30 ต.ค. 2019 เวลา 06:38 • ธุรกิจ
SovereignMan
Gold’s long-term gains have even outperformed Warren Buffett
Simon Black Oct 7, 2019
Warren Buffett นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างน่ามหัศจรรย์ ได้เคยแสดงออกถึงความรู้สึก รัก/เกลียด โลหะมีค่าอย่างชัดเจนมาแล้ว
มันอาจเริ่มมาจากบิดาของเขา สมาชิกสภา Howard Buffett แห่ง Nebraska ซึ่งเป็นผู้มีความเชื่อมั่นต่อระบบมาตรฐานทองคำ เคยออกความเห็นต่อเพื่อนร่วมงานในสภาว่า "ระบบเงินกระดาษมักจะจบลงด้วยการล่มสลายของเศรษฐกิจ"
Warren เองก็ยังเคยเก็บซิลเวอร์ไว้มากถึง 128 ล้านออนซ์เมื่อปลายยุค 1990s...ก่อนที่จะขายทำกำไรไปช่วงต้นๆของ 2000s
แต่ทุกวันนี้ เขากลับมีความเห็นเป็นลบกับโลหะมีค่าเหล่านี้
Buffet เคยพูดถากถางว่า ถ้าเอาทองคำทั้งโลกมาหลอมรวมกัน มันจะได้ก้อนลูกบาศก์ใหญ่ขนาดด้านละ 21 เมตร มีมูลค่าประมาณ $9 ล้านล้าน
ด้วยเงินขนาด $9 ล้านล้าน คุณสามารถซื้อหุ้นทั้งหมดของ Apple, Disney, Google, Microsoft, JP Morgan, Exxon Mobil ...ฟาร์มทั้งหมดของสหรัฐ ...ที่ดินที่พร้อมพัฒนาใน Manhattan ทั้งหมด และยังมีเงินคงเหลืออีกหนึ่งล้านล้าน
ความเห็นของ Buffett : ทองคำไม่ให้ผลตอบแทนใดๆเลย เป็นการดีกว่าที่จะลงทุนในทรัพย์สินอื่นที่ให้ผล เช่นธุรกิจ ฟาร์มแลนด์ ฯลฯ
แน่นอนครับ ผมเองก็อยากจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่สร้างกำไร..มากกว่ากองโลหะสักกอง
แต่ Buffett ก็เปรียบเทียบผิดระหว่างทองคำกับทรัพย์สินที่สร้างผลตอบแทนอื่น..มันเทียบกันไม่ได้เลย (apples and oranges)
ทองคำไม่ได้มีไว้เพื่อการ "ลงทุน" แต่มันคือหลักประกันต่อสกุลเงินกระดาษที่จะสูญเสียมูลค่าไปตามกาลเวลา ...น่าจะเปรียบทองคำว่าเป็น "เงินสด" จะถูกต้องกว่า
ถ้าใช้ตรรกเดียวกับ Buffett นักลงทุนที่มีเงินถึง $9 ล้านล้านจะเก็บเงินทั้งหมดนี้ไว้ในแบ้งค์เพื่อรับผลตอบแทน 0% หรือซื้อทรัพย์สินที่มีผลตอบแทนดังกล่าวข้างต้นดี
แน่นอนว่าควรซื้อทรัพย์สินดีกว่าเก็บไว้เฉยๆในแบ้งค์
คนทั่วไปไม่มีเงินนับแสนล้านหรือล้านล้านแน่ๆ
แต่รัฐบาลต่างๆ ..กองทุนบำนาญ ..ธนาคารกลาง ..หรือกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Funds) มี
ถ้ามันดีขนาดนั้น เช่นการซื้อฟาร์มทั้งหมดในสหรัฐ หรือหุ้นดีๆ เช่นของ Disney ฯลฯ ...ก็คงทำไปแล้ว
แต่ชีวิตไม่ได้เป็นสีดำและสีขาว การต่อรองและการปิดดีลการลงทุนต้องใช้เวลาและเป็นงานหนัก
Buffett เข้าใจในเรื่องนี้ดี ..เพราะงั้นเขาถึงมีการควบรวมกิจการแค่ครั้งเดียวในปี 2017 (ธุรกิจ chains ด้านสถานีน้ำมันชื่อ Pilot Flying J) ...และอีกครั้งคือ ZERO ในปี 2018
บริษัทของ Buffett (Berkshire Hathaway) มีทรัพย์สินอยู่ $7 แสนล้าน และเงินสดมากกว่า $1 แสนล้าน ...ม้นเป็นเรื่องยากสุดๆที่จะหาดีลการลงทุนที่ใหญ่และเชื่อถือได้ด้วยเงินทุนมากขนาดนั้น
สถาบันขนาดใหญ่เช่นธนาคารกลาง และรัฐบาลต่างชาติก็มีปัญหาแบบเดียวกัน
