25 ต.ค. 2019 เวลา 13:00 • ธุรกิจ
ติดปีกให้เงินทำงาน
ติดปีกให้เงินทำงาน
เราได้รู้ความมหัศจรรย์สิ่งที่ 8 นั้นก็คือ "อัตราดอกเบี้ย" นั้นเอง
หลังจากทำความเข้าใจ เรื่องของดอกเบี้ยไปแล้ว คุณจะเริ่มมีความสงสัยหลายๆจุด
-เงินต้นจะหามาได้ยังไง
1
-อัตราดอกเบี้ยสูงๆมีอยู่อีกเหรอ?
1
ผมขอตอบจากข้อมูลที่เป็นจริงครับ
-การฝากธนาคาร ไม่สามารถให้ผลตอบแทนระดับนั้นได้ครับ
ต้องย้อนกลับไปก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง รุ่นพ่อรุ่นแม่ อาจจะเคยเห็นดอกเบี้ย สูง ใครมีเงินต้นเยอะๆก็แทบจะเป็นเสือนอนกินเลยครับ
หากแต่หลังจากวิกฤตต้มยำกุ้ง ธนาคารก็ลดดอกเบี้ยมาโดยตลอด แนวทาง เพื่อเป็นกระตุ้นเศรษฐกิจทางอ้อม โดยเมื่อผู้ออมเห็นว่าการฝากเงินที่ดอกเบี้ยได้ต่ำก็
1.จะนำเงินมาบริโภค
2.กับนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า
เราจะเห็นได้ว่า หลังจากที่ใช้มาตรการนี้ ก็ทำให้มีการฟื้นเศรษฐกิจตามมาจริงๆ โดยดูได้จากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ ดัชนี set index ที่หลังเจอวิกฤตต้มยำกุ้ง ดัชนีไปแตะ แถว 200 กว่า แล้วก็เคลื่อนไหวเป็นแนวโน้มขึ้นมาตลอดจนถึงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ปี 2008 ดัชนีก็ย่อตัวลงมา แถว 300 กว่า ก่อนจะขยับขึ้นมาต่อเนื่องครับ
จุดต่ำสุด-จุดสูงสุด ของดัชนีตลากหลักทรัพย์ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ไม่สามารถบอกได้ว่า ณ เวลานี้เป็นจุดสูงสุดแล้วหรือยัง เพียงแต่อยากนำเสนอว่า ในวิกฤตมีโอกาสเสมอ
1
และช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตหากเรา "กล้า" นำเงินมาวางในธุรกิจที่ดี สามารถผ่านวิกฤตไปได้ หุ้นลักษณะนี้จะสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้ดีเลยที่เดียวครับ
1
ในหลักการลงทุน มักมีคำกล่าวว่า "high risk high return" ความเสี่ยงสูงผลตอบแทนสูง
ความจริงแล้ว มี 2 สิ่งที่ผมมองว่าช่วยลดความเสี่ยงในทางทฤษฎี นั้นก็คือ
1.เวลา
2.ความรู้
-ยิ่งเราวางแผนการลงทุนระยะยาว เราจะช่วยลดความผันผวนของราคาลงได้ นั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในทางปฎิบัติ
ผมยกตัวอย่างเรื่องการเดินทาง
ถ้าเราต้องการเดินทางไปเชียงใหม่ มี ให้เลือกการเดินทาง ระหว่าง รถยนต์ กับ รถไฟ
คุณว่า การเดินทางชนิดไหนมีความเสี่ยงกว่ากัน
แน่นอนว่ารถยนต์ มีความเสี่ยงมากกว่า เพราะเส้นทางที่เราขับต้องใช้ความเร็วมากกว่า สภาพถนนต่างๆ ในขณะที่รถไฟ ใช้ความเร็วคงที่ ไปเรื่อยๆ แต่ก็ทำให้ถึงช้ากว่า การขับรถยนต์แน่นอน
1
การลงทุนระยะยาว ก็เช่นกัน ที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงลงได้ด้วยเรื่องเวลา
-ในเรื่องของความรู้ ก็เป็นการลดความเสี่ยงเช่นเดียวกัน แทนที่เราจะกระโดดไปขับรถเลย ทำให้เราอาจจะแหกโค้งได้ เราก็มาศึกษาคนที่มีประสบการณ์ คนสอนขับรถ ให้เรารู้เบื้องต้น กลไกการทำงานของเครื่องยนต์ กติกาต่างๆในการขับขี่
ความรู้การลงทุน ก็เช่นกัน ที่เราสามารถถามคนที่มีความรู้ มีประสบการณ์มาก่อน แต่ที่สุดแล้วเราก็ต้องลองลงทุนเองในที่สุดครับ
ความรู้ฟรีหาได้ที่ www.set.or.th
ที่นี้ผมจะลองไล่เรียง ตราสารที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุดไปจน ตราสารที่มีความเสี่ยงมาก
