25 ต.ค. 2019 เวลา 15:40 • ประวัติศาสตร์
ไททานิคแห่งอิตาลี
ความทรงจำเลือนลางที่หายไปกับกาลเวลา
ซีรีส์วันนี้ ณ อดีต "25 ตุลาคม 1927"
การจมลงของเรือ SS Principessa Mafalda ของอิตาลี มันถือเป็นความสูญเสียที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์การเดินเรือในซีกโลกใต้ ถ้าไม่นับความสูญเสียที่เกิดในภาวะสงครามนะครับ
ภาพเรือ PRINCIPESSA MAFALDA Cr : earlofcruise.blogspot.com
11 ตุลาคมปี 1927 คือวันเดินทางเที่ยวสุดท้ายของเธอ เรือ SS Principessa Mafalda ออกเดินทางจากท่าเรือ เจนัวมุ่งหน้าถือเข็มทิศเดินเรือ
ไปยังบัวโนสไอเรสอาร์เจนตินา
บนเรือแบ่งชั้นผู้โดยสารออกเป็น 3 ชั้นคือ
ผู้โดยสารชั้นสามจำนวน 821 คน
ผู้โดยสารชั้นสอง 95 คน
และผู้โดยสารชั้นหนึ่ง 52 คน
รวมทั้งลูกเรือจำนวน 287 คน
ความหรูหราของห้องโดยสารชั้น 1
เป็นการแสดงสัญลักษณ์แห่งการแบ่งชนชั้นวรรณะได้อย่างชัดเจน
ความหรูหราของห้องพักผ่อน ผู้โดยสารชั้น 1 Cr : www.dailytelegraph.com.au/
ผู้โดยสารส่วนใหญ่ซึ่งเป็นผู้โดยสารชั้น 3 กำลังออกเดินทางตามหาความฝันของพวกเขาไปยังแผ่นดินใหม่ส่วนใหญ่เขาเหล่านั้นเป็นชนชั้นใช้แรงงาน
การเดินทางที่ใช้ระยะเวลายาวนานเป็นอาทิตย์ได้เริ่มต้นด้วยสัญญาณที่ไม่ดีนัก เครื่องจักรขับใบพัดของเรือหยุดการทำงานหลายต่อหลายครั้ง ระบบความเย็นในการถนอมอาหารก็ขัดข้องทำให้อาหารจำนวนหลายตันต้องเน่าเสีย ถ้าพูดตามความเชื่อมองดูเป็นลางไม่ดีเลยนะครับ
ปัญหาเรื่องเครื่องยนต์ได้รับการแก้ไข
และอาหารชุดใหม่ได้รับการเปลี่ยนทดแทน
เมื่อเรือ SS Principessa Mafalda
จอดที่ท่าเรือ Cabo Verde
ทุกอย่างดูดีครับ กัปตันเรือจึงถือเข็มทิศไปทางทิศใต้
มุ่งสู่มหาสมุทรแอตแลนติกอีกครั้ง
เพื่อเดินทางไปยังบัวโนสไอเรส โดยไม่รู้เลยว่าหายนะครั้งใหญ่กำลังรอพวกเขาอยู่
บ่ายที่ร้อนระอุในวันที่ "25 ตุลาคมปี 1927"
หรือวันนี้เมื่อ 92 ปีที่ผ่านมา
เรือมุ่งหน้าไปทางฝั่งตะวันออกของชายฝั่งบราซิล
ด้วยความเร็วเดินเรือสูงสุดเพื่อหวังชดเชยเวลาที่ล่าช้าจากปัญหาด้านเครื่องยนต์เมื่อเริ่มเดินทาง
ผู้โดยสารต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนหลังมื้อกลางวัน
เวลาที่มีการบันทึกไว้คือบ่าย 4 โมงเย็นในวันนั้น
เรือ SS Principessa Mafalda ได้แล่นผ่านเรือ EMPIRE STAR ของอังกฤษที่ล่องเรือสวนทางไป
และมีการส่งสัญญาณแตรเดินเรือเป็นการทักทายกัน
เวลาประมาณ 5 โมงเย็น ฉับพลัน!!เรือถูกเขย่าอย่างรุนแรงช่างประจำสะพานเดินเรือได้รายงานกัปตันว่าชิ้นส่วนใหญ่ของใบพัดเรือได้หลุดออกจากแกน และมันถูกเหวี่ยงด้วยแรงส่งไปตัดกับลำตัวเรือ สร้างความเสียหาย ให้กับลำตัวเรืออย่างมาก
4
ที่นี้ล่ะครับบ่ายที่ดูเป็นวันที่เงียบสงบก็กลายเป็นความโกลาหลที่ทุกคนไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน
2
มวลน้ำจำนวนมากก็ทะลักเข้ามาที่ห้องเครื่องยนต์
เรือ SS Principessa Mafalda กำลังจะจม!!
