30 ต.ค. 2019 เวลา 03:12 • การศึกษา
15 แกรมมาร์พื้นฐานที่จะทำให้เราแต่งประโยคได้ง่ายขึ้น!
พอดีผมเห็นมีบทความมีสาระเลย “ก็อบ” มาให้อ่านกัน !
99% ของบทความนี้ผมก็อบมาไม่ได้เขียนเองนะ
ซึ่งผมลบบางตอนออกเพราะคิดว่าไม่ได้จำเป็น และแก้ไขนิดหน่อยเพื่อไม่ให้ยาวเกิน
ถ้าติดดาวเดียวผมจะแจ้งทางทีมงานให้เอาดาวออก !!
แค่อยากแชร์เฉยๆ
ผู้ใดอยากอ่านเพิ่มเติม (เนื้อหาอื่นๆ) ก็สามารถเข้าไปอ่านได้ที่เพจ “พ่อผมเป็นคนอังกฤษ”
ส่วนผมก็จะไล่อ่าน อันไหนน่าสนใจจะเอามาให้อ่านอีกกันนะครับ
แต่ถ้าคิดว่าไม่เหมาะสม ก็แจ้งกันใต้โพสต์ได้เลยค้าบบ
โพสต์นี้จะพูดถึง '15 แกรมมาร์พื้นฐาน' ที่ผมคิดว่ามันจะทำให้เราเข้าใจวิธีการแต่งประโยคภาษาอังกฤษได้ดีขึ้น
ขอยกมาแค่หัวข้อและคำอธิบายแบบง่าย ๆ ละกัน ทุกคนจะได้พอมีแนวทางในการเรียนและทำความเข้าใจมันว
หลายเรื่องผมเขียนไปแล้วในเซคชั่น "ภาษาอังกฤษเริ่มจากศูนย์" (เข้า google แล้วพิมพ์หามันจะขึ้นมาอันแรกเลย)ใครจะเริ่มอ่านจากตรงนั้นก็ได้ครับ
ในโพสต์นี้จะสรุปให้สั้น ๆ ตามลำดับความยากง่ายเลย ถือว่าอ่านเพื่อเป็นการเรียกพลังในการเรียนภาษาอังกฤษกลับมานะ!
1. เริ่มจากเรื่องแรกคือ "adjective"
เราใช้ adjective เพื่อขยายคำนาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุณภาพ (good, bad) ขนาด (big, small) ความเก่าแก่ (youung, old) หรืออะไรก็ได้ที่เป็น detail ที่เราอยากเสริม
1
ตำแหน่งของมันคือ
- หน้าคำนาม เช่น a nice guy หรือ a big house
- หลัง verb to be เช่น He is nice. หรือ The house is big.
- และหลัง linking verb เช่น He sounds nice. หรือ The house looks big.
____
2. เรื่องต่อมาคือ "verb to be"
ตอนไหนบ้างที่เราใช้ verb to be?
- กับ adjective (ตามข้อ 1)
- กับ preposition เช่น The book is on the table. หรือ The bear is at the door.
- กับ v-ing เช่น They are playing tennis. หรือ They are having dinner.
- กับคำนามเช่น He is a student. หรือ She is a teacher.
- กับ participle (v-ed / v-ing) เช่น He is bored. / He is boring.
- กับ passive voice (ตามข้อ 8 ด้านล่าง)
____
3. เรื่องต่อมาคือ "Present simple" และ "Past simple tense"
Present simple ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็น
- ข้อเท็จจริง (fact) เช่น He is my friend.
- นิสัยใจคอ (habit) เช่น He loves dogs.
- และกิจวัตร (routine) เช่น He goes to the movies every weekend.
Past simple ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็น
- ข้อเท็จจริงในอดีต (past fact) เช่น He was my friend, now he's not.
- นิสัยใจคอในอดีต (past habit) เช่น He loved dogs when he was young.
- กิจวัตรในอดีต (past routine) เช่น He used to watch movies every weekend.
- และเหตุการณ์ที่จบไปแล้ว (completed action) เช่น We had breakfast this morning.
1
4. เรื่องต่อมาคือ "Noun"
- คำนามสามารถเป็นนามนับได้ (countable) เช่น car, people, house etc. เราสามารถใส่จำนวน (a, an, one, two, three) เข้าไปได้ เป็นได้ทั้ง singular (เอกพจน์) และ plural (พหูพจน์) เช่น I've got one dog and two cats.
- หรืออาจเป็นคำนามนับไม่ได้ (uncountable) เช่น homework, money, water etc, เราไม่สามารถใส่จำนวนเข้าไปได้ แต่ใส่ some ได้ เป็นได้แค่ singular (เอกพจน์) เช่น I've got some money. หรือ I have to do some homework.
5. เรื่องต่อมาคือ "There is & There are"
เราใช้ there is กับ there are เพื่อบอกว่าบางอย่าง 'มีอยู่'
- หากเป็น singular ให้ใช้ "there is" เช่น There is some milk in the fridge. หรือ There is one person in the room.
- หากเป็น plural ใช้ "there are" เช่น There are two glasses of milk in the fridge. หรือ There are many students here.
1
6. เรื่องต่อมาคือ "adverb"
- เราใช้ adverb เพื่อบอกว่าบางอย่างมันเกิดขึ้น 'อย่างไร' (how) ตำแหน่งของมันคือท้ายประโยค
เช่น He walked slowly. (He walked. How? Slowly.)
หรือ She sings really well. (She sings. How? Really well.)
- นอกจากนี้เรายังมี "adverb of frequency" ที่ใช้พูดถึง 'ความถี่' ของเหตุการณ์ เช่น always, usually, never etc. ตำแหน่งของมันคือหน้ากริยาแท้
เช่น He often walks home. (How frequent? Often.)
หรือ She always sings. (How frequent? Always)
7. เรื่องต่อมาคือ "Future simple"
- เรามีกริยาช่วยหนึ่งตัวคือ "will" ใช้เพื่อบอกว่า 'จะทำอะไร' เช่น I'll go to the party with you. หรือ He'll come tonight.
1
- แต่ส่วนมากเรามักใช้ "be going to" ซะมากกว่า แปลว่า 'จะทำ' เหมือนกัน ในภาษาพูดมันจะกลายเป็น gonna เช่น I'm going to tell her the truth. หรือ She's not gonna believe it.
- และเรายังสามารถใช้ present continuous tense ในการบอกอนาคตด้วยนะ ถ้าเรามั่นใจว่ามันเกิดขึ้นแน่นอน เช่น I'm having a party tonight. หรือ She's meeting some friends after work.
8. เรื่องต่อมาคือ "Passive voice"
- โดยทั่วไปเราจะแต่งประโยค active voice (ประธานเป็นผู้ take action) เช่น Somebody stole the phone หรือ Somebody robbed the bank.
- แต่ก็มีบ้างที่เราจะใช้ passive voice (ประธานเป็นผู้ receive action) ในกรณีที่เราอยากเน้นสิ่งที่ถูกกระทำ เช่น The phone was stolen. หรือ The bank was robbed yesterday.
9. เรื่องต่อมาคือ "Word order"
ในประโยคทั่วไป เราจะเอาสถานที่ (place) ขึ้นก่อนเวลา (time) เสมอ
เช่น He goes to the office every day. (office มาก่อน everyday)
หรือ We met at the airport yesterday. (the airport มาก่อน yesterday)
10. เรื่องต่อมาคือ "Preposition"
- Preposition คือคำที่ใช้ระบุตำแหน่ง อย่างที่บอกไปคือเรามักใช้ preposition กับ verb to be (ตามข้อ 2)
- และเราก็ยังใช้ preposition กับสถานที่และเวลาด้วย เช่น Let's meet at the school. หรือ Let's meet at 10 o'clock.