เรามาไล่ดูตามนะครับว่าสินค้าทางการเงินมีอะไรบ้าง
1.เงินฝาก สินค้าที่เรารู้จักดี
ข้อดี เป็นเงินที่มีสภาพคล่องสูง ถอนฝากง่ายๆกดตู้เอทีเอ็มก็ง่าย โอนทางเน็ตก็ง่ายๆ
ข้อเสีย มีอัตราดอกเบี้ยต่ำนั้นเอง
2.เงินฝากประจำ เป็นเงินฝากที่กำหนดระยะเวลาการฝากเป็นช่วง 3,6,12 เดือน
ข้อดี เงินฝากประจำ จะให้ผลตอบแทนสูงกว่า เงินฝาก
ข้อเสีย มีสภาพคล่องสู้เงินฝากไม่ได้
3.เงินฝากประเภททวีทั้งหลาย เป็นเงินที่ให้อัตราพิเศษขึ้นมาหน่อยแต่ต้องฝากนานขึ้น เป็น 12 ,24 เดือน แน่นอนดอกเบี้ยก็ได้พิเศษขึ้น
ข้อดี ดอกเบี้ยสูงกว่าฝากประจำ
ข้อเสีย สภาพคล่องก็ลดลงเช่นกัน
4.เงินฝากแบบมีเงื่อนไข เป็นกึ่งแบบฝากประจำกับออมทรัพย์ โดยจะกำหนดเงื่อนไขว่าถอนเงินได้ แต่อาจเป็นเดือนละครั้งเฉพาะดอกเบี้ยโดยให้อัตราดอกเบี้ยที่ดีกว่าออมทรัพย์ ครับ
ข้อดี ให้อัตราดอกเบี้ยดีกว่าเงินฝาก แถมสามารถถอนเงินได้ในยามฉุกเฉิน
ข้อเสีย สภาพคล่องต่ำกว่าเงินฝาก
5.ตราสารหนี้ ชนิดต่างๆ ผู้ถือหน่วยจะแสดงความเป็นเจ้าหนี้ ธนาคารมักออกระยะสั้น
ข้อดี มีอัตราดอกเบี้ยดีกว่าเงินฝาก
ข้อเสีย มีสภาพคล่องต่ำกว่า มีเงื่อนไขในการถอนเงิน
6.กองทุน ในช่วง ทศวรรษที่ผ่านมา กองทุนถือว่าเข้ามาบทบาทมากขึ้นในการระดมเงินทุน เพื่อลงทุนทั้งตราสารหนี้ ตราสารทุน ตราสารอนุพันธ์ุ โดยจะเก็บค่าธรรมเนียมของผู้ถือหน่วยลงทุน
ข้อดีิ มีผู้บริหารกองทุนมืออาชีพช่วยดูแล ที่มีใบอนุญาติในการระดมทุนได้
ข้อเสีย กองทุนจะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม กับมีความเสี่ยงเรื่องความผันผวนของหน่วยลงทุน และมีกองทุนให้เยอะจนตาลายว่าอันไหนดีอันไหนไม่ดีครับ
7.ตราสารทุน ตราสารซึ่งแสดงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของในบริษัท หรือเรียกว่า หุ้นส่วนของบริษัทก็ได้
ข้อดี อัตราผลตอบแทนสูงกว่า ตราสารหนี้
1
มีเงินปันผลให้สำหรับกิจการที่ดี
ข้อเสีย ความเสี่ยงสูงกว่าเช่นกัน
8.ตราสารอนุพันธุ์ คือ ตราสารแสดงสิทธิ์ในสินค้าที่อ้างอิง คล้ายสัญญาจะซื้อจะขาย
1
เช่น เราทำสัญญาจะซื้อจะขาย บ้านหลังหนึ่ง โดยมีการตกลงกัน โดยการวางเงินมัดจำไว้ล่วงหน้า ว่าจะซื้อบ้านหลังนี้ ยังไม่ได้เป็นเจ้าของจริงๆ จะไม่เหมือนการซื้อในหุ้น ที่ถือว่าเป็นเจ้าของแล้ว
ข้อดีิ - มีอัตราทดที่สูงกว่าหุ้น เช่นหุ้น ขึ้น 1% อนุพันธุ์ ขึ้น 10% ในทางกลับกัน หุ้น ลง 1% อนุพันธุ์ก็ลง 10% เป็นต้น
-สามารถ เทรดได้ทั้งขาขึ้นและขาลง
ข้อเสีย มีระยะเวลากำหนด ไม่มีเงินปันผล
ก็เป็นไล่เรียงตราสารต่างๆจากความเสี่ยงน้อยไปมาก ซึ่งจะบอกว่า อันไหนดีกว่ากัน นั้นไม่สามารถตอบได้
เพราะผู้อ่านแต่ละคนไม่สามารถรับความเสี่ยงได้เท่ากัน จะบอกว่าให้ไปลงทุนในหุ้นทุกคนเป็นไปไม่ได้
เราต้องประเมินความเสี่ยงด้วยตนเอง ว่าเราสามารถรับความเสี่ยงได้แค่ไหน
ทั้งนี้ทั้งนั้น เราสามารถกระจายความเสี่ยง ด้วยการจัดพอร์ตผสมกันได้ (asset allocation) ตามความเสี่ยงเทียบกับผลตอบแทนที่เราต้องการได้ครับ
1
"ทุกความเสี่ยง สามารถจัดการได้ด้วยความรู้ที่เพิ่มขึ้นครับ"
ก็หวังบทความนี้จะมีประโยชน์ ฝากกด like กด share กดติดตามเป็นกำลังใจให้แอดด้วยเด้อ^^
reference:
-www.set.or.th
-www.settrade.com
-steaming
ช่องทางการติดตาม:twintrade เล่าหุ้นให้มันง่าย

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา