ใครจะเชื่อว่าเด็กหนุ่มชาวไทย – มุสลิมสามคน ที่ไม่มีเครื่องดนตรีเป็นของตัวเองสักชิ้น จะกลายเป็นกลุ่มศิลปินที่มีชื่อเสียงมากที่สุดกลุ่มหนึ่งของประเทศไทย
เมธี อรุณ (กีตาร์, ร้องนำ), อนันต์ สะมัน (เบส) และ สมพร ยูโซ๊ะ (กลอง) รวมตัวกันเพื่อความฝันทางดนตรีเฉกเช่นเพื่อนรุ่นเดียวกันทั่วประเทศ นั่นคือ การประกวด HOT WAVE MUSIC AWARDS ก่อนการประกวด ทั้งสามต่างพบเจออุปสรรคต่างๆ นาๆ ร่วมกันมากมาย เริ่มจากการที่นักร้องนำถอนตัว จน เมธี ต้องมาร้องนำแทน, ไม่มีเงินทุนในการเช่าห้องอัดเพื่อทำเดโมส่งเข้าประกวด ซึ่งก็ทำได้ (อย่างทุลักทุเล), การส่งเดโมช้ากว่ากำหนด แต่ก็ยังได้เข้าร่วมประกวดแบบไม่คาดฝัน จนกระทั่งวันประกวดก็ยังขาดเครื่องดนตรี ซึ่งทั้งสามหนุ่มก็ไม่ได้ย่อท้อต่อโชคชะตา ต่างพาเครื่องแบบลูกเสือในสไตล์ของพวกเค้าพร้อมเครื่องดนตรีด้านหลังเวที ประกวด (ที่ไม่ได้ขอ) ขึ้นโชว์ความมุ่งมั่นและปลดปล่อยความสามารถของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ จนชนะใจกรรมการเข้าไปติด 1 ใน 10 วงสุดท้ายของการประกวดในครั้งนั้น และแม้ว่าจะไม่ได้รางวัลอะไรติดไม้ติดมือกลับบ้านสักรางวัลเดียว แต่ฝีไม้ลายมือในการเล่นของพวกเค้า ก็เข้าตา ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ซึ่งเป็นกรรมการตัดสินการประกวดในครั้งนั้นด้วย
วง “ ลาบานูน ” อัลบั้ม “ นมสด ” คืองานแรกของเด็กหนุ่มทั้งสาม ภายใต้การดูแลของค่าย มิวสิค บั๊กส์ ที่สร้างปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ให้กับวงการเพลงไทยต้องจารึกไว้ในประวัติ ศาสตร์งานดนตรีเลยทีเดียว ด้วยสไตล์การร้องที่โดดเด่น ทำให้เพลง ยาม และเพลง หนักใจ เพลงเด่นในอัลบั้มแรกของพวกเค้า เป็นที่รู้จักและยอมรับจากแฟนเพลงทั่วประเทศ และยังติดอันดับ อัลบั้มขายดีตลอดปี 2541 อีกด้วย
สามหนุ่ม “ ลาบานูน ” เล็งเห็นความสำคัญของการเรียน จึงจัดตั้ง “ กองทุนลาบานูน ” ขึ้น เพื่อสนับสนุนน้องๆ ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ในด้านการเรียน โดยหักรายได้ส่วนหนึ่งจากการทำงานเพลงของพวกเค้าเข้าสมทบกองทุนมาจนถึง วันนี้ นอกจากนี้ศิลปินกลุ่มนี้ยังได้รับรางวัลที่สำคัญต่างๆ มากมายจากหลายหน่วยงาน ได้แก่ รางวัลเยาวชนดีเด่น สาขาจริยธรรม จากกรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ ในวันเด็ก ประจำปี พ.ศ. 2541 และ รางวัลเยาวชนดีเด่น สาขาศิลปินนักร้องประเภทกลุ่ม จาก คณะกรรมส่งเสริมและประสานงานเยาวชนแห่งชาติ (สยช.) ประจำปี พ.ศ. 2542 สร้างชื่อเสียงให้กับบริษัทฯ และศิลปินวง “ ลาบานูน ” เป็นอย่างมาก
