29 ต.ค. 2019 เวลา 10:00 • ธุรกิจ
BIG DEBT CRISIS
บทความนี้ได้แนวคิดมาจากหนังสือ big debt crisis ซึ่งผู้เขียนคือ Ray Dalio และ https://youtu.be/_EfI9_iFVtY คลิปนี้ที่ได้ทำสรุปไว้ เค้าได้ให้ความเห็นของเค้าเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และวิธีตั้งคำถามว่าตลาดอยู่ในภาวะฟองสบู่รึยังซึ่งประเด็นสำคัญมีด้วยกันทั้งหมด 7 ข้อด้วยกัน
1.มูลค่าสินทรัพเทียบกับอดีตของมัน
.
ในรูปบนคือ กราฟแสดง Shiller PE ของตลาดสหรัฐ
.
จากกราฟค่า Shiller PE อยู่ที่ 29.74 ถึงแม้ว่ามันไม่ใช่ค่าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับอดีต แต่ช่วงที่สูงกว่าปัจจุบันก็มีแค่ช่วงวิกฤตฟองสบู่ดอทคอมเท่านั้น และหากเทียบกับค่าเฉลี่ยที่ 16.57 นับได้ว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยเกือบ 2 เท่าเรียกได้ว่าเกิดฟองสบู่ระดับนึงเลยทีเดียว
.
และจากรูปด้านล่างคือ กราฟแสดงอัตราส่วนของราคาบ้านต่อรายได้
.
จะเห็นว่าปัจจุบันอยู่ในจุดที่สูงมากแล้วเมื่อเทียบกับอดีต แม้ว่าจะไม่ใช่จุดสูงสุด แต่ก็ต่ำกว่าแค่ช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์หรือวิกฤตสินเชื่อซับไพรม์เท่านั้น จากตรงนี้ก็พอจะบอกได้ว่ามีภาวะฟองสบู่
2.ความคาดหวังกำไรต่อหุ้นในอีก 1 ปีข้างหน้า
.
จากรูปบนแสดงราคา S&P500 กับ EPS ใน 1 ปีข้างหน้าของ S&P500 จะเห็นว่าปัจจุบันมีการทำนายกำไรต่อหุ้นโดยรวมใน 1 ปีข้างหน้าออกมาอยู่ที่ 170 เหรียญต่อหุ้น แล้วเรามาดู EPS ปัจจุบันกันหน่อย
.
จากรูปล่างแสดง EPS ปัจจุบันของ S&P500 อยู่ที่ 130.18 เหรียญต่อหุ้น ซึ่งต่ำกว่าการคาดการใน 1 ปีข้างหน้าถึง 25% เรียกได้ว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลยดีกว่าที่กำไรต่อหุ้นจะโตขึ้นกว่า 25% ในปีนี้
3.ความเชื่อมั่นของคนส่วนใหญ่ว่าเป็น Bullish
.
เค้าว่ากันว่าเมื่อใดที่เห็นแม่ค้า หรือคนขับรถแท็กซี่ หรือชาวสวนชาวไร่พูดถึงหุ้น เมื่อนั้นให้เรารีบขายหุ้นออกไป เพราะหุ้นจะอยู่ในจุดที่ราคาแพงมากแล้ว เรามาดูกัน
.
จากกราฟด้านบนแสดงความเชื่อมั่นผู้บริโภค บริเวณสีเทาคือช่วงที่เกิดวิกฤต เราจะเห็นว่าก่อนเกิดวิกฤตความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะอยู่ในจุดที่สูงเสมอ และจะร่วงลงอย่างรวดเร็วเมื่อเกิดวิกฤต พูดง่ายๆคือผู้บริโภคไม่เคยรู้ตัวก่อนเกิดวิกฤตเลย และเชื่อว่าสินทรัพย์จะราคาขึ้นต่อไปอีก จากกราฟจะเห็นว่าปัจจุบันความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ในบริเวณที่สูงมาก ดังนั้นภาวะการใช้จ่ายที่มากเกินไปอาจบ่งบอกถึงภาวะฟองสบู่
.
ลองมาดูมุมมองคนทั่วๆไปในโลกโซเชียลกันบ้าง
1
สำหรับในโซเชียลตอนนี้ถ้าพิจารณาจาก Fear & Greed Index จะเห็นว่าคนส่วนใหญ่ยังให้ความเห็น Bullish อยู่เล็กน้อย ไม่ได้มีนัยยะอะไรมากนัก
4.ปริมาณหนี้สินของคนในประเทศ
.