ผมมีคนรู้จักที่อยู่ในฐานะผู้บริหารใหญ่ของสถาบันเหล่านี้ที่ต้องบริหารเงินทุนนับแสนล้านดอลล่าร์ พวกเขาเฝ้ามองหาดีลการลงทุนที่ดีที่ลงเงินครั้งละเป็นพันๆล้านดอลล่าร์
แต่โอกาสแบบนั้นมีน้อยเกินไป ในขณะเดียวกันพวกเขาจำเป็นต้องพักเงินไว้ที่ไหนสักแห่ง
ก็เหมือนกับบิดาของ Warren Buffett ผู้บริหารสถาบันเหล่านี้หลายคนรู้ดีว่าเงินกระดาษกำลังสูญเสียมูลค่าไปตามกาลเวลา
โดยเฉพาะตอนนี้ ที่อัตราดอกเบี้ยของทั้งยุโรปและญี่ปุ่นกำลัง "ติดลบ" ...และกองทุนใหญ่ๆที่มีเงินยูโรหรือเงินเยนมากเป็นภูเขาก็ต้องเผชิญกับเงินไหลออกเพราะดอกเบี้ยติดลบ
ถ้ากลับไปเปรียบเทียบกับตรรกของ Buffett :
ลองจินตนาการว่าคุณคือผู้จัดการกองทุนความมั่งคั่งของรัฐบาลไหนสักแห่งที่มีเงินอยู่ $5 แสนล้าน
แน่นอนว่าคุณต้องหาทรัพย์สินคุณภาพดีที่ให้ผลตอบแทนดี แต่คุณก็รู้ดีว่ามันจะต้องใช้เวลาถึง 10-15 ปีที่จะลงทุนได้ครบ
ในระหว่างนั้น คุณจะ:
A. เก็บเงิน $5 แสนล้านไว้ในสกุลเงินกระดาษที่มีประวัติสูญเสียมูลค่ามาตลอดนับ 100+ ปี แถมยังถูกนักการเมืองยำซะจนเละมาแล้ว..หรือเปล่า?......หรือ
B. อย่างน้อยเก็บเงินทุนบางส่วนไว้ในทรัพย์สินที่มีประวัติการรักษามูลค่ามาได้ตลอด 5,000+ ปี..หรือเปล่า?
ถ้าเป็นสถาบันขนาดใหญ่ ก็แน่นอนว่า B. น่าจะเป็นทางเลือกบังคับ
และนั่นคือสาเหตุที่ดันราคาของทองคำในช่วงปีที่ผ่านมา
รัฐบาลและธนาคารกลางต่างชาติเช่น จีน รัสเซีย เตอรกี กาต้าร์ โคลัมเบีย ฯลฯ มีการเก็บสะสมทองคำ เพราะมันดีกว่า ปลอดภัยกว่า การถือดอลล่าร์หรือยูโรในระยะยาว
แน่นอนที่ว่า พวกเขาก็ยังมีดอลล่าร์ (และยูโร) ในมืออีกมาก แต่ก็มีการกระจายเงินทุนเหล่านี้ออกไปแล้ว
พวกเขาเห็นว่ารัฐบาลสหรัฐก็ยังคงนโยบายขาดดุลการค้าปีละ $1 ล้านล้านไปเรื่อยๆ ...Federal Reserve ก็ยังคงลดมูลค่าสกุลเงินดอลล่าร์อย่างต่อเนื่องด้วยนโยบายลดดอกเบี้ย (ธนาคารกลางยุโรปถึงขนาดติดลบเลย)
พวกเขาเห็นว่าการค้ากับสหรัฐเต็มไปด้วยความตึงเครียด
เป็นการไม่ฉลาดเลยที่จะเก็บทุนสำรองของประเทศเป็นสกุลดอลล่าร์หรือทรัพย์สินที่อิงกับดอลล่าร์ทั้ง 100% ...ในขณะที่ราคาทองคำยังไม่ถึง all-time high
แต่ราคาหุ้นในตลาดหุ้นใหญ่ๆหลายแห่ง..ราคาอสังหาฯ..ราคาพันธบัตรทั่วโลก อยู่ที่เกือบจะ all-time high แล้ว
ราคาทองคำในเทอมของดอลล่าร์ ยังอยู่อีกถึง 25% กว่าจะถึง all-time high
นั่นจะเป็นแรงขับเคลื่อนดีมานด์ของทองคำ กองทุนความมั่งคั่งขนาดใหญ่ๆ และธนาคารกลางไม่เหลือทางเลือกมากนัก ทองคำเป็นทรัพย์สินอย่างเดียวที่เมคเซนส์ที่สุดแล้ว
ถึงแม้ทองคำจะไม่ใช่ productive asset แต่ราคาของมันในรอบยี่สิบปีมานี้ก็ชนะตลาดหุ้น และชนะ Warren Buffett
ตั้งแต่กันยายน 1999 จนถึงกันยายน 2009 ...S&P 500 ให้ผลตอบแทนที่ 229% รวมปันผลแล้ว ...ส่วนราคาหุ้นของ Berkshire Hathaway ของ Buffett ขึ้นถึง 536% ในช่วงเวลาเดียวกัน
แต่ราคาทองคำขึ้นไป 591%....
โฆษณา