Okano ชอบเตะฟุตบอลตั้งแต่สมัยประถมเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์เลยแหละ แต่พอขึ้นมัธยมก็โดดซ้อมบ้าง ไปตามเพื่อนบ้างเลยไม่ได้เรื่องทั้งฟุตบอล และการเรียน พอจะเข้ามัธยมปลายตอนเลือกโรงเรียน เสนอพ่อแม่ว่าอยากไปฝึกฟุตบอลที่บราซิลก็โดนเบรคอย่างรวดเร็ว พอดีมีญาติมาแนะนำโรงเรียนที่จังหวัด Shimane ว่านักเรียนเรียบร้อย มีหอพักนักเรียน มีชมรมฟุตบอล จึงตัดสินใจเข้าโรงเรียนที่นี่ จึงย้ายจาก Kanagawa ไป Shimane
แต่พอถึงโรงเรียนกลับต้องตกใจกับสภาพนักเรียนที่เต็มไปด้วยนักเลง ในวันเปิดเรียนวันแรกรุ่นพี่แต่งตัวนักเลงญี่ปุ่น (ภาพ2) ใส่แมสก์จึงตระหนักได้ตอนนั้นว่า โรงเรียนนี้มันรวมนักเลงทั่วประเทศมาดัดนิสัยนี่หว่า หอพักโรงเรียนที่ว่าคือปิดประตู 6 โมงเย็น ถ้าใครออกจากประตูหลังเวลา 6 โมงจะมีเสียงเตือน นักเรียนโดดหนีจากชั้น2 ปีละกว่า 100 คน ส่วนใหญ่ถูกจับได้และอบรมอย่างนุ่มนวล (นุ่ม จิงดิ) ระบบ SOTUS รุนแรงมาก เวลาเดินผ่านรุ่นพี่ อาจารย์ต้องทักทาย เวลาพักจะไปเข้าห้องน้ำไปไม่เคยถึงห้องน้ำเพราะมัวแต่ทักทายรุ่นพี่กับอาจารย์ก็หมดเวลา และที่สำคัญไม่มีชมรมฟุตบอลอย่างที่พูดเอาไว้ ความผิดหวังกับโรงเรียนทำให้ Okano ร้องไห้ทุกวัน อยากหนีออกจากโรงเรียนทุกวัน จึงคิดขึ้นมาว่า งั้นตั้งชมรมฟุตบอลเองเลยดีกว่า
Okano จะเห็นรุ่นพี่คนหนึ่งใส่ชุดฟุตบอล เตะบอลอัดกำแพงอยู่คนเดียวทุกวัน จึงตัดสินใจเข้าไปคุย
“น่าเสียดายนะครับ ไม่มีชมรมฟุตบอล”
รุ่นพี่ตอบกลับมาว่า
“ใช่นะซิ มาเข้าที่นี่เพราะบอกว่ามีชมรมฟุตบอลนะเนี่ย”
ไม่น่าเชือมีคนโดนหลอกเหมือน Okano เลย รุ่นพี่คนนี้ชื่อ Togano 2คน จึงไปขอตั้งชมรมฟุตบอลกับ ผอ. และถือกำเนิดชมรมฟุตบอลขึ้นมา
โดยโครงสร้างชั้นเรียนที่โรงเรียนนี้ มี 3 ห้อง คือ ห้อง1 คือพวกที่ตั้งใจเรียน (เสมือนห้อง king) ห้อง2 คือ กลุ่มนักกีฬาที่เข้าเรียนมาด้วยโควต้านักกีฬา ห้อง 3 คือ กลุ่มนักเลงที่ไม่รู้จะเอายังไงกับมันดี ชมรมมีคนสนใจเข้ามาเยอะแต่เป็นกลุ่มห้อง 3 ของแต่ละชั้นปี คือ นักเลงล้วนๆ นั่นเอง ความรู้สึกแรกของ Okano คือ หน้าเหมือนยักษ์ทุกคน ทุกวันจะไปซ้อมกันที่สนามซ้อมห่างออกไปประมาณ 30นาที ระหว่างทางรุ่นพี่จะเจอกับคู่อริและตีกันก่อนไปซ้อมเสมอ จนกลายเป็นภาพชินตาสำหรับ Okano แม้จะตีกันก่อนมาซ้อมก็เหมือนการอบอุ่นร่างกาย ทุกคนซ้อมได้ไม่มีปัญหา พอซ้อมกันไป Okano จึงคิดอยากแข่งกับโรงเรียนอื่น แต่พอโทรไปขอแข่งด้วย โรงเรียนอื่นที่รู้ชื่อเสียงโรงเรียนนี้ดีก็ปฎิเสธมาทั้งนั้น จนเจอทีมนึงที่ตกลงจึงได้มีโอกาสแข่งซะที
