14 ต.ค. 2019 เวลา 07:49 • ไลฟ์สไตล์
#แกะสีเทา
​“นักเรียนทุกคนฟังทางนี้ ครูจะให้ทุกคนแบ่งกลุ่มกันเข้าฐานกิจกรรมตามสีผ้าพันคอที่แจกให้นะ เอาล่ะเริ่มได้”
​เมื่อสิ้นเสียงของคุณครูสาว เหล่านักเรียนชั้นอนุบาลสองก็เริ่มวิ่งเข้าไปจับกลุ่มกับเพื่อนที่มีผ้าพันคอสีเดียวกัน ทุกคนเข้ากลุ่มได้หมดทุกคนแล้ว ยกเว้นแต่...ผม
​“เด็กชายเอก! มัวทำอะไรอยู่ ทำไมไม่ไปรวมกลุ่มกับเพื่อนตามที่ครูสั่งคะ”
“ผม...คือว่าผม...”
“ทำไมเธอไม่ไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ผ้าพันคอของเธอสีอะไร”
“ผม...ผ้าพันคอของผมสี...”
กริ๊งงงงงงง ผมสะดุ้งตื่นจากความฝันในวัยเด็กด้วยความตกใจ เมื่อเสียงนาฬิกาปลุกส่งเสียงร้องเตือนตามเวลาที่ตั้งปลุกไว้ วันนี้เป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ของผม ผมจึงไม่ต้องรีบตื่นแต่เช้ามากนัก แสงแดดที่ส่องลอดกระจกบานเกร็ดเข้ามาและเสียงจั๊กจั่นที่ร้องระงมอยู่ข้างนอกนั้นเหมือนเป็นการช่วยบอกว่าฤดูร้อนได้มาถึงแล้ว ขณะที่ผมกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า เสียงโทรทัศน์ในห้องนอนก็รายงานข่าวการเมืองเรื่องการแบ่งพรรค แบ่งสีของคนในประเทศไปด้วย แต่ผมก็ไม่ได้สนใจฟังอะไรมากเพราะตอนนี้ท้องของผมก็เริ่มร้องเสียงดังโครก...คราก...เป็นสัญญาณว่านี่ใกล้เที่ยงแล้ว ผมควรจะออกไปหาอะไรทานได้แล้ว
ผมเดินออกไปหาอะไรกินที่หน้าปากไม่ไกลจากหอ ที่หน้าปากซอยมีร้านอาหารตามสั่งอยู่สองร้านตั้งอยู่ตรงข้ามกัน ร้านแรกเป็นของอาเจ๊กคนจีน แกมีรูปร่างท้วม แกกำลังผัดกะเพราหมูจนมือเป็นระวิง กลิ่นพริกสดที่แกใส่ลงไปผัดในกะเพราหมูส่งกลิ่นฉุนแสบจมูกจนผมอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นปิดจมูก ส่วนร้านที่สองเป็นร้านของเจ้นวล ซึ่งขึ้นชื่อว่าปากจัดที่สุดแต่ทำอาหารอร่อย ผมแวะมาฝากท้องที่ร้านเจ้แกบ้างเป็นบางครั้งในช่วงวันหยุด แต่เนื่องจากวันนี้ลูกค้าที่ร้านแกเยอะมาก คาดว่ากว่าจะได้กินคงต้องรอนาน ผมจึงเลือกไปสั่งข้าวที่ร้านแรกที่ลูกค้าดูบางตากว่าเยอะ
1
“อาเจ๊กครับ ผมเอาข้าวกะเพราหมูสับไข่ดาวกล่องหนึ่ง” ผมเลือกที่จะสั่งกลับไปกินที่หอแทนการนั่งกินที่ร้านเนื่องจากไอความร้อนของกระทะและสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวในเดือนเมษายน
“ได้ๆ เอ๊ะ! นี่ลื้ออยู่สีอะไรกันแน่” อาเจ๊กถามผมด้วยความสงสัยหลังจากเงยหน้ามองผม
“สีอะไรคืออะไรครับ ผมไม่มีสี” ผมตอบแกด้วยความงุนงง
