1 ต.ค. 2019 เวลา 10:18 • ปรัชญา
"ก้อนหินกระทบน้ำและทางรถไฟที่เปลี่ยนไป"
วัยเด็กคือช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่ในโลกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
น้าของผมเคยกล่าวว่า “ยิ่งเราโตเท่าไหร่ ผู้คนก็ยิ่งเอาใจเราน้อยลง” เป็นคำกล่าวที่จริงมาก เมื่อสมัยยังเด็กถึงจะถูกแม่ว่าหรือตีอย่างไร เด็กส่วนใหญ่ก็ยังสามารถวิ่งเล่นได้อย่างอิสระ และทำอะไรแผลง ๆ ตามแต่จินตนาการของเราจะพาไป
เมื่อครั้งเรียนชั้นอนุบาลถึงประถมตอนต้น ปิดเทอมภาคฤดูร้อนคือช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมาก ไม่ใช่เพราะผมจะไปเที่ยวไหนก็ได้ตามแต่พ่อแม่จะพาไป หรือได้เล่นเกม หรือได้ทำกิจกรรมกับเพื่อน ๆ แต่เป็นการได้อยู่กับยายสองคนในบ้านสวนที่ดูสงบแต่ก็ลึกลับอย่างบอกไม่ถูกที่ต่างจังหวัด
Photo by Jordan Rowland on Unsplash
บ้านของยายเป็นบ้านเรือนไม้ยกพื้นมีใต้ถุน ยายอยู่บ้านหลังนี้มาแต่เกิด รอบบ้านมีต้นไม้หลายพันธุ์ ต้นละมุดนั้นคือเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดที่สุด มันเติบใหญ่มากแล้วเมื่อผมเกิด และให้ผลเป็นละมุดหลายลูกจนสามารถเก็บมากินหรือไปขายเพื่อนบ้านยังได้
ถัดออกไปเป็นสวนมะพร้าว หลังบ้านมีต้นมะม่วง เลยต้นมะพร้าวไปคือทางเดินสัญจรของชาวบ้านที่ความจริงก็คือญาติของยาย เป็นพี่และน้องที่ได้ปลูกบ้านถัด ๆ กันไป ตรงทางเดินนั้นมีต้นส้มโอขึ้นอยู่ ทุกหน้าร้อนยายจะเด็ดเอาลูกส้มโอที่โตและแก่เต็มที่มาปอกให้ผมกิน
เมื่อย้อนกลับไปทางหน้าบ้าน ประตูรั้วเหล็กบนถนนลูกรังเปิดทางออกไปสู่เนินดินทางรถไฟที่ยายจะพาผมเดินข้ามไปใส่บาตรทุกเช้า สถานีรถไฟประจำตำบลอยู่ห่างไม่ไกลราวสี่ถึงห้าร้อยเมตร และเป็นทางรถไฟนี้ที่ผมสนใจขึ้นมาเดินเล่นทุกเย็น
ทางรถไฟจะต้องโรยก้อนหินกรวดขนาดเกือบเท่าฝ่ามือไปตลอดทาง​ ผมสนใจว่าทำไมถึงต้องเป็นก้อนหินขนาดเขื่อง ๆ แบบนี้ตามประสาเด็กที่มองเห็นอะไรก็ดูใหญ่โตไปซะหมด หินพวกนั้นร้อนเสมอเพราะสูบความร้อนจากแดดที่แผดเผามาตลอดวัน บางก้อนสีอมเหลือง บางก้อนเป็นสีเงิน มีบ้างเป็นสีดำเพราะเลอะคราบน้ำมันเตาของรถไฟ
Photo by Justin Cruz on Unsplash
ผมเลือกหยิบหินก้อนเล็กขนาดพอดีมือของตนเอง มาวางเรียงบนทางรถไฟ ยายและแม่มักเตือนเสมอว่าให้ระวังรถไฟ ผมจึงมักเล่นบนรางสำรองหรือรางสำหรับรถไฟไว้สับราง ส่วนรางหลักนั้นจะเป็นทางสัญจรประจำซึ่งผมจะระวังอยู่เสมอ
พอเรียงก้อนหินได้แนวยาวจนพอใจ ผมก็หยิบอีกก้อน เขยิบตัวให้ห่างออกจากรางรถไฟ แล้วเล็งอย่างแม่นมั่นก้อนจะปา ให้นึกภาพคนโยนโบว์ลิ่ง ถ้าปาแม่นก็กระทบหินที่วางเรียงกัน ถ้าปาจนหินตกรางไปหมดผมจะดีใจมาก คิดว่าตัวเองแม่นเหลือเกินวันนี้ นั่นแหละความสุขเล็ก ๆ น้อยของคนเป็นเด็ก
เมื่อเสร็จสิ้นกิจกรรมปาหิน ผมก็จะทิ้งทวนด้วยการขว้างหินลงไปที่บ่อน้ำหน้าบ้านของยาย วิถีชีวิตของคนสมัยก่อนนั้นการขุดบ่อน้ำหน้าบ้านหรือใกล้ตัวบ้านเป็นเรื่องปกติเพราะยังไม่มีน้ำประปา ก็อาศัยน้ำบ่อพวกนี้เป็นที่กินดื่มหรือใช้ไป ส่วนผมนั้นมายุคน้ำประปาเข้าบ้านยายแล้ว ก็เลยชอบขว้างหินลงบ่อน้ำ ชอบนักกับเสียงดัง “จ๋อม” ผมมักหยิบปาไปสามสี่ก้อนเสมอ ถ้าการรถไฟรู้เข้าคงโกรธแหงเลย
นอกเหนือจากการได้ยินเสียงน้ำกระทบหินแล้ว การได้เห็นน้ำกระเพื่อมเป็นวงก็ช่างน่าเพลิดเพลิน ยิ่งหินก้อนใหญ่เท่าไหร่ วงกระเพื่อมกลม ๆ ของน้ำก็ยิ่งกระจายออกไปมากขึ้นเท่านั้น ก่อนเดินเข้าบ้านผมจึงมักหาหินก้อนใหญ่ที่สุดเท่าที่หาได้ แล้ววิ่งลงเนินไปยืนหน้าบ่อน้ำ แล้วขว้างมันออกไปสุดแรงเกิด เสียงหินกระทบน้ำและวงกระเพื่อมของน้ำคือความจำเริญใจสุดท้ายของวันก่อนพระอาทิตย์จะลับหายไป
Photo by Cristina Gottardi on Unsplash
ทุกวันนี้บ่อน้ำหน้าบ้านได้หายไปแล้ว และเนินรถไฟที่ผมเคยเดินขึ้นไปเล่นโยนก้อนหินหรือเดินข้ามไปใส่บาตรก็อันตรทานไปด้วยเช่นกันด้วยโครงการพัฒนารถไฟรางคู่ของรัฐบาล การรถไฟมารื้อรางสำรองออก แล้วเตรียมก่อปูนยกพื้นทางรถไฟที่คราวนี้จะเป็นรางคู่ยาวไปตลอดทางจากกรุงเทพฯ พื้นที่ใกล้รางรถไฟจึงต้องถูกเปลี่ยนสถานะไป กลายเป็นเนินทรายหรือที่วางวัสดุอุปกรณ์ที่รอวันเวลาก่อร่างเป็นฐานรางคู่
ผมเดินออกไปสำรวจหน้าบ้านยาย มันไม่เงียบสงบเหมือนแต่เคย หากแต่กลายเป็นทัศนียภาพที่แปลกตา สามสิบกว่าปีในชีวิตของผมที่มันคงอยู่ในสภาพเนินดินมีต้นหญ้าขึ้นเต็มไปหมด บัดนี้ได้กลายเป็นอื่นไปแล้ว
สิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็คือแม้บ่อน้ำจะหายไปเหลือแต่ร่องรอยหลุมแห้ง ๆ มีต้นไม้ยืนต้นตายไปบางส่วน แต่ความทรงจำของเสียงหินกระทบน้ำยังคงอยู่ รอยกระเพื่อมของวงน้ำที่น่าพิศวง สัมผัสของหินแข็งสีเงินที่อุ่นมือ และภาพของฟ้าสีแดงอ่อนขณะพระอาทิตย์ลับขอบฟ้ายังคงปรากฏชัดในความทรงจำ
Photo by Anton Darius | @theSollers on Unsplash
เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะหลีกหนีจากความเปลี่ยนแปลง หมู่บ้านที่เคยห่างไกลความเจริญของยายขนาดว่าไฟตกทุกค่ำคืนกำลังจะเปลี่ยนสภาพไป คนรุ่นยายที่เหลือเพียงไม่กี่คนยังคงใช้ชีวิตห้วงสุดท้ายของตนที่นี่ แต่เมื่อทุกคนในรุ่นเดียวกันจากไปจนหมดสิ้น บ้านของยายจะเป็นเช่นไร ลูกหลานจะทำเช่นไร ผู้จากไปก็คงไม่ห่วงหาอะไรอีกแล้ว เพราะจะอย่างไรทุกสิ่งที่เคยเห็นและเป็นมาก็จะไม่เหมือนเดิม
ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้คือสัจธรรมหนึ่งของชีวิต มีเพียงความทรงจำในห้วงคำนึง คำบอกเล่า หรือภาพถ่ายให้ได้ย้อนระลึกถึงกันในบางคราวบางโอกาสเท่านั้น
ถ้าจะมีสิ่งที่ผมมุ่งหวังอยู่บ้างกับอดีตในวัยเด็กและบ้านสวนของยาย ผมจะภาวนาให้ตัวเองไม่ลืมเลือนความทรงจำเหล่านี้ตลอดชีวิต ผมมิได้อาลัยอาวรณ์อดีต หรือกลัวความเปลี่ยนแปลงเลย หากแต่ผมไม่อยากลืมช่วงเวลาแห่งความสุขในวัยเด็กก็เท่านั้นเอง
โฆษณา