30 ต.ค. 2019 เวลา 08:07 • ธุรกิจ
Sovereign Man
Here’s why the gold price could really soar over the next two years
Simon Black Oct 14, 2019
ในช่วงระหวางปี 1483 ถึง 1485 นักธุรกิจชาวเจนัวนายหนึ่งชื่อ Cristoffa Corombo ได้มีโอกาสทำ pitching เข้านำเสนอไอเดียแก่ King John II แห่งโปรตุเกส
เวลานั้นเป็นยุครุ่งอรุณของสิ่งที่นักประวัติศาสตร์เรียกกันว่า "Age of Discovery" ...เป็นยุคของนักสำรวจชาวยุโรปที่จะล่องขบวนเรือออกแสวงหาเส้นทางการค้ารอบโลก
คนพวกนี้เรียกได้ว่าเป็นนักวิสาหกิจที่ยุคนี้เรียกว่า startup ได้เลย ....เป็นงานที่มีชื่อเสียงด้านความกล้าหาญ ..มีค่าใช้จ่ายสูง ..มีความเสี่ยงแบบ extreme ที่มักจบลงด้วยความล้มเหลวที่สร้างความฉิบหาย ต่อชีวิตหรือสุขภาพของพวกนี้นับไม่ถ้วน
และก็เพราะความเสี่ยงต่อความไม่แน่นอนของการสำรวจเหล่านี้เอง ....เหล่านายทุน Venture Capital ยุคกลางที่หนุนพวกนี้อยู่จึงมักจะเป็นรัฐบาลของกษัตริย์ในประเทศยุโรป
มีการแข่งขันทางอาวุธด้วยในยุค 1400s ...อาณาจักรต่างๆในยุโรปจะเข้าไปเคลมอาณาเขตใหม่ๆในต่างแดนที่พบก่อน ก่อนที่ชาติอื่นจะทันได้โอกาสนั้น
และโปรตุเกสมักจะเป็นผู้นำ เปรียบเสมือนกลุ่ม Silicon Valley แห่งยุคเลยทีเดียว ...Prince Henry the Navigator เป็นนักเดินเรือที่สำรวจดินแดนด้านแอตแลนติกและอัฟริกาตะวันตกมาตั้งแต่ 1430s
Corombo รู้เรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงเข้าเสนอต่อกษัตริย์แห่งโปรตุเกสเป็นรายแรก : โครงการเดินทางข้ามแอตแลนติก สำรวจเอเซียและกลับสู่โปรตุเกสในเวลา 12 เดือน
กษัตริย์มีแผนไม่ซื่อ แต่เหล่าที่ปรึกษาพากันต่อต้านไอเดียนี้ เชื่อว่าโปรเจ็คท์นี้ของ Corombo เป็นเรื่องเพ้อฝัน ที่แพงและเสี่ยงเกินไปสำหรับ VC ของยุคนั้น
Corombo จึงหันไปยังราชอาณาจักร Castile และ Aragon ที่เพิ่งรวมตัวกันเป็นเอกภาพ ...ที่ปัจจุบันคือสเปน
สเปนในวันนั้นก็เปรียบเหมือนจีนในวันนี้ เติบโตอย่างรวดเร็ว และทุกคนก็รู้ว่าสเปนนี่แหละ..ที่ในที่สุดแล้วจะมาเป็นมหาอำนาจ
มันก็ใช้เวลาอยู่หลายปี ..จนในที่สุดเมื่อปี 1492 กษัตริย์
Ferdinand และราชินี Isabela ก็เป็นผู้ให้ทุนแก่การเดินทางของ Corombo (ในปัจจุบันเรารู้จักเขาในนาม Columbus)
และในขณะที่การเดินทางไปที่อเมริกาของเขาทั้ง 4 ครั้ง ไม่ประสบควมสำเร็จตามที่นายทุนหวังไว้ ....อย่างน้อย Columbus ก็ได้สาธิตให้เห็นถึงโอกาสและศักยะมากมายที่มีอยู่ตลอดเส้นทางแอตแลนติก
สเปนจึงยังคงส่งเรือ และ finance นักสำรวจใหม่ๆ ...และตลอด 50 ปีหลังจากนั้น ....พวกเขาควบคุมเกือบทั่วบริเวณที่เป็นอเมริกาใต้ในปัจจุบัน
รางวัลใหญ่ของสเปนในเวลานั้นก็คือ เหมืองทองคำและซิลเวอร์จำนวนมากมายในเขตแดนแถบนั้น
รัฐบาลสเปนมีการเก็บบันทึกปริมาณการผลิตของเหมืองเหล่านั้นเป็นอย่างดี ...นักประวัติศาสตร์ในปัจจุบันประมาณการว่า มีการผลิตทองคำและซิลเวอร์นับสิบล้านกิโลกรัมจากเหมือง ...คิดเป็นมูลค่านับหลายล้านล้าน (trillion) ดอลล่าร์ในมูลค่าปัจจุบัน
เป็นเพราะโลหะมีค่าจำนวนมากเหล่านี้นี่เองที่ทำให้สเปนขึ้นมาเป็นมหาอำนาจของยุโรปในยุคนั้น ที่ทำให้เกิด Golden Rule มาจนปัจจุบันว่า "ผู้ที่ครอบครองทองคำเท่านั้นที่จะเป็นผู้วางกฏ"