“นี่ลื้อไม่เห็นป้ายหรอว่าร้านอั้วต้อนรับแต่คนสีขาว ถ้าลื้อไม่ใช่คนสีขาว ลื้อก็ออกไปจากร้านอั้วเลยนะ ร้านอั้วไม่ต้อนรับลื้อ” อาเจ๊กตะคอกไล่ผมเสียงดังลั่นร้านหลังจากได้ฟังคำตอบจากผม
ผมที่กำลังสับสนกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงรีบเดินออกมาจากร้านแกเพราะเกรงว่าถ้าอยู่นานกว่านี้คงจะมีปัญหา ผมได้แต่คิดว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อร้านอาเจ๊กไม่ขายงั้นผมไปซื้อที่ร้านเจ้นวลก็ได้ ผมคิดก่อนจะเดินระหว่างเดินข้ามฝั่งไปร้านเจ้นวล
“เจ้นวล เอาข้าวะเพราหมูสับไข่ดาวกล่องหนึ่ง” ผมสั่งข้าวกะเพราเหมือนเดิม เพราะตอนนี้ผมหิวมากๆ ถ้าจะให้เลือกสั่งอย่างอื่นในเมนูก็คงคิดไม่ออก
“นี่เธอไปทำอะไรที่ร้านนั้น” เจ้นวลถามผมหลังจากที่ผมสั่งข้าวเสร็จ
“ผมก็ไปหาอะไรกินสิเจ้ แต่อาเจ๊กไม่ขายให้ผม”
“ก็นั่นมันร้านของคนสีขาว มันจะมาขายให้คนสีดำอย่างเราได้อย่างไร” เจ้นวลตอบผมขณะที่มือแกก็หั่นผักคะน้าไปด้วย
“สีขาว-ดำอะไรกันครับ ผมไม่มีสี” ผมตอบกลับไปตามความจริง ทำไมวันนี้ทุกคนถึงพูดแต่เรื่องสีตลอดเลย
“อะไรนะ! ก็เสื้อที่เธอสวมอยู่มันสีดำไม่ใช่หรอ เธอก็ต้องเป็นคนสีดำเหมือนอย่างทุกคนในร้านสิ” เจ้นวลพูดขึ้นเสียงดังจนทำให้ลูกค้าภายในร้านเริ่มหันมามองให้ความสนอกสนใจ
“ผมไม่รู้ว่าเจ้พูดเรื่องอะไร แต่ผมไม่มีสีจริงๆ” ผมพูดตอบตรงๆ เมื่อสังเกตเห็นคนในร้านเริ่มให้ความสนใจมากขึ้น
“งั้นเธอออกไปจากร้านเจ้เดี๋ยวนี้เลย ร้านของเจ้ขายให้แต่กับคนสีดำ คนไม่มีสีอย่างเธอก็ออกไปจากร้านซะ ไปเดี๋ยวนี้เลยไม่งั้นเจ้จะให้คนมาลากออกไป” เจ้นวลชี้มีดที่ใช้หั่นผักเมื่อครู่มาทางผมพร้อมทั้งตะโกนออกปากไล่
วันนี้ผมคงต้องกลับไปกินมาม่าที่หอแล้วล่ะ นี่มันวันอะไรกัน ทำไมคนในชาติเดียวกันแท้ๆถึงต้องแบ่งพรรคแบ่งสีด้วย เราคนชาติเดียวกันน่าจะอยู่ร่วมกันได้โดยไม่จำเป็นต้องมีสีก็ได้นี่ ผมได้แต่คิดเพราะถึงพูดไปตอนนี้ก็คงไม่มีใครฟัง ผมไม่รู้หรอกว่าสีที่พวกเขาพูดถึงเป็นอย่างไร เพราะในสายตาของผม ผมมองเห็นโลกเป็นสีเทา ดวงตาของผมนั้นบอดตั้งแต่เกิด ถึงแม้ว่าจะไม่ได้บอดสนิทแต่ก็มองเห็นทุกอย่างเป็นสีเทาไปหมด
ระหว่างที่ผมกำลังเดินคอตกกลับหอนั้น ผมก็เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนกอดตุ๊กตาหมีอยู่ตรงหน้า ดวงตาของเธอนั้นขุ่นมัวเป็นสีเทา ผมยิ้มให้เธอก่อนจะเดินผ่านเธอไป เธอคงจะเป็นเหมือนผมสินะ พวกไม่มีสี พวกที่มองเห็นโลกนี้มีเพียงแต่สีเทาเหมือนกัน.
โฆษณา