สองปีให้หลัง สามหนุ่มที่ใครๆ ต่างรู้จักในนามของวง “ ลาบานูน ” วงดนตรีร็อก 3 ชิ้น ได้กลับมาสร้างสีสันให้กับวงการเพลงอีกครั้ง กับรูปแบบดนตรีเฉพาะตัวที่มีการพัฒนาและมีความชัดเจนในสไตล์ของดนตรีมากขึ้น ภายใต้รหัสตัวเลขที่หลายๆ คนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี “ 191 ” (หนึ่งเก้าหนึ่ง)
“ LABANOON.. 191 ” (ลาบานูน.. หนึ่งเก้าหนึ่ง).. หน่วยปฏิบัติการพิเศษทางดนตรีคือที่พึ่งของประชาชน ที่พวกเค้าทั้งสามมองรวมถึงเรื่องความรัก
เพลง 191, รางวัลปลอบใจ, แอบรัก, ถูกทุกข้อ, บังอาจรักเธอ และเพลง ลูกบอล ล้วนเป็นเพลงเด่นของ “ ลาบานูน ” ในอัลบั้มนี้ ไม่ว่าจะเปิดคอนเสิร์ตที่ไหน แฟนเพลงต่างชวนกันไปให้กำลังใจกันอย่างล้นหลาม ครั้งหนึ่งเกิดปรากฏการณ์ที่ทำให้พวกเค้าประทับใจ เพราะไม่เคยเจอมาก่อน นับเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ว่าได้ แฟนเพลงภาคใต้แย่งกันเข้าไปดูคอนเสิร์ตของพวกเค้าเมื่อครั้งจัดคอนเสิร์ตที่ จังหวัดทางภาคใต้ แฟนเพลงเยอะมากจนรั้วที่กั้นพัง ส่งผลให้เจ้าภาพต้องรีบประกาศให้เลื่อนการแสดงคอนเสิร์ตออกไป เพื่อรื้อรั้วให้แฟนเพลงด้านนอกได้เข้าชมคอนเสิร์ตของสามหนุ่ม “ ลาบานูน ” ก่อนเกิดโศกนาฏกรรมตามมา
หลังจากทุ่มเทเวลาให้กับ การเรียนอย่างเต็มที่ “ ลาบานูน ” ก็กลับมาสร้างปรากฏการณ์ทางดนตรีอีกครั้ง กับอัลบั้ม “ ลาบานูน.. คนตัวดำ ” เพราะเพียงส่งเพลงเด่นอย่างเพลง คนตัวดำ และเพลง แฟนเก่า ออกมาสร้างกระแสได้ไม่นานก็สามารถคว้าแชมป์ อันดับ 1 บนชาร์ตวิทยุในหลายๆ จังหวัดทั่วประเทศได้อย่างง่ายดาย รวมถึงเพลง ใจง่าย, คิดในใจ ที่มาแรงและได้รับการต้อนรับจากแฟนเพลงทั่วประเทศไม่แพ้กัน ส่งผลให้อัลบั้ม “ ลาบานูน.. คนตัวดำ ” มียอดขายกว่าล้านตลับอีกครั้ง
“ MISSED CALL ” (มิสคอล) เพลงโปรโมทเพลงแรกจากอัลบั้ม “ CLEAR ” (เคลียร์) งานเพลงชุดที่ 4 ของสามหนุ่ม “ ลาบานูน ” ในปีถัดมา (ปี พ.ศ.2546) ได้รับการกล่าวขวัญจากแฟนเพลงทั่วประเทศอีกครั้งด้วย อันดับ 1 บนสถานีวิทยุหลายสถานี ตามติดมาด้วยเพลง พรุ่งนี้รวย และเพลง รักแท้ ก็สามารถเข้าไปอยู่บนชาร์ต อันดับ 1 ในหลายๆ จังหวัดอีกครั้ง
ความสำเร็จของวง “ ลาบานูน ” ไม่ได้หยุดไว้เพียงแค่นั้น เมื่อ MGA. (เอ็มจีเอ) บริษัทตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ของประเทศจัดงานใหญ่ฉลองครบรอบ 10 ปี พร้อมมอบรางวัลให้กับศิลปินและบริษัทที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในรอบ 10 ปีของ MGA. ซึ่ง “ ลาบานูน ” เป็นศิลปินกลุ่มนอกสังกัดแกรมมี่เพียงกลุ่มเดียวที่ได้รับเกียรติให้รับ รางวัล BEST SILVER AWARDS ร่วมกับศิลปินในสังกัดแกรมมี่ อย่าง วงโลโซ, ไมค์ ภิรมย์พร