ทุกวันนี้ เรามีระบบที่แตกต่างไป เรายอมรับให้ให้มีการควบคุม money ในลักษณะเผด็จการ..โดยการอ้างตัวเป็นคณะกรรมการที่เสกสรรเงินนับสิบล้านล้านดอลล่าร์ ยูโร เยน etc. จากกลางอากาศตามอำเภอใจ
ไม่กี่วันมานี้ Federal Reserve ประกาศแผนพิมพ์เงิน $60,000 ล้านต่อเดือน เพื่อให้รัฐบาลสหรัฐกู้
money ควรจะมีมูลค่าเท่าไหร่ในเมื่อสามารถพิมพ์ขึ้นมาง่ายๆ และให้รัฐบาลกู้ได้แบบฟรีๆ
ถ้าเราๆจะทำอย่างนั้นบ้าง ก็มีหวังได้เข้าคุกเพราะพิมพ์แบ้งค์ปลอม ....แต่ในเมื่อนี่เป็นสิ่งที่ธนาคารกลางของประเทศทำเอง มันจึงถูกเรียกว่า "Quantitative Easing"
นั่นเป็นเหตุผลที่ทองคำและซิลเวอร์มีความเป็น money มากที่สุดหลังจากยุคของ Columbus เมื่อ 500 ปีก่อน และหลังจากโลกมีการใช้เป็น money มามากกว่า 5,000 ปี
ลองมาดูถึงงบประมาณปีที่ผ่านมาล่าสุดของสหรัฐกัน (1 ตุลาคม 2018 ถึง 30 กันยายน 2019)
กำไรของธุรกิจเอกชนสูงเป็นประวัติการณ์ ตลาดหุ้นขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ สรรพากรเก็บภาษีได้มากที่สุด ..ในประเทศไม่มีภัยธรรมชาติรุนแรง ไม่มีสงครามหรือวิกฤติ
แต่หนี้รัฐบาลก็เพิ่มขึ้นมาอีกเกือบๆ $1.2 ล้านล้าน และกระทรวงการคลังคาดว่า ปีนี้ก็คงจะเพิ่มในปริมาณใกล้เคียงกัน และตลอดไปถึงในอนาคต
ดูเหมือนทั้งปธน. คนปัจจุบันและผู้ชิงตำแหน่งทุกคนต้องการให้ค่าเงินดอลล่าร์อ่อนลง
Federal Reserve ก็มีการลดอัตราดอกเบี้ยและพิมพ์เงินอีก ....(ยุโรปกับญี่ปุ่นยิ่งเลวร้ายกว่า โดยมีดอกเบี้ยติดลบอีกด้วย)
สรุปคือ เราไม่มีสกุลเงินที่มีพื้นฐานที่แข็งแรงเชื่อถือได้ นั่นจึงทำให้รัฐบาลหลายชาติรวมถึงธนาคารกลางซื้อเข้าทองคำจำนวนมาก
แฟคเตอร์ทั้งหลายเช่น หนี้..การขาดดุล..การพิมพ์เงิน..การลดอัตราดอกเบี้ย ล้วนมีผลทำลายมูลค่าของยูเอสดอลล่าร์ ....แฟคเตอร์เหล่านี้จะไม่หายไปได้ง่ายๆด้วย
รัฐบาลและธนาคารกลางชาติต่างๆเข้าใจเรื่องนี้ดี และนั่นทำให้กระจายการถือเงินรีเสิร์ฟออกจากดอลล่าร์ไปสู่ทองคำ ทรัพย์สินที่มีประวัติ 5,000 ปีในการรักษามูลค่าของ money
ดีมานด์ของทองคำก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมีเหตุมีผล
แล้วเรื่องของซัพพลายล่ะ
เมื่อบริษัทเหมืองทองขุดเอาทองคำออกมาพ้นจากพื้นดิน จนไม่เหลือให้ขุดในเหมืองได้อีก ...ก็ต้องเสาะหาสำรวจแหล่งทองคำใหม่ๆเพิ่มขึ้น หรือควบรวมกิจการเหมืองใหม่ๆ
แต่มันไม่มีให้ทำ
กว่าหกปีมาแล้ว การผลิตโดยเฉลี่ยของเหมืองแต่ละแห่งตกลงมากกว่า 30% ทั่วโลก
ปริมาณโดยรวมของการควบรวมกิจการก็ลดลง 67.5% จากปีที่แล้ว
นั่นแสดงถึงว่า ไม่มีการค้นพบแหล่งแร่ใหม่ๆเพื่อทดแทนส่วนที่ผลิตออกมา
รายงานล่าสุดจาก S&P ว่ามีการลดของปริมาณ output ที่ออกจากเหมืองภายในสองปีข้างหน้า
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากผลการผลิตทองคำที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในเวลาที่ดีมานด์ของทองคำทั้งจากรัฐบาลและธนาคารกลางชาติต่างๆ รวมถึงจากผู้ที่จะต้องการหลีกหนีจากเงินกระดาษที่กำลังถือครองอยู่
impact ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับราคาทองคำในอนาคต คงจะรุนแรงจนเดาไม่ถูก
โฆษณา