13 ต.ค. 2019 เวลา 01:19 • ไลฟ์สไตล์
ชีวิตก็เท่านี้
มีโอกาสเลยเอามาให้เพื่อนๆอ่าน
Cr: WP
" กองขี้เถ้ากองใหญ่ในป่าช้า ดวงวิญญาณ์วิโยคสุดโศกศัลย์
อนาถจิตคิดไปให้จาบัลย์ ใครหรือกั้นมิให้ดับไปกับกาล
สภาพกายที่ปรุงแต่งแบ่งสรรสร้าง จวบแรมร่างแตกดับลับสังขาร
เมื่อธาตุขันธ์พังภิณท์สิ้นลมปราน ย่อมเผาผลาญมอดไหม้กลายเป็นจุลฑ์
ชีวิตของคนเราก็เท่านี้ ถึงแม้มีสินทรัพย์สนับสนุน
ถ้าไม่คิดสร้างกุศลเพิ่มผลบุญ เฝ้าหมกมุ่นกรรมชั่วมั่วโลกีย์
เวลากายล่วงลับดับเบญจขันธ์ สินทรัพย์นั้นติดตัวไปไม่ได้นี่
อาศัยโลงใส่ร่างพลางอินทรีย์ จองพื้นที่กว้างเพียงศอกยาวเพียงวา
มนุษย์เราควรเร่งสร้างทางประโยชน์ เว้นจากโทษทุตจริตที่ผิดท่า
ควรประกอบกรรมดีมีเมตตา ก่อนสนธยาของชีวิตปิดฉากลง "
คือ ศาลาหลังสุดท้ายของชายหญิง
(คัดลอกเมื่อ วันที่ 5 มกราคม 2533)
สมัยเรียนมัธยมต้น (มกราคม 2533) ได้มีโอกาสเข้าร่วมชมรม "พุทธศาสนา" และได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัด โดยใส่ชุดขาว กินอาหารวันละหนึ่งมื้อ (กินทุกอย่างรวมกันในบาตร) เดินจงกรม และปักกลดนอนในบริเวณวัดที่เป็นพื้นที่สวนและมีต้นไม้เยอะ
Cr: WP
ในช่วงเวลาที่ปฏิบัติธรรมอยู่ในวัดก็จะมีหนังสือสวดมนต์ ซึ่งผมจำได้ว่าเยอะมากๆ ทุกคนก็หยิบไว้ประจำตัวคนละ 1 เล่ม และเนื่องจากคนไปปฏิบัติธรรมเยอะมาก ทำให้นังสือสวดมนต์ เหลือแต่เล่มเก่าๆ ผมเลยได้เลือกมา 1 เล่ม
ผมเปิดดูพลิกไปมา และเจอบทกลอน ที่เขียนด้วยดินสอและตัวหนังสือที่เขียนค่อนข้างเจือจางแล้ว ผมพยายามอ่านและคัดลอกออกมา ซึ่งเป็นบทกลอนที่แสดงอยู่ด้านบนครับ
ผมไม่ใช่คนมีความรู้เรื่องบทกลอนและไม่ทราบว่าใครเป็นผู้เขียนไว้
หรืออาจเป็นบทกลอนที่มีคนรู้จักอยู่แล้ว
แต่ถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณผู้ที่เขียนบทกลอนนี้ไว้ในหนังสือสวดมนต์เล่มนั้น
เพราะความจริงในชีวิตของมนุษย์ก็มีเท่านี้
Freedom
โฆษณา