล่ะว่าการพูดเป็นเรื่องง่าย แต่ทำเป็นเรื่องยาก นักจิตวิทยาที่ผมเคยสนทนาปัญหาชีวิตด้วยบอกว่าจิตใจของคนเรานั้นนิยมชมชอบนักกับการหวนกลับไปสู่ตัวตนที่คุ้นเคย เช่น นิสัยหรือบุคลิกบางอย่างที่เรากระทำสืบเนื่องมานาน พอสติของเราเผลอ เราก็จะกลับไปแสดงอากัปกิริยาดังกล่าวอีกต่อให้เราไม่ชอบเลยก็ตาม เช่นกัน การหวนคิดถึงอดีตก็อาจเป็นนิสัยที่เราหลายคนติด ถ้าลองว่างแล้วก็ต้องอดคิดไม่ได้ถึงวันวาน “ถ้าวันนั้นนะฉันทำแบบนั้น วันนี้ฉันก็คง...” หรือ “อยากย้อนไปอยู่ตอนนั้นจัง มีความสุขจังเลย”
อดีตที่เหลือเพียงความทรงจำ Photo by Lindy Baker on Unsplash
คงด้วยเหตุนี้การรู้จักปัจจุบันจึงเป็นเรื่องยากที่สุด การคงอยู่กับวันนี้คืองานหินที่สุดสำหรับพวกเรา
ความที่การดำรงตนอยู่กับปัจจุบันคืองานช้างที่สุดนี่แหละที่ทำให้ปัจจุบันมีความสำคัญกับชีวิตของเรามาก เราอยากคิดถึงอดีตก็คิดได้ แต่การตระหนักรู้ปัจจุบันก็เหมือนการสอนทางพุทธศาสนาที่ให้รับรู้ลมหายใจเข้าออก นั่นคือวิธีที่จะทำให้เราเข้าใจโลกและตนเอง เข้าใจจุดที่เรายืนอยู่ ไม่ว่าที่ผ่านมาจะสำเร็จหรือล้มเหลว แต่ปัจจุบันที่เรายืนอยู่ก็คือจุดสิ้นสุดของอดีตและเป็นจุดเริ่มต้นของอนาคต เพราะเหตุนั้นความสำเร็จหรือล้มเหลวที่ผ่านก็คือสิ่งที่ล่วงเลยไป และการก้าวเดินไปสู่อนาคตจากปัจจุบันคือการเริ่มต้นใหม่
คนเราจึงสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ทุกวัน ไม่ใช่ว่าเราเริ่มต้นเปลี่ยนงานหรือสิ่งที่ทำทั้งหมด แต่หมายถึงเราเริ่มต้นใหม่จากภายในใจได้ เราอาจต่อยอดจากอดีตได้ แต่ต้องไม่นำอดีตมากดทับปัจจุบัน และเราสามารถพัฒนาจิตใจของเราได้ตลอดเวลา ทุกนาที และทุกวินาที
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรับรู้ปัจจุบันตลอดเวลา แต่อย่างน้อยเราต้องดึงสติของเรากลับมาให้เสียจงได้ ในแต่ละวันเราจึงควรพิจารณาตนเองหรือมี self-reflection เมื่อเราอยู่ลำพัง เมื่อจิตใจของเราสงบ ให้มองย้อนกลับไปเหมือนผู้ชมที่มองจากด้านล่างเวทีหรือบนอัฒจันทร์ เราจะมองเห็นตัวเราเองได้ชัดเจนถ้าไม่เอาอารมณ์ไปผสมกับอดีตที่ผ่านมา แล้วเราจะมีปัญญามากขึ้น สามารถเข้าใจสถานการณ์และจดจำเป็นบทเรียนในการพัฒนาตนเองเพื่อก้าวไปสู่อนาคตที่ดีกว่าเดิม
เสี้ยวนาทีของชีวิตคือความจำไม่รู้ลืม Photo by Caleb Jones on Unsplash
ดังนี้แล้ว ปัจจุบันคือหัวใจของการก้าวเดินไปสู่อนาคต และเป็นห้องกระจกที่ช่วยให้เรามองย้อนกลับไปสู่อดีต ถ้าเราตระหนักถึงความสำคัญของปัจจุบันและรักษาความเป็นปัจจุบันอย่างดีด้วยสติและปัญญาของเรา เราจะใช้ชีวิตกับปัจจุบันได้อย่างมีความสุข อิ่มเอม และมีความพร้อมมากขึ้นต่อการเผชิญหน้ากับอนาคตไม่ว่าจะเป็นนาทีข้างหน้า วันพรุ่งนี้ หรือปีหน้าก็ตาม
โฆษณา