11. เรื่องต่อมาคือ "Modal verb"
- Modal verb คือกริยาช่วย มันเข้ามาเพื่อเพิ่มความหมายให้กับกริยา เรารู้จักไปหนึ่งตัวคือ "will" (จากข้อ 7) ที่ใช้พูดถึงอนาคต
- แต่ยังมีตัวที่สำคัญอีก 2 ต่อคือ "can" ใช้พูดถือความสามารถ และ "should" ใช้พูดถึงความเหมาะสม เช่น He can drive a car. หรือ You should come with us.
12. เรื่องต่อมาคือ "Question"
เวลาแต่งคำถามเราจะเอากริยาช่วยมาไว้ข้างหน้า
- กริยาช่วยนี้อาจจะเป็น verb to do (do / does/ did) เช่น Do you know him? หรือ Does he know you?
- กริยาช่วยนี้อาจจะเป็น verb to be ก็ได้ หากเราจะใช้กับคำตามข้อ 2 เช่น Is he at the party? หรือ Are you happy?
- กริยาช่วยนี้อาจจะเป็น modal verb ก็ได้ ถ้าเราจะพูดถึงเรื่องอนาคต ความสามารถ หรือความเหมาะสม เช่น Will he be there? Can you come? หรือ Should I go?
- กริยาช่วยตัวนี้อาจเป็น have ก็ได้ หากเราใช้ present perfect (ตามข้อ 14) และเรามักมี yet (ใช้ถามว่าทำหรือยัง) หรือ ever (ใช้ถามประสบการณ์) ในประโยคด้วย เช่น Have you found your key yet? หรือ Have you ever been to England?
13. เรื่องต่อมาคือ "Pronoun"
เราใช้ Pronoun แทนคำนามที่พูดไปแล้ว มันอยู่ได้สองตำแหน่งคือ
- ตำแหน่งประธาน (I, you, he etc.) เช่น He's my boss. หรือ She likes it.
- ตำแหน่งกรรม (My, you, him etc.) เช่น John knows him. หรือ The dog likes her.
- นอกจากนี้เรายังมี possessive pronoun ที่ใช้แสดงความเป็นเจ้าของด้วย (Mine, yours, his etc,) เช่น This car is mine. หรือ That house is yours.
14. เรื่องต่อมาคือ "Present perfect"
เราใช้ Present perfect กับ
- เหตุการณ์ที่เกิดไปในอดีต แต่มีผลมาถึงตอนนี้เช่น I have eaten. (Now I'm not hungry.) หรือ I have lost my key. (Now I can't find it.)
- ประสบการณ์ชีวิต เช่น I have been all over the world. หรือ I have met a lot of famous people in my life.
15. เรื่องสุดท้ายคือการใช้ "The"
เราใช้ The กับสิ่งที่เรารู้กันอยู่ว่าคืออะไร ทั้งผู้พูดและผู้ฟัง จำง่าย ๆ ว่าพูดถึงครั้งแรกใช้ a, an หรือ some พอพูดถึงครั้งต่อไปใช้ the
ลองดูจากบทสนทนานี้
A: I have a new cat.
B: What is the cat's name? (รู้กันแล้วว่าคือแมวตัวไหน)
หรือ
A: I just met a guy.
B: Is he the guy from last night?
หรือ
A: I've got some money.
B: Where is the money?
มันไม่ยากใช่มั้ย หลายเรื่องเราน่าจะรู้กันอยู่แล้วแหละ
อ่านให้ละเอียดหมายความว่าลองไปดูสิว่ามีหัวข้อย่อยอะไรหรือเปล่าที่เรามองข้ามไป และมีข้อยกเว้นอะไรบ้างที่สำคัญ เอาให้รู้พอคร่าว ๆ ก็แต่งประโยคได้ดีแล้วครับ
ลองยะผ่อ !
ไปและะะ
โฆษณา