25 ต.ค. 2019 เวลา 02:25 • ปรัชญา
“ อย่าปล่อยให้ใครมาบอกลูก ว่าลูกทำไม่ได้ แม้แต่ตัวพ่อเอง “
ประโยคนี้มาจากภาพยนต์เรื่อง “ The Pursuit of Happyness ” ซึ่งนำแสดงโดย Will Smith
หนังเรื่องนี้สร้างมาจากเรื่องจริง ของ Chris Gardner ชายผู้ประสบความสำเร็จในธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์ชาวอเมริกัน ซึ่งกว่าจะมาถึงจุดนี้ เขาเคยประสบกับมรสุมชีวิต โดนเมียทิ้ง ถูกไล่ออกจากบ้านเช่า เป็นคนไร้บ้าน ถึงขั้นเคยต้องพาลูกชายเข้าไปนอนในห้องน้ำสาธารณะมาแล้ว
อะไรที่ทำให้เขาฝ่าฝันอุปสรรค มาจนถึงวันที่เขาประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ได้
วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟัง เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่านค่ะ
Chris Gardner เศรษฐีผู้ซึ่งประสบชะตากรรมเคยเป็นชายไร้บ้านมาก่อน
Chris เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน โดยที่ไม่รู้ว่าพ่อของเขาคือใคร ส่วนแม่นั้นก็มีแฟนใหม่ที่ติดเหล้าและชอบทำร้ายร่างกาย ทำให้ Chris ต้องไปอยู่บ้านสงเคราะห์ในบางครั้งที่แม่และพ่อเลี้ยงมีปัญหากัน
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เรียนจนจบชั้นมัธยม และเข้าประจำการเป็นทหารเรือนานถึง 4 ปี ก่อนจะผันตัวมาเป็นเซลล์แมนขายอุปกรณ์ทางการแพทย์ (เครื่องแสกนกระดูก)อยู่ในเมืองซานฟรานซิสโก
จุดตกต่ำที่สุดในชีวิตของเขาเกิดขึ้นในช่วงปี 1980
เมื่อเครื่องแสกนกระดูกที่เขาเป็นตัวแทนขายอยู่นั้น ไม่เป็นที่นิยมในวงการแพทย์
เนื่องจากแพทย์ส่วนใหญ่มองว่าสิ้นเปลือง
นั่นทำให้ Chris ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เพราะเขามีรายได้แค่ทางเดียว แต่มีภาระรับผิดชอบในการเลี้ยงภรรยา และลูกชายอีก1คน ไหนจะค่าเช่าบ้านและค่าใช้จ่ายต่างๆอีก จนสุดท้ายเขาโดนไล่ออกจากบ้านเช่าเนื่องจากค้างค่าเช่ามาเป็นเวลานาน หนำซ้ำภรรยายังมาทิ้งไปอีก
นั่นทำให้เขาและลูกชายต้องพบกับการผจญภัย ที่เปลี่ยนชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล
ด้วยสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะแย่ลงเรื่อยๆ Chris ต้องทำงานหนักขึ้น เขาแบกอุปกรณ์ไปขายตามโรงพยาบาลต่างๆ เสร็จจากงานก็ต้องรีบไปรับลูกจากศูนย์เลี้ยงเด็ก แล้วต้องไปต่อแถวเพื่อขอนอนในห้องพักที่รัฐจัดไว้ให้สำหรับคนไร้บ้าน ซึ่งบางวันที่ไปเข้าคิวไม่ทัน เขาและลูกก็ต้องไปนอนตามสวนสาธารณะ แม้กระทั่งในห้องน้ำสาธารณะเขากับลูกก็ไปนอนมาแล้ว
ภาพจากภาพยนตร์ เป็นตอนที่ Chris และลูกชายไปอาศัยนอนในห้องน้ำสาธ
จุดเปลี่ยนของเขาคือ วันนึงเขาเห็นชายคนหนึ่งลงมาจากรถหรู ซึ่งชายคนนั้นอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา เขาตัดสินใจเดินเข้าไปทักทายและถามชายคนนั้นว่า “ ขอโทษที แต่ผมอยากรู้ว่า คุณทำงานอะไร ถึงได้มีเงินซื้อรถแพงขนาดนี้ได้ ”
ชายคนนั้นตอบว่า “ ผมเป็นนายหน้าขายหลักทรัพย์ “
ชายคนดังกล่าวคือ Bob Bridges แห่งบริษัท ดีน วินเทอร์ เรยโนลด์