พอถึงวันแข่ง เมื่อรถบัสไปถึงโรงเรียนคู่แข่งก็ต้องช็อคกับสภาพโรงเรียนที่ยับเยิน กำแพงโรงเรียนมีสีพ่น มีคำด่าเขียนไว้ กระจกทุกบานแตกยับ คู่แข่งที่จะแข่งด้วยใส่ชุดยูนิฟอร์ม (กลับไปดูภาพ2) แต่รองเท้าเป็นสตั๊ดฟุตบอล นักเตะทุกคนพร้อมแต่บรรยกาศในสนามไม่ค่อยดีนัก พอกรรมการเป่านกหวีดปี๊ดดดดด ทันใดนั้น เข่ารุ่นพี่คนนึงได้ลอยไปฟาดกับปากคู่แข่ง จากฟุตบอลกลายเป็นตะลุมบอนในทันที โรงเรียน Okano มากัน 20 คน ส่วนอีกทีมมีทั้งนักบอล กองเชียร์ นักเรียนบนอาคารรวมๆ 200คน แต่โรงเรียนของ Okano ที่รวมนักเลงชั้นนำทั่วประเทศเอาไว้ ก็ใส่ยับทำเอาอีกโรงเรียนล้มไปทีละคนๆ Okano เล่าว่า “เหมือนในหนังที่คนวิ่งเข้ามาแล้วล้มลงไปทีละคน ยังไงอย่างนั้น” ผลการแข่งขัน จบลง 0-0 แบบไม่มีฝ่ายใดได้แตะบอล และเอาชนะไปได้ด้วยกำปั้น กับฝีเท้า Okano ร้องไห้ต่อหน้าทุกคนในทีม และบอกกับรุ่นพี่ว่า
“ผมจะออกจากชมรม”
ตอนนั้น Okano คิดว่าต้องโดนแน่ๆ เพราะตัวเองเป็นคนก่อตั้งชมรมขึ้นมาแต่จะมาออก แต่สถานการณ์กลับกลายเป็น รุ่นพี่ทุกคนในทีมเข้ามา ขอโทษ Okano แล้วบอกว่า “ขอโอกาสอีกครั้ง”
หลังจากนั้นทุกคนตั้งใจซ้อมมาก ในตอนนั้นชมรมฟุตบอลมีอาจารย์ที่ปรึกษาแต่ไม่รู้เรื่องฟุตบอล Okano แม้จะอยู่ ม.4 แต่ต้องเป็นทั้ง ผู้จัดการทีม ผู้ฝึกสอน และนักเตะ และในที่สุดสามารถแข่งจบ 90 นาที ได้ในนัดที่ 3 อาจจะฟังดูธรรมดาสำหรับฟุตบอลแต่จากสถานการณ์ที่ เข่าลอยตั้งแต่เป่านกหวีดในนัดแรกถือว่าทุกคนอดทนได้ดีมาก แม้จะมีเหตุการณ์หวุดหวิดหลายครั้งระหว่างการแข่งแต่ทุกคนอดทนจนจบ 90 นาที หลังจากนั้นได้มีโอกาสแข่งกับโรงเรียนอื่นอีก แม้ผลการแข่งขันจะแพ้ 0 – 16 นัดต่อมา แพ้ 0-12 แต่ก็พอบอกได้ว่าดีขึ้น จนเป็นทีมที่สนใจของทางจังหวัด จนในที่สุดผ่านไป 6 เดือนหลังจากตั้งชมรมก็พบกับ ชัยชนะครั้งแรก ทุกคนร้องไห้กอดกันแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อาจารย์ที่ปรึกษายังดีใจวิ่งลงมาในสนาม สิ่งที่ Okano สังเกตได้จากนักเลงคือ ทุกคนมีสมรรถนะร่างกายที่ดีมากๆ สภาพจิตใจดีเยี่ยมไม่เคยบ่น ท้อ ยอมแพ้ ตัวอย่างนักเตะ เช่น ปีกที่วิ่งเร็วมากๆ ฉีกกองหลังทุกตัว กองหน้าที่เป็นนักเทควันโดจังหวัดกระโดดเตะบอลที่ลอยมา เหมือน Zlaton Ibrahimovic ถึงแม้จะฟาวล์ก็ตาม กองหลังนักกล้ามที่แค่มองหน้ากองหน้าอีกฝ่ายก็ไปไม่เป็น เบียดสู้ได้ทุกตัว ผู้รักษาประตูที่รับลูกเป็นอย่างเดียว ใช้เท้าไม่เป็น ถือว่า Okano สามารถนำความสามารถที่โดดเด่นของนักเตะแต่ละคนมาประสานในทีมได้อย่างลงตัว และสามารถขึ้นมาอยู่ TOP4 ของจังหวัดได้ในที่สุด
จากผลงานนี้ทางโรงเรียนจึงส่งเสริมชมรมฟุตบอล มีหอพักแยกของชมรมฟุตบอล สามารถเลิกเรียนเร็วไปซ้อมได้ ที่สำคัญคือการเรียนของนักเรียนกลุ่มนี้ดีขึ้น เนื่องจากการสอบที่ถ้าตกแล้วต้องซ่อม จะมีผลกับการซ้อมและการแข่ง นักเลงทุกคนจึงตั้งใจเรียนมากขึ้นช่วยกันเรียน ช่วยกันสอน ให้ผ่านการสอบ จะได้มีเวลาซ้อม ชื่อเสียงของชมรมฟุตบอลดีขึ้นเรื่อยๆ จน Okano เป็นรุ่นพี่ ม.6 เป็นการแข่งขันระดับจังหวัดที่ใครชนะได้ไปแข่งระดับประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยแพ้ทีมนี้ทุกคนมีความมั่นใจว่าจะชนะ แต่อีกทีมเตรียมแทคติกมาดีคือ ประกบ Okano ที่เป็นคนทำเกมส์ให้ทีมตลอดเวลาถึง 3คน ทำให้การทำเกมส์เป็นไปอย่างลำบาก ทำให้จบ 90นาที เสมอ 1-1 เตะจุดโทษตัดสิน
ทั้งสองทีมยิงเข้าทุกคนจนมาที่คนสุดท้ายคือ Okano ……. ...........ไม่เข้าครับ (ดราม่าเกิ๊นนนน)
Okano ทรุดลงกับพื้นตรงนั้น พุดไม่ออก มีแต่น้ำตาที่ไหลออกมา เพื่อนร่วมทีมวิ่งเข้ามาคำพูดแรกคือ
“ดีนะที่คนที่ยิงไม่เข้าคือ Okano” “ถ้าเป็นเราที่ยิงไม่เข้านี่ไม่รู้จะเป็นยังไง” เป็น 2 ประโยคที่ Okano ยังคงจำเสมอมา เหมือนเป็นการพูดนัยนัยว่า คนที่สร้างชมรมฟุตบอลมากับมือตัวเองเป็นคนยิงพลาดไม่มีใครต่อว่า Okano หรอก
แม้จะจบไม่สวยเท่าไร แต่เป็นเรื่องราวที่เหมือนการ์ตูนเลย คนมันเปลี่ยนกันได้จริงๆ อยู่ที่ใจกับการกระทำ หลังจบการแข่งขันมีนักเตะ 2 คนที่ถูกเรียกไปติดทีมจังหวัดคือ ปีกตัวจี๊ด กับ กองหลังนักกล้าม สิ่งที่ Okano ปลื้มใจคือ เมื่อสมาชิกในทีมมีลูกกัน พวกเค้าสอนให้ลูกเตะฟุตบอลด้วย
เป็นอย่างไรบ้างครับ เรื่องราวของ Masayuki Okano อดีตนักบอลทีมชาติญี่ปุน