กัปตัน Simon Guli ตัดสินใจประกาศภาวะฉุกเฉินในอีก 20 นาทีถัดมา พร้อมกับส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปยังเรือที่อยู่ในรัศมีที่ใกล้เคียง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเรือ EMPIRE STAR ของอังกฤษที่พึ่งแล่นสวนไปนั่นเอง… กัปตันเรือ EMPIRE STAR ได้ปรับหางเสือวนกลับมาช่วยเหลือโดยทันที รวมทั้งเรือ ALHENA ของเนเธอร์แลนด์ ก็เป็นอีกลำที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือเช่นกัน
ภาพที่คนบนเรือทั้งสองที่เข้ามาช่วยเห็น คือความโกลาหล ลูกเรือของเรือ SS Principessa Mafalda พยายามตะโกนบอกให้ผู้โดยสารอยู่ในความสงบ
ลูกเรือและผู้โดยสารพยายามหนีตายออกจากเรือ Cr :earlofcruise.blogspot.com
แต่เมื่อเรือชูชีพลำแรกถูกปล่อยลงทะเล
กลับพบว่าเรือลำนั้น มีแต่ลูกเรือรวมทั้งหัวหน้าลูกเรือ
ที่เอาชีวิตรอดก่อนผู้โดยสาร
ในขณะที่ความโกลาหลยังคงดำเนินต่อไปผู้โดยสารชั้น 3 ได้บุกขึ้นไปในห้องพักของผู้โดยสารชั้น 2 และผู้โดยสารชั้น 1 พร้อมกับอาวุธมีด การปล้นสะดมเกิดขึ้นในภาวะที่ทุกคนกำลังวิ่งหนีความตาย
มีรายงานว่าผู้โดยสารชั้น 2 และชั้น 1 ถูกบังคับให้ส่งทรัพย์สินมีค่าให้กับกลุ่มผู้โดยสารชั้น 3 บางคน
นอกจากนั้นผู้โดยสารชั้น 3 ยังเข้ายึดเรือชูชีพที่เหลืออยู่
เรือชูชีพบางลำกลับไม่ได้ถูกใช้ เนื่องจากความโกลาหลและแก่งแย่ง ทุกอย่างดูช่างไร้ระเบียบและทวีความวุ่นวายเมื่อทุกคนไม่เคารพกติกา
ความเห็นแก่ตัวก็ทวีความรุนแรงขึ้น
ผู้โดยสารชั้น 1 และชั้น 2 ที่หลายคนมีอาวุธปืนก็เริ่มทำการยิง ผู้โดยสารชั้น 3 ที่มีอาวุธมีดก็ใช้ในการปล้นสะดม ไม่อยากจะนึกภาพเลยนะครับว่าในวินาทีนั้น
อะไรเกิดขึ้นบ้างบนเรือ
กรณีที่เกิดขึ้นกับ SS Principessa Mafalda มีข้อแตกต่างกับเรือไททานิคก็คือเรือหลายลำที่อยู่ละแวกนั้นได้เข้ามาช่วยเหลือผู้ประสบภัย ฉะนั้นถ้าความโกลาหลวุ่นวายหรือความเห็นแก่ตัวไม่เกิดขึ้นบนเรือ SS Principessa Mafalda เชื่อว่าจำนวนผู้โดยสารที่รอดชีวิตจะมีมากกว่านี้อย่างแน่นอน
ผู้โดยสารบางคนที่ลงเรือชูชีพไม่ทัน ก็ใส่เสื้อชูชีพและตัดสินใจกระโดดจากดาดฟ้าเรือลงสู่ทะเล
เรือหลายลำที่เข้ามาช่วยชีวิตก็ดึงเขาเหล่านั้น
ขึ้นมา แล้วนำผู้รอดชีวิตเข้าสู่ฝั่งของบราซิล
5 ชั่วโมงหลังจากนั้นเรือก็จมลงทั้งหมด
จากผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมด 1,255 คน
มีจำนวนผู้เสียชีวิตคือ 324 คน แบ่งเป็นผู้โดยสารชั้น 1 จำนวน 27 คน ชั้น 2 จำนวน 37 คน และชั้น 3 จำนวน
228 คน รวมทั้งลูกเรือ 32 คนที่เสียชีวิตด้วย
ในนี้รวมถึงกัปตัน Simon Guli ที่ยอมจบชีวิตของเขาไปพร้อมกับเรือของตัวเอง
การสอบสวนระบุว่าข้อต่อข้อใบพัดหลักชำรุดและ
มีปัญหารวมทั้งเรือชูชีพ 6 ลำที่ติดตั้ง
ไม่สามารถใช้งานได้
ความเร่งรีบเพื่อให้ทันเวลา ชดเชยความล่าช้า
เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ใบพัดทำงานหนักจนเกินไป
ทิ้งความสูญเสียและร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์ไว้เบื้องหลัง
ปัจจุบันซากของเรือที่ตำแหน่งเรือจม
ยังไม่เคยมีใครได้ค้นพบ แล้วก็คงทิ้งเป็นปริศนาต่อไป
กัปตันหมี

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา