19 ต.ค. 2019 เวลา 12:08 • บันเทิง
DMZ จากเขตปลอดทหาร 2 เกาหลีสุดตึงเครียด สู่แหล่งท่องเที่ยวและอนาคตของสันติภาพ
เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ สองประเทศที่ถูกแบ่งแยกกันอันเนื่องมาจากสงคราม และยังคงอยู่ในภาวะที่เตรียมพร้อมจะรบกันได้อยู่เสมอ เนื่องจากสงครามเกาหลี ที่เกิดขึ้นระหว่างปีค.ศ. 1950-1953 นั้นยังไม่ได้สิ้นสุดลงอย่างแท้จริง ทว่ามีเพียงแค่สัญญาหยุดยิงระหว่างสองฝั่งเท่านั้น ที่ถูกลงนาม ณ วันที่ 27 กรกฏาคม ค.ศ. 1953
นั่นทำให้ซีกเหนือและใต้ของเกาหลีได้ถูกแบ่งกันที่บริเวณเส้นขนานที่ 38 องศาเหนือ ซึ่งเป็นบริเวณที่กำลังจากทั้งสองฝั่งได้มาเผชิญหน้ากัน และเมื่อสัญญาหยุดยิงได้ถูกลงนามแล้วนั้น ทหารและกองกำลังจากทั้งสองฝั่งต้องถอยหลังออกจากจุดเผชิญหน้าไปฝั่งละ 2 กิโลเมตร ซึ่งทำให้เกิดเป็นเขตปลอดทหารหรือ Demilitarized Zone (DMZ) กว้าง 4 กิโลเมตร และกินระยะยาว 250 กิโลเมตรด้วยกัน โดยมีเส้นแบ่งเขตแดนตั้งอยู่ที่กึ่งกลางของ DMZ
แม้ในเขตๆ นั้นจะเป็นเขตปลอดทหารสมชื่อ แต่บริเวณโดยรอบนั้นกลับมีกองกำลังจากทั้งสองประเทศอยู่เป็นจำนวนมาก จนเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ๆ มีการติดอาวุธและมีทหารประจำการอยู่มากที่สุดในโลกเลยทีเดียว และมีเพียงจุดเดียวในบริเวณ DMZ ที่ทั้งสองฝั่งสามารถมาเผชิญหน้ากันได้โดยตรง นั่นก็คือบริเวณเขตรักษาความปลอดภัยร่วม หรือ Joint Security Area (JSA)
ที่ JSA นั้นเป็นสถานที่ๆ มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นอยู่มากมาย ไล่ตั้งแต่ การส่งตัวเชลยสงครามผ่านสะพานที่ไม่สามารถย้อนกลับ หรือ The Bridge of No Return ซึ่งได้ชื่อมาจากการที่เชลยสงครามต้องตัดสินใจว่าจะกลับประเทศของพวกเขา หรือจะอยู่ในประเทศที่ควบคุมตัวพวกเขาอยู่ และเมื่อตัดสินใจไปแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนใจได้อีกแล้ว
นอกจากนี้ในปีค.ศ. 2017 ได้มีทหารเกาหลีเหนือชื่อ Oh Chong-Song พยายามที่จะขับรถฝ่าเข้ามาสู่ฝั่งเกาหลีใต้ เพื่อทำการลี้ภัย ทว่ารถของเขาไปติดหล่มบริเวณริมเส้นแบ่งเขตแดน จนต้องตะกุยตะกายข้ามฝั่งมา พร้อมกับถูกทหารเกาหลีเหนือรายอื่นที่พยายามยิงใส่เขา ทหารเกาหลีใต้ได้ช่วย Oh ที่มีอาการวิกฤติ และนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยด่วน ซึ่งเขานั้นรอดชีวิตในที่สุด
เนื่องจาก JSA เป็นที่เดียวที่ทั้งสองฝั่งสามารถเผชิญหน้ากันตัวต่อตัวได้ ทำให้ต้องมีการคัดเลือกทหารที่มาประจำการกันเป็นพิเศษ เช่น ทหารจากฝั่งเกาหลีใต้นั้นต้องมีส่วนสูงไม่ต่ำกว่า 170 เซนติเมตร ได้สายดำในเทควันโด และเวลาประจำการพวกเขาจะยืนในท่าที่ดัดแปลงมาจากท่าเตรียมพร้อมของเทควันโด พร้อมกับใส่แว่นกันแดดสีดำ ไม่แสดงสีหน้าท่าทางใดๆ เพื่อเป็นการข่มขวัญใส่ทหารในฝั่งเกาหลีเหนือ
ทว่าในปัจจุบันทั้งสองฝ่ายนั้นเริ่มมีท่าทีที่ค่อนข้างดีต่อกัน ทำให้ความตึงเครียดที่บริเวณ DMZ และ JSA นั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด ไล่ตั้งแต่การไล่เก็บกู้กับดับระเบิดของทั้งสองฝั่ง การปลดอาวุธทุกอย่างของทหารในบริเวณ JSA และลดจำนวนเจ้าหน้าที่ในแต่ละฝั่งลงเหลือแค่ฝั่งละ 35 คนเท่านั้น และยังเปิดให้บริเวณ JSA เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินข้ามเส้นแบ่งเขตแดนได้บางส่วนอีกด้วย
แม้สงครามระหว่างทั้งสองชาติจะยังไม่สิ้นสุดลง และประวัติศาสตร์ที่เคยมีมาจะข่มขื่นเพียงไหน แต่ท่าทีในปัจจุบันของทั้งเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ก็เป็นสัญญาณที่ดี ว่าพวกเขาพร้อมจะทิ้งอดีตไว้ข้างหลัง และร่วมกันเดินหน้าพัฒนาประเทศไปพร้อมๆ กัน ซึ่งก็ต้องติดตามดูกันต่อไปว่าเรื่องราวของพรหมแดนที่ติดอาวุธมากที่สุดในโลกจะเปลี่ยนไปแค่ไหนกัน
โฆษณา