Blockdit Logo (Mobile)
ลงทุนแมน
ยืนยันแล้ว
•
12 ต.ค. 2019 เวลา 02:40 • ธุรกิจ
GameStop ร้านขายเกมใหญ่สุดของโลก กำลังโดน DISRUPT
ถ้าขึ้นชื่อว่าเป็นธุรกิจร้านขายเกม ทุกคนน่าจะคิดว่าเป็นธุรกิจทันสมัย
แต่จริงๆ แล้ว ธุรกิจร้านขายเกมกำลังโดน DISRUPT
เรื่องราวนี้เป็นอย่างไร ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
อุตสาหกรรมเกม มีมูลค่ารวมสูงถึง 4,100,000 ล้านบาท และกำลังอยู่ในช่วงที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ทำให้หลายคนคิดว่า บริษัทที่เกี่ยวข้องกับเกม น่าจะมีทิศทางธุรกิจที่สดใส
แต่ทราบหรือไม่ว่า ร้านขายเกมใหญ่สุดของโลกชื่อว่า “GameStop”
กลับต้องเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบาก จนถึงขั้นที่อาจจะไม่สามารถอยู่รอดได้
GameStop เป็นบริษัทที่ประกอบกิจการร้านค้าปลีกวิดีโอเกม
ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1984 หรือ 35 ปีที่แล้ว
ปัจจุบันร้านมีจำนวนสาขามากกว่า 5,700 แห่ง ใน 14 ประเทศทั่วโลก
ซึ่งถือเป็นธุรกิจร้านขายเกมรายใหญ่ที่สุดของโลก
ในขณะนี้ วงการเกมกำลังได้รับความสนใจ เพราะเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้น ทำให้คุณภาพของเกม คอนโซลเครื่องเล่น และอุปกรณ์เสริมต่างๆ มีการพัฒนาขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางแนวโน้มดังกล่าว ผลการดำเนินงานของร้าน GameStop กลับออกมาเป็นตรงกันข้าม
6 ปีที่แล้ว..
เมื่อปี 2013 บริษัท GameStop มีรายได้ 275,000 ล้านบาท และกำไร 10,800 ล้านบาท
โดยมูลค่าตลาดเคยขึ้นไปสูงสุดถึง 147,000 ล้านบาท ทุกอย่างดูสวยหรู
แต่ผ่านมาถึงตอนนี้ ผลประกอบการมีการหดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ
ปี 2018 รายได้ 253,000 ล้านบาท ขาดทุน 20,500 ล้านบาท
ทำให้ล่าสุด มูลค่าตลาดของบริษัท ลดลงเหลือราว 13,000 ล้านบาท
หรือหายไป 1 แสนล้านบาท ภายในระยะเวลาเพียง 6 ปี
เพราะเหตุใด ธุรกิจของ GameStop จึงประสบปัญหา?
ความท้าทายที่ GameStop ต้องเจออยู่นั้น ไม่ต่างจากแบรนด์ค้าปลีกในอุตสาหกรรมอื่นๆ เลย
เนื่องจากร้าน GameStop ขายเกมในรูปแบบแผ่น
แต่ผู้บริโภคในยุคนี้ หันมาซื้อสินค้าซึ่งรวมไปถึงเกม ผ่านทางโลกอินเทอร์เน็ตแทน
ทำให้บริษัทได้รับผลกระทบ 2 เด้ง คือ ไม่มีใครซื้อสินค้าที่เป็นแผ่น และไม่มีใครเดินเข้ามาในร้าน
Cr. VentureBeat
พฤติกรรมผู้บริโภคในลักษณะนี้ เริ่มส่งผลกระทบจริงจัง ตั้งแต่หลังปี 2013
เพราะในปีนั้น เครื่องคอนโซลเล่นเกมรุ่นใหม่ ได้แก่ Xbox One และ PlayStation 4 ได้พัฒนาระบบให้สามารถรองรับการซื้อเกม และดาวน์โหลดผ่านทางร้านค้าออนไลน์ได้
หลังจากนั้นมา เกมที่เป็นแผ่น จึงได้รับผลกระทบขึ้นเรื่อยๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตรงกันข้าม ผลประกอบการของร้านขายเกมทางออนไลน์ชื่อดังอย่าง Steam มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดตามแนวโน้มตลาด
ปี 2014 รายได้ 45,000 ล้านบาท
ปี 2017 รายได้ 131,000 ล้านบาท
และต่อไป การซื้อหรือเล่นเกมผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์จะยิ่งสะดวกมากขึ้น จากการพัฒนาของเทคโนโลยี และสัญญาณอินเทอร์เน็ตระบบ 5G
Cr. Polygon
ถึงแม้ว่าคอนโซลเครื่องเล่นรุ่นใหม่ ที่จะวางขายในปี 2020 อย่าง Xbox หรือ PlayStation 5 ยังคงรองรับระบบแผ่นเกม ซึ่งอาจจะช่วยกระตุ้นยอดขายรอบใหม่ได้
แต่มันอาจเป็นแค่การยืดเวลาออกไปเท่านั้น..
เนื่องจากหลายฝ่ายเริ่มมองว่า ในอนาคต คอนโซลอาจจะไม่มีช่องให้ใส่แผ่นเลยก็เป็นได้ เมื่อถึงเวลานั้น GameStop คงไม่รู้ว่าจะขายสินค้าตัวเองให้ใครอีกต่อไป
นอกจากนี้ ที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าบริษัทจะตัดสินใจเลือกใช้กลยุทธ์ในการขยายธุรกิจที่ผิดพลาดอีกด้วย
เพราะแทนที่จะเปลี่ยนมาลงทุนในแพลตฟอร์มออนไลน์ตามพฤติกรรมของคนเล่นเกม GameStop กลับเข้าซื้อกิจการร้านขายมือถือ Spring Mobile และซื้อหน้าร้านของแบรนด์ AT&T อีก 1,500 สาขา
แต่ธุรกิจนี้ มีการแข่งขันสูง และไม่ใช่จุดแข็งของบริษัท
ผลลัพธ์ก็คือ มันไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดังที่คาดหวัง
GameStop ซื้อร้านแบรนด์ Spring Mobile มาในราคา 46,000 ล้านบาท ด้วยการใช้เงินกู้ยืมเกินกว่าครึ่งของมูลค่า ต่อมาจึงยอมตัดใจขายกิจการทิ้งไปแค่ 21,000 ล้านบาท ยอมรับการขาดทุน และเหลือหนี้ก้อนใหญ่
ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงกำลังหาทางลดค่าใช้จ่าย โดยจะทยอยปิดสาขาลง 200 แห่งในปีนี้
และออกแบบหน้าร้านใหม่ ให้เป็นเชิงคอมมูนิตี้สำหรับคนเล่นเกมมากขึ้น
รวมทั้งเริ่มหันมาขายเกมทางเว็บไซต์ออนไลน์ GameStop.com โดยให้หน้าร้านเป็นแค่จุดรับสินค้าเท่านั้น
แต่การขยับตัวครั้งนี้ อาจจะช้าไปแล้ว สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น
Cr. Globenewswire
เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นว่า
ไม่ว่าบริษัทจะยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็พร้อมที่จะล้มได้เสมอ หากพฤติกรรมผู้บริโภคได้เปลี่ยนไป
และสำหรับที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี พฤติกรรมนั้นจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แบบที่เจ้าของบริษัทอาจนึกไม่ถึง และหนึ่งในคนที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ก็คือ บริษัทเกม
ในเกม ถ้าหากเล่นพลาด สามารถกดปุ่มรีเซ็ตเพื่อเริ่มต้นใหม่ได้
แต่มันอาจไม่มีปุ่มนั้น อยู่ในชีวิตจริง..
โฆษณา