นั่นเป็นจุดเปลี่ยนแรกที่ทำให้เขาสนใจอยากจะเป็น นายหน้าขายหลักทรัพย์
Chris ได้สมัครเป็นนายหน้าค้าหุ้นที่บริษัทแห่งหนึ่ง เขาสอบสัมภาษณ์ผ่าน แต่เขาต้องฝึกประสบการณ์เป็นระยะเวลานานถึง 6เดือน โดยระหว่างนี้ไม่มีการจ่ายเงินเดือนให้ ซึ่งหลังจากฝึกงานจบแล้วเขาต้องสอบแข่งขันอีกครั้ง โดยที่บริษัทจะรับคนเข้าทำงานเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
อ่านถึงตรงนี้ เป็นเราอาจจะยอมแพ้ไปแล้ว แต่ Chris ไม่
ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่หนักหน่วงมากในชีวิตเขา ไม่มีเงิน ไม่มีที่อยู่ กลางวันต้องเอาลูกไปฝากไว้ที่ศูนย์รับเลี้ยง แล้วตัวเองออกไปฝึกงาน บางวันก็ต้องกระเตงลูกออกไปทำงานด้วย ตกเย็นต้องรีบไปเข้าแถวรอห้องพัก กลางคืนอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบ
สิ่งที่ทำให้เขาผ่านช่วงเวลายากลำบากนี้มาได้ คือความคิดที่ว่า “ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น” บวกกับความมุ่งมั่น มุมานะ และอดทน จนถึงวันที่ประกาศผลสอบ เข้าได้ที่1 และได้รับการบรรจุเป็นพนักงานของบริษัท จนต่อมาเข้าออกมาเปิดบริษัทนายหน้าของตัวเองชื่อว่า Gardner Rich & co
ปัจจุบันเขามีทรัพย์สินทั้งหมดมูลค่าราว คือ 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เขาบริจาคเงินจำนวนมากให้องค์กรการกุศลที่ช่วยเหลือคนไร้บ้าน และสนับสนุนองค์กรต่อต้านการใช้ความรุนแรงกับผู้หญิง
ทุกวันนี้เขาผันตัวเองมาเป็นนักพูดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วโลก
คำว่า “ Happyness “ ในชื่อเรื่อง “ The Pursuit of Happyness ” นั้น หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมไม่สะกดให้ถูกต้อง เพราะ “ Happiness ” ต้องมีตัว i
อันนี้เป็นความตั้งใจส่วนตัวของ Chris เพราะครั้งแรกที่เห็นคำนี้ (Happyness) ในตรอกแถวศูนย์รับเลี้ยงเด็กที่เขาพาลูกไปฝากไว้ เขาเกิดความสงสัยว่าทำไมไม่มีตัว i (Why not i ?)
หรืออีกนัยนึงคือ ทำไมไม่มีฉัน (i เปรียบเป็นตัว Chris) ในความสุขนั้น
ทั้งนี้เพื่อเป็นการบอกถึงความรู้สึกของเขาในช่วงเวลาดังกล่าว ว่าเขาทุกข์แสนสาหัสขนาดไหน
“ อย่าปล่อยให้ใครมาบอกลูก ว่าลูกทำไม่ได้ แม้แต่ตัวพ่อเอง “
ประโยคนี้ในหนัง เขาได้พูดกับลูกชายตอนที่พาลูกชายไปยืนดูคนเล่นบาสเกตบอล
ลูกชายของเขาพูดว่า “ ผมจะโตขึ้นเป็นนักบาสเกตบอลที่เก่งระดับโลกให้ได้ ”
Chris ขัดลูกในทันทีที่ได้ยินว่า “ มันยากที่จะเป็นได้นะลูก “ แต่ทันทีที่หลุดพูดคำนี้ออกไป เขาก็ตระหนักได้ว่ากำลังทำลายขวัญและกำลังใจของลูก เขาเลยบอกลูกไปอีกทีว่า “ อย่าปล่อยให้ใครมาบอกลูก ว่าลูกทำไม่ได้ แม้แต่ตัวพ่อเอง “
ขอให้เรื่องนี้ได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่านทุกท่านนะคะ
ติดตามเรื่องราวดีๆให้กำลังใจแบบนี้ได้ที่
Better than yesterday เลยค่า
✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨✨
ที่มา : google.com
โฆษณา