3 ต.ค. 2019 เวลา 06:08 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
ความต้องการความเข้าใจในโลกที่เราอยู่มีมาอย่างยาวนาน เราต้องการรู้ถึงขอบเขตของสิ่งที่เราอาศัยอยู่โดยข้อสงสัยนี้ถูกตั้งขอสังเกตุมานาน นักวิชาการกรีกและโรมันเชื่อว่าโลกแบน เหมือนเหรียญ โดยมีศูนย์กลางเป็นทะเลเมดิเตอเรเนียน และแผ่นที่เริ่มเปลี่ยนไปเมื่ออเล็กซานเดอร์มหาราช พิชิตอินเดียทำให้โลกของชาวกรีกขยายใหญ่ขึ้น
รูปที่ 1 แสดงแผ่นที่โลกในสมัยกรีกโบราณเป็นทรงเหรียญ โดยมีรัศมีประมาณ 600 ไมล์ และนอกเขตนี้จะมีมหาสมุทรล้อมรอบ Cr. https://www.globalsecurity.org/military/world/europe/gr-history-ancient-geography-maps.htm
แต่ก็มีนักคณิตศาตร์นาม พีทากอรัส (550 ก่อนคริสตกาล) ได้ให้ข้อโต้แย้ง โดยพีทากอรัสให้เห็นผลว่าเพราะทรงกลมเป็นรูปทรงที่ต่อเนื่องสมบูรณ์ ซึ่งพระเจ้าน่าจะเลือกใช้เพื่อความสมบูรณ์แบบ ดังนั้นเรื่องโลกกลมจึงเข้ามาเป็นที่สนใจ
จนช่วงปี 360 ก่อนคริสตกาล นักปราช อริชโตเติล เป็นคนแรกที่ให้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เข้ามาสนับสนุน โดยให้เหตุผลว่า ผู้ที่อยู่ทางใต้และทางเหนือสามารถเห็นกลุ่มดาวที่แตกต่างกันเนื่องจากการลับขอบฟ้า ซึ่งปรากฎการนนี้จะอธิบายได้ก็ต่อเมื่อโลกกลม อีกทั้งเมื่อเกิดจันทรุปราคา เงาของโลกบนดวงจันทร์เป็นรูปวงกลม
รูปที่ 1 การเกิดจันทรุปราคาเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2011 ที่ประเทศอิตาลี จะเห็นว่าเงาของโลกบนดวงจันทร์เป็นรูปวงกลม Cr. David Paleino
จึงเข้าสู่คำถามสำคัญ แล้วโลกเรามีเส้นรอบวงเท่าไร?
นักคณิตศาตร์ชาวกรีกนาม เอราทอสเทนีส(Eratosthenes) ขณะนั้นเป็นหัวหน้าบรรณารักษ์อยู่ที่ห้องสมุดแห่งอเล็กซานเดรีย(234 – 192 ก่อนคริสตกาล) ได้ทราบถึงบ่อน้ำแห่งหนึ่งในเมืองไซอีนี กลางแม่น้ำไนล์โดยในวันที่ 21 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันครีษมายัน (ครีษมายัน หรือ อุตตรายัน (summer solstice) เป็นการที่ดวงอาทิตย์ โคจรไปถึงจุดหยุด (solstice) คือ จุดสุดทางเหนือในราววันที่ 20 มิถุนายน หรือ 21 มิถุนายน เป็นจุดในหน้าร้อน มีกลางวันนานกว่ากลางคืน)
ตอนเที่ยงตรงดวงอาทิตย์จะสะท้อนตรงก้นบ่อพอดี ดังนั้นนอกหอสมุดมีหอคอยสูง จึงทำการวัดเงาของหอคอยในวันวันครีษมายันทำให้เกิดรูปสามเหลี่ยมซึ่งด้านตรงข้ามมุมฉากของสามเหลี่ยมนี้จะขนานกับเวกเตอร์ที่ดาวอาทิตย์พุ่งผ่านบ่อน้ำเข้าสู่แกนโลก โดยจากการวัดมุมที่ยอดหอคอย(T)กระทำกับเงามีค่า 1/50 ของวงกลม (ประมาณ 7.2 องศา) และจากข้อมูลในหอสมุดว่าชาวอียิปต์วัดระยะทางจากหอสุดถึงเมืองไซอีนีได้ 5000 stades (10 stades = 1 ไมล์ = 1.6 กิโลเมตร)
ดังนั้นทั้งวงกลมจึงมีค่า 5000x50 stades หรือก็คือ 250000 stades หรือ 25,000 ไมล์ ซึ่งในปัจจุบันวัดได้ 24,860 ไมล์คลาดเคลื่อนไปเพียง 240 ไมล์ (ซึ่งความเป็นจริงแล้วระยะทางจากหอสุดถึงเมืองไซอีนีเท่ากับ 453 ไมล์ หรือประมาณ 4530 stades) ซึ่งถือว่าทำได้ดีเมื่อกว่าสองพันห้าร้อยปีก่อนในยุคที่ไม่มีเครื่องคำนวนและเครื่องมือวัดที่แม่นยำ
เรื่องการคำนวนนี้ทำให้เอราทอสเทนีสโดงดังไปทั่วกรีกและโรมัน แม้ว่าเค้าจะไม่ได้เคยไป เมืองไซอีนีก็ตาม ในบางครั้งการอยู่กับบ้านก็ทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่ได้ ^^
โฆษณา