รูปแสดงสินเชื่อผู้บริโภค เห็นได้ชัดว่าสูงกว่าสมัยวิกฤตหนี้ซับไพรม์ถึง 70% ซึ่งก็คือการใช้จ่ายของคนในประเทศในตอนนี้ ใช้จ่ายกันด้วยเงินกู้นั้นเอง สรุปได้ว่าเกิดฟองสบู่อย่างชัดเจน
5.ลูกหนี้การค้า
.
กราฟแสดงปริมาณการให้เครดิตการค้า หรือพูดง่ายๆ เช่น เอาสินค้าไปก่อนอีก 3 เดือนค่อยเอาเงินมาคืน จะเห็นว่าลูกหนี้การค้าสูงขึ้นเรื่อยๆ สูงกว่าสมัยหนี้ซับไพรม์ถึง 25% จากส่วนนี้ก็พอสรุปได้บ้างว่าเริ่มเกิดฟองสบู่ขึ้นแล้ว
6.ผู้เล่นใหม่แห่กันเข้ามา
.
กราฟด้านบนแสดงปริมาณผู้เล่นในตลาดหุ้นเทียบกับจำนวนคนทั้งหมดที่มีเงินพอจะลงทุน จะเห็นว่ามีแนวโน้มลดลงนิดหน่อย ในส่วนนี้มองว่าคนไม่ได้แห่กันเข้ามาลงทุนในหุ้น จึงบอกว่าเกิดฟองสบู่ไม่ได้แต่เราลองมาดูในตลาดบ้านกันบ้าง
.
จากรูปด้านล่างแสดงปริมาณผู้เล่นใหม่ที่เข้ามาซื้อบ้าน พบว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นชัดเจนตั้งแต่ปี 2012 หรือพูดได้ว่า แห่กันมาลงทุนในตลาดบ้านกัน อาจเป็นเพราะกระแสที่ว่าราคาบ้านจะพุ่งสูงขึ้น จนผู้เล่นใหม่ๆสนใจเข้ามาลงทุนกันมากขึ้นเรื่อย เหตุการณ์แบบนี้สามารถสรุปได้เลยว่าเกิดฟองสบู่ในตลาดบ้านแล้ว ฟองสบู่เศรษฐกิจไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นพร้อมกันในทุกๆสินทรัพย์ แต่จะเกิดขึ้นกับบ้างสินทรัพก่อน แล้วในที่สุดก็จะเกิดขึ้นในทุกๆสินทรัพย์เอง
1
7.นโยบายการเงิน
.
มาดูกันว่านโยบายการเงินตอนนี้ของสหรัฐฯเป็นแบบกระตุ้นเศรษฐกิจหรือชะลอเศรษฐกิจกัน
.
จากภาพบนแสดงดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลาง พบว่าปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ซึ่งเราคาดหวังกันว่าในเดือนธันวาคมนี้จะปรับขึ้นอีก ในส่วนของนโยบายการเงินนี้ก็เรียกได้ว่ากระตุ้นเศรษฐกิจอยู่เพราะยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำ เราลองมาดูนโยบายการคลังกันบ้าง
.
จากรูปล่างแสดงการดำเนินนโยบายขาดดุลของรัฐบาล จะเห็นว่าขาดดุลอย่างต่อเนื่อง ถือว่าเป็นการดำเนินนโยบายแบบกระตุ้นเศรษฐกิจมานาน
.
ดังนั้นในส่วนนี้เราจำสรุปได้ว่าสหรัฐกำลังดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการก่อฟองสบู่ขึ้นไปอีกนั้นเอง
สรุป จากทั้งหมด 7 ข้อที่เราพิจารณากันทุกๆข้อบ่งบอกว่าตอนนี้สหรัฐมีภาวะสุ่มเสี่ยงในการเกิดฟองสบู่เรียบร้อยแล้ว คำถามคือแล้วเราควรทำอย่างไรต่อ มันเป็นเรื่องที่ยากที่จะบอกได้ว่าคุณควรทำอย่างไร เพราะมันขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ช่วงไหนของชีวิต บ้างคนอาจพึ่งทำงาน บางคนอาจอยู่ในวัยเกษียณ ซึ่งแต่ละวัยก็รับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากัน เเละ จุดประสงค์การลงทุนของเเต่ละคนก็เเตกต่างกัน แต่ทั้งนี้สิ่งที่ทุกคนควรทำคือ การเจรียมแผนรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นครับ
.
ปล. หากผิดภลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ เนื่องจากตัวแอดเองก็ไม่ได้เป็น Expert อะไรมากมาย
.
โชคดีครับทุกท่าน
โฆษณา