- - ปริมาณ Hop ก็มีส่วนเกี่ยวข้องคือ ยิ่งใส่เยอะก็ยิ่งให้ความขมมาก
- ระยะเวลา (Time) อันนี้ก็สำคัญเพราะยิ่งต้มนานก็ยิ่งขม เนื่องด้วยน้ำระเหยออกไปทำให้ความเข้มข้นมันมากขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้ยิ่งต้มนานกลิ่นก็ยิ่งระเหยหายออกไป ฉะนั้นคนที่ทำ Bittering Hop มักจะเลือกใช้ Hop ที่ให้ค่าความขมสูงๆ โดยเฉพาะเลย และไม่สนใจเรื่องกลิ่นเพราะกลิ่นยังไงก็ไม่ค่อยได้อยู่แล้ว
หลักการทำ Bittering Hop (First Hop Addition) นั้น ต้องต้ม wort ให้เดือดจนเกิด Hot Break แล้วรอให้ Hot Break จบไปก่อน (ฟองโปรตีนหมด) ก็จะเริ่มใส่ Bittering Hop จากนั้นก็จับเวลานับถอยหลัง 60 นาที ภาษาฝรั่งมักเรียกว่า Sixty minutes hop addition อย่างไรก็ตามคนส่วนใหญ่มักตั้งที่ 60 นาที จนดูคล้ายจะเป็นมาตรฐานไปโดยปริยาย แต่ไม่จำเป็นต้องทำ 60 นาทีก็ได้
2. Favoring Hop
คือการใส่ Hop ในช่วงกลางของการทำ Hop Addition เพื่อปรับสมดุลระหว่างความขมและกลิ่นที่หายไปจากการทำ Bittering Hop ทั้งนี้ Favoring Hop จะทำให้เบียร์ดูมีรสชาติและความหอมเพิ่มเติมมากขึ้นไปกว่าที่จะได้แค่ความขม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการทำ Favoring Hop จะไม่ได้เพิ่มความขม ความขมนั้นก็ยังคงเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ใส่ฮ๊อปลงไปแต่จะไม่มากเท่าการทำ Bittering Hop ฉะนั้นการทำ Favoring Hop จึงมักเลือกสายพันธุ์ Hop ที่มีค่า AAU กลาง ค่อนไปทางต่ำ และมีรส และกลิ่นหอมแรงๆ เช่น Cascade, Citra, Nelson Sauvin, Northern Brewer, Simcoe เป็นต้น อย่างไรก็ตามบางคนอาจจะใช้ Hop สายพันธุ์ที่มีค่า AAU สูงแต่ให้รสและกลิ่นที่แรงก็ได้ แล้วปรับค่าเวลาเอาอีกที
การทำ Favoring Hop (Second hop addition) มักใส่ฮ๊อปในช่วงกลางโดยอาจใส่ในนาทีที่ 30 หรือ นาทีที่ 20 ก็ได้ หมายถึง เมื่อนับเวลาถอยหลังจาก Bittering Hop แล้วเหลือเวลาอีก 30 นาที ก็ให้เริ่มใส่ Favoring Hop ทันที จากนั้นก็ต้มต่อไป (*** อย่าสับสนเรื่องเวลานะ!!! ไม่ใช่ว่ารอ Bittering Hop 60 นาทีจบแล้วจึงมาใส่ Favoring Hop อีก 30 นาทีนะ หากทำแบบนี้ก็เท่ากับว่าต้มยาวกัน 90 นาที เป็นอันจบเห่กันพอดี น้ำ wort คงแห้งเหือดหายไม่เหลือไรให้ทำกินกันล่ะทีนี้ จำหลักง่ายๆ คือ ตั้งเวลานับถอยหลัง ***)
3. Finishing Hop
คือการใส่ Hop ในช่วงสุดท้ายของการทำ Hop Addition ก่อนที่จะปิดไฟเตาทั้งหมด เพื่อสร้างกลิ่นและความหอมให้กับเบียร์ เพราะ ในช่วงสุดท้ายต้มเพียงแค่ 10 นาที หรือ 5 นาที หรือ 3 นาที หรือ 1 นาที ก็แล้วแต่จะเลือกเอา แต่ที่แน่ๆ คือการต้มเพียงแค่ไม่กี่นาทีจะทำให้น้ำมันหอมระเหยที่อยู่ใน Hop สูญเสียไปน้อยที่สุด ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นกลิ่นหอมของ Hop สายพันธุ์ที่ได้เลือกไว้นั่นเอง และสำหรับสายพันธุ์ Hop ที่ควรนำมาใช้ในช่วงการทำ Finishing Hop ก็ควรเป็นสายพันธุ์ที่มีค่า AAU น้อยๆ และให้กลิ่นหอมแรงๆ เช่น Cascade, Citra, Centennial, Fuggle, East Kent Golding, Hallertau, Saaz, Spalter,Tettnang, Willamette เป็นต้น
การทำ Finishing Hop (Late hop addition) มักใส่ฮ๊อปในช่วงสุดท้ายโดยอาจใส่ในนาทีที่ 5 ซึ่งหมายถึง เมื่อนับเวลาถอยหลังต่อจาก Favoring Hop แล้วเหลือเวลาอีก 5 นาที ก็ให้ใส่ Finishing Hop ทันทีจากนั้นก็ต้มต่อไปจนจบและปิดไฟ
หากใครยัง งงๆ ไม่ค่อยเข้าใจจังหวะช่วงเวลาการทำ Hop Addition ลองดูตัวอย่างนี้
Example: สมมติต้มน้ำมอล์ต หรือ wort จนเดือดและผ่าน Hot Break มาแล้ว
- เริ่มทำ Bittering Hop โดยใช้ฮ๊อปสายพันธุ์ Magnum 0.5 oz. เทใส่ลงหม้อที่กำลังเดือด จากนั้นตั้งเวลานับถอยหลัง 60 นาที เวลาก็จะนับถอยหลังไปเรื่อยๆ
- เมื่อเวลาเหลือ 30 นาที ก็เริ่มทำ Favoring Hop โดยใช้ฮ๊อปสายพันธุ์ Cascade 0.5 oz. เทใส่ลงหม้อต้ม จากนั้นก็รอเวลามันนับถอยหลังต่อไป
- เมื่อเวลานับมาจนเหลือ 5 นาที ก็เริ่มทำ Finishing Hop โดยใช้ฮ๊อปสายพันธุ์ Citra 0.5 oz. เทใส่ลงหม้อต้ม จากนั้นก็รอให้เวลานับถอยไปจนจบ และดับไฟปิดเตาแก๊ส
- สรุปรวมเวลาทั้งหมดที่ทำ Hop Addition คือ 60 นาทีจบ