7 พ.ย. 2019 เวลา 04:54 • ความคิดเห็น
วันนี้นึกมุกเก่าได้ล่ะ....
เมื่อวานได้อ่านบทความดีๆของคุณหมู500 เรื่องสิ่งเล็กๆน้อยๆในต่างแดน ได้เขียนถึงการขึ้นรถโดยการแท้ปบัตร ทำให้ผมนึกถึงงานแปลเก่าๆเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว เรามาอ่านพร้อมๆกันนะครับ..
《 道德常常能彌補智慧的缺陷 , 然而 , 智慧卻永遠填補不了道德的空白 。》
"บ่อยครั้ง..ที่คุณธรรม จริยธรรมสามารถชดเชยจุดบกพร่องของสติปัญญา อย่างไรก็ตาม สติปัญญากลับไม่สามารถเติมเต็มคุณธรรม จริยธรรมที่ว่างเปล่าได้ ตลอดกาล"
หญิงสาวผู้หนึ่ง ไปศึกษาต่อที่เมืองนอก อาศัยความเจ้าเล่ห์ ฉลาดแกมโกง ในการนั่งรถโดยสาร ผลปรากฎว่า อนาคตถูกทำลายลงอย่างย่อยยับ
12ปีก่อน มีสาวน้อยผู้หนึ่ง พึ่งจบการศึกษาก็ไปที่ประเทศฝรั่งเศส เริ่มชีวิตกึ่งเรียนกึ่งทำงาน ต่อๆมา เธอพบเห็นว่า ระบบการขายตั๋วของรถโดยสารสาธารณะ เป็นระบบการช่วยเหลือตนเอง
ก็คือ..เราคิดจะไปสถานที่ใด ก็ซื้อตั๋วด้วยตนเอง ไปณ.จุดหมายปลายทางสถานีรถแทบจะเป็นระบบเปิดทั้งหมด ไม่มีจุดตรวจตั๋ว และไม่มีเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋ว อีกทั้งการตรวจแบบสุ่มก็น้อยครั้งมากๆ นั้นทำให้...
เธอ..พบเห็นช่องโหว่ของระบบการควบคุมนี้ หรืออาจจะเป็นการกล่าวว่าด้วยความนึกคิดส่วนตัวของเธอ เห็นว่าเป็นช่องโหว่ อาศัยความฉลาดนี้ เธอคำนวณด้วยความละเอียดถี่ถ้วน ลงความเห็นว่า "ฉ้อโกงค่าตั๋ว"
โอกาสที่จะถูกตรวจพบมีเพียงประมาณ 3 ใน10,000
กับการพบเห็นในสิ่งนี้ เธอดีใจกระดี้กระด้าภูมิใจอย่างยิ่ง ตั้งแต่นั้นมา เธอมักจะโกงราคาค่าโดยสาร อีกทั้งยังหาเหตุผลมาปลอบใจตนเองว่า ตนยังเป็นนักศึกษาจนจน ประหยัดได้ก็ประหยัด
4ปีผ่านไป ไวเหมือนโกหก(ขอโทษครับผิดศีล5อีกแล้ว) เธอสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย ที่โด่งดังมีชื่อเสียง และผลการเรียนที่โดดเด่นยอดเยี่ยมของเธอ เธอมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม เธอเริ่มย่างก้าวเข้าประตูของบริษัทฯต่างชาติในกรุงปารีส โฆษณาตนเองอย่างไม่ลังเล
ทว่า..บริษัทฯเหล่านี้ แรกเริ่มล้วนกุลีกุจอกระตือรือร้น แต่หลังจากผ่านไปหลายวัน ต่างก็ปฏิเสธด้วยความนุ่มนวล...
ล้มเหลวผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เธอโมโหโกรธมาก เธอมีความคิดเห็นในส่วนตัวว่า บริษัทฯเหล่านี้ มีความลำเอียงแบ่งแยกเชื้อชาติ
ในครั้งสุดท้าย..
เธอบุกเข้าห้องผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคล(HR) ของบริษัทๆหนึ่ง วิงวอนขอร้องผู้จัดการฯ ให้เหตุผลที่ไม่บรรจุเธอเข้าทำงาน แต่แล้ว..
บทสรุปผลที่ปรากฎออกมานั้น เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อน!!!
" คุณสุภาพสตรี พวกเราใช่ว่ามีการลำเอียง หรือแบ่งแยก อีกทั้งไม่ได้ดูแคลนในตัวคุณ กลับตรงกันข้าม พวกเราให้ความสำคัญต่อคุณมาก ตอนแรกเริ่มที่คุณมาสมัครงาน ภูมิหลังของสถานศึกษา และผลการศึกษาของคุณ พวกเราสนใจเป็นอย่างยิ่ง พูดตรงๆ ความสามารถในการปฏิบัติงาน คุณคือผู้ที่พวกเราต้องการอย่างมาก "
" แล้วเพราะเหตุใด ไม่บรรจุผู้ที่มีความสามารถอย่างฉัน เข้าทำงานในบริษัทล่ะ ?”
" เพราะพวกเราได้ตรวจสอบ เครดิตความน่าเชื่อถือของคุณ พบเห็นว่า คุณเคยถูกบันทึก และถูกลงโทษ ในการโกงค่าโดยสารสาธารณะสามครั้ง "
" ฉันไม่ปฏิเสธ ว่ามีเรื่องนี้จริง ทว่าเพื่อเรื่องเพียงเล็กน้อยนี้ พวกท่านกลับละทิ้งผู้มีความสามารถพิเศษคนหนึ่ง ที่วิทยานิพนธ์ได้รับการตีพิมพ์หลายครั้งลงในวารสารหรือ ?"
" เรื่องเล็กน้อย.!??. พวกเรากลับไม่คิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย พวกเราสังเกตพบเห็นว่า การโกงค่าโดยสารของคุณในครั้งแรก เป็นเวลาที่ได้มาประเทศเราหลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์!!!!”
เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ เชื่อในคำอธิบายของเธอ เพราะเธอบอกว่า ตนเองยังไม่เข้าใจระบบการจำหน่ายตั๋ว แบบช่วยเหลือตนเอง จึงเพียงให้เธอชดเชยตั๋วใหม่ แต่หลังจากนั้น เธอก็ยังโกงค่าโดยสารอีกสองครั้ง.
" เวลานั้น..ในกระเป๋าฉันไม่มีเงินปลีกพอดี "
" ไม่..ไม่..ไม่..คุณสุภาพสตรี ผมไม่เห็นด้วยกับคำอธิบายของคุณ คุณคงกำลังสงสัยเกี่ยวกับ"ไอคิว"ของผม ผมเชื่อว่า ก่อนที่จะถูกตรวจพบ คุณอาจจะมีการกระทำในการโกงค่าตั๋วโดยสารเป็นร้อยๆครั้ง "
" เช่นนั้น..โทษก็คงไม่ถึงตายหรอกน่ะ ทำไมถึงต้องจริงจังเช่นนี้ ทีหลังแก้ไขไม่ได้หรือ ?"
" ไม่..ไม่..คุณสุภาพสตรี เรื่องนี้ยืนยันและพิสูจน์ได้สองอย่าง"
1. เธอไม่เคราพกฎระเบียบ เธอชำนาญในการพบเห