ปลายปี 2547 เหตุการณ์รุนแรงทาง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เริ่มรุนแรงมากขึ้น สามหนุ่ม “ ลาบานูน ” ซึ่งเป็นคนใต้อย่างเต็มตัวก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ด้วยครอบครัว, เพื่อนและญาติพี่น้องที่อยู่ทางภาคใต้ ล้วนแล้วแต่ต้องเผชิญกับปัญหาในเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่มากก็น้อย แต่สิ่งที่พวกเค้าสามารถทำได้ดีที่สุดในขณะนั้นก็คือการส่งกำลังใจผ่านทาง เพลงที่พวกเค้าตั้งใจแต่งขึ้นมา เพื่อให้กำลังใจกับทางบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเพลง เป็นตายร้ายดี, โอ้เพื่อนเอ๋ย และเพลง รวมกันเราอยู่ ในอัลบั้มรวมความเป็นหนึ่งของพวกเค้า “ ONE ” (วัน)
โลกของ “ ลาบานูน ” ไม่เคยหยุดนิ่ง เมื่อพวกเค้าทั้งสามเห็นพ้องต้องกันว่าอยากให้อัลบั้มชุดใหม่อัลบั้ม “ สยามเซ็นเตอร์ ” (ปี พ.ศ. 2548) มีอะไรที่แปลกใหม่ไม่เหมือนที่ “ ลาบานูน ” เคยมีมาก่อน เพลง สยามเซ็นเตอร์ จึงเกิดขึ้น และเมื่อได้รับการเปิดแนะนำทางวิทยุก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงที่มาของ เจ้าของเสียงร้องว่า ไม่ใช่เสียงของ เมธี ซึ่งเป็นนักร้องนำ แต่กลายเป็นเสียงของ อนันต์ มือเบส ประกอบกับมิวสิควีดีโอที่ทำเป็นแอนนิเมชั่นจากฝีมือของ บริษัท VITHITA ANIMATION เจ้าของผลงานชิ้นเยี่ยม ปังปอนด์, หนูหิ่น อินเตอร์ ฯลฯ เรียกได้ว่าสร้างสีสันให้กับ “ ลาบานูน ” ให้แตกต่างจากอัลบั้มที่ผ่านๆ มาอย่างเห็นได้ชัด ตามติดมาด้วยเพลงฮิตทั่วประเทศอย่างเพลง ไม่รู้ไม่ชี้, ฝันหวาน, เท่าเดิม ฯลฯ
ปี 2549 พวกเค้าได้กลับมาเขย่าชาร์ตวิทยุทั่วประเทศอีกครั้งกับอัลบั้ม “ 24 ชั่วโมง ” งานเพลงลำดับที่ 6 กับประสบการณ์บนถนนสายดนตรีที่พวกเค้าได้สั่งสมมาตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา อัลบั้ม “ 24 ชั่วโมง ” คือสิ่งที่พวกเค้าอยากมีส่วนร่วมกับแฟนเพลงตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ไหนก็ตาม
“ คำต้องห้าม ” คือเพลงแรกจากอัลบั้มนี้ที่พวกเค้าส่งออกมาแนะนำให้แฟนเพลงทั่วประเทศได้ฟัง กัน และก็เป็นที่แน่นอนว่า ด้วยระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์ เพลง “ คำต้องห้าม ” ก็สามารถขึ้นไปอยู่บนชาร์ตอันดับต้นๆ ทั่วประเทศอย่างที่คาดหวัง ไม่ว่าจะเป็น อันดับ 1 จังหวัดยโสธร, จังหวัดกาญจนบุรี, จังหวัดลำพูน, จังหวัดสุราษฎร์ธานี อันดับ 2 จังหวัดสงขลา, จังหวัดเพชรบุรี, จังหวัดระยอง อันดับ 3 จังหวัดภูเก็ต อันดับ 4 จังหวัดยะลา, จังหวัดชลบุรี อันดับ 5 จังหวัดศรีสะเกษ, จังหวัดหนองคาย ฯลฯ
บทสรุปของวง “ ลาบานูน ” ณ วันนี้คือหนึ่งศิลปินในใจคนไทยทั่วประเทศ หากแต่บทสรุปของทั้งสามในอนาคต อาจเป็นที่หนึ่งในใจคนทั่วโลกก็เป็นได้