5 พ.ย. 2019 เวลา 05:00 • ประวัติศาสตร์
“เฮลโล คิตตี้ (Hello Kitty) ตัวการ์ตูนที่เป็นที่รักของคนทั่วโลก” ตอนที่ 1
กำเนิดตัวการ์ตูน
เฮลโล คิตตี้ (Hello Kitty)” คือตัวละครดังจากญี่ปุ่นที่โด่งดังและเป็นที่รักของคนทั่วโลก
เรื่องราวของตัวการ์ตูนตัวนี้ เบื้องหลังนั้นก็มีความน่าสนใจ
ซีรีย์ชุดนี้ผมจะเล่าเรื่องของตัวการ์ตูนตัวนี้ครับ
อันดับแรก ผมต้องเล่าเรื่องของผู้ก่อตั้งบริษัท “ซานริโอ้ (Sanrio)” ซึ่งเป็นเจ้าของตัวการ์ตูนตัวนี้
“ชินทาโร่ ทสึจิ (Shintaro Tsuji)” เกิดในปีค.ศ.1927 (พ.ศ.2470) ที่จังหวัดยามานาชิ ประเทศญี่ปุ่น
ชินทาโร่ ทสึจิ (Shintaro Tsuji)
ทสึจิเติบโตมาอย่างเด็กทั่วๆ ไป โดยชีวิตของเขาก็ได้เปลี่ยนไปเมื่อแม่ของเขาเสียชีวิต ทสึจิจึงได้หันเหไปหาโลกของหนังสือ เขาอ่านหนังสือหลายประเภท ทั้งบทกวีและวรรณกรรม
ภายหลังเขาได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย โดยเลือกเรียนภาควิชาเคมี
ภายหลังจากเรียนจบ เขาได้เข้าทำงานในหน่วยงานราชการอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะลาออกในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1960 (พ.ศ.2503) และก่อตั้งบริษัทผ้าไหมของตนเอง
ทสึจิและลูกน้องได้ออกเดินทาง ขายผ้าไหมทั่วญี่ปุ่น และในปีค.ศ.1962 (พ.ศ.2505) ก็ได้เพิ่มสินค้า โดยการขายรองเท้าแตะด้วย
ทสึจิพยายามจะสร้างความต่างให้สินค้า ด้วยการประดับดอกไม้ลงบนรองเท้าแตะ และรองเท้าแตะของบริษัทก็ได้รับการตอบรับดีมาก ยอดขายก็ดี มีออเดอร์จากต่างประเทศอีกด้วย
ทสึจิจึงได้ไอเดีย เขาจัดการตกแต่งสินค้าอื่นๆ ของบริษัทด้วยการตกแต่งลวดลายให้สวยงามลงบนสินค้าอื่นๆ เช่น กระเป๋าเงิน ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเช่นเดิม
ทสึจิได้เรียนรู้ว่า เพียงแค่การตกแต่งสินค้า ก็สามารถเพิ่มยอดขายสินค้าได้
ทสึจิจึงได้จ้างศิลปินมาวาดตัวการ์ตูนลงบนสินค้าของบริษัท นอกจากนั้น เขายังได้ลองนำเข้าสินค้าจากอเมริกา เช่น ตุ๊กตาบาร์บี้มาขายในญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
ความล้มเหลวครั้งนี้ทำให้เขาได้รับบทเรียนว่าควรจะโฟกัสที่สินค้าที่เหมาะกับชาวญี่ปุ่นจริงๆ และสุดท้าย เขาก็โฟกัสที่สินค้าที่เด็กนักเรียนน่าจะซื้อได้ สินค้าที่นักเรียนจะซื้อเป็นของขวัญให้เพื่อนได้
ทสึจิได้เปิดร้านค้าร้านแรกของตนเองที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่นในปีค.ศ.1971 (พ.ศ.2514)
ร้านนั้นชื่อว่า “Shinjuku Gift Gate”
ต่อมา ทสึจิคิดอยากจะเปลี่ยนชื่อร้าน ชื่อที่จำได้ง่าย
เขานึกถึงอารยธรรมยุคแรกๆ ของโลก โดยอารยธรรมยุคแรกๆ นั้นมาจากแม่น้ำสามสาย
นั่นคือแม่น้ำไทกริส แม่น้ำไนล์ และแม่น้ำหวง
ทสึจิจึงได้ตั้งชื่อบริษัทว่า “ซานริโอ้ (Sanrio)” โดย “San” นั้นแปลว่า “สาม” ส่วน “Rio” เป็นภาษาสเปน แปลว่า “แม่น้ำ”
ซานริโอ้ (Sanrio) จึงหมายถึงแม่น้ำทั้งสามนั่นเอง
ตลอดยุค 60 (พ.ศ.2503-2512) ทสึจิได้ทำการจ่ายเงินให้นักวาดการ์ตูนชื่อดังหลายคน เพื่อขอใช้การ์ตูนของพวกเขาบนสินค้าของบริษัท
แต่ทสึจินั้นก็อยากจะให้บริษัทมีตัวการ์ตูนของตนเอง
แนวคิดของทสึจิคือสินค้าของซานริโอ้ต้องมีราคาที่จับต้องได้ นั่นหมายถึงตัวการ์ตูนก็ต้องเป็นที่ถูกใจของคนส่วนใหญ่
ทสึจิมานั่งคิด เด็กๆ นั้นชอบสัตว์ต่างๆ และเขาก็รู้ว่าสัตว์ที่เด็กๆ ชอบมากคือหมา แมว หมี แต่ในเวลานั้น การ์ตูน “สนูปปี้ (Snoopy)” ซึ่งเป็นหมานั้นกำลังโด่งดัง เช่นเดียวกับ “วินนี เดอะ พูห์ (Winnie-the Pooh)” ซึ่งเป็นหมี ก็กำลังโด่งดังเช่นกัน
สนูปปี้ (Snoopy)
วินนี เดอะ พูห์ (Winnie-the Pooh)
เท่ากับว่าเหลือเพียงแมวเท่านั้น ทสึจิจึงคิดว่าตัวการ์ตูนของบริษัท ควรจะเป็นแมว
1
ดีไซเนอร์ของบริษัทจึงได้ออกแบบตัวการ์ตูนใหม่ๆ ขึ้นมา ซึ่งมีทั้งคู่หูหนูและกระต่ายชื่อ “บันนี่และแมตตี้ (Bunny and Matty)” และคู่หูเด็กชายหญิงชื่อ “แพตตี้และจิมมี่ (Patty and Jimmy)”
บันนี่และแมตตี้ (Bunny and Matty)
แพตตี้และจิมมี่ (Patty and Jimmy)
แต่ทั้งคู่ก็ไม่โด่งดังเท่าที่ควร
ต่อมา ค.ศ.1974 (พ.ศ.2517) ได้มีดีไซเนอร์นำแบบตัวการ์ตูนที่ชื่อว่า “คิตตี้ ไวท์ (Kitty White)” มาให้ทสึจิดู
คิตตี้ ไวท์นั้นมีหัวขนาดใหญ่และรูปร่างเล็ก มีจุดดำสองจุดแทนดวงตา และผูกโบว์สีแดงเหนือหูซ้าย และคิตตี้ ไวท์จะหันหน้าเข้าหาผู้ชม
เมื่อทสึจิเห็นตัวการ์ตูนนี้ เขาก็ไม่ได้คิดอะไร เพียงแค่คิดว่ามันก็ดูใช้ได้ แต่ไม่ได้คิดว่ามันดูดี หรือจะทำเงินให้บริษัท
เขาคิดว่านี่คงเป็นเพียงหนึ่งในตัวการ์ตูนของบริษัทตัวหนึ่งเท่านั้น
เขาคิดผิดมหันต์
เฮลโล คิตตี้จะก้าวขึ้นมาโด่งดังได้อย่างไร ติดตามต่อในตอนหน้านะครับ
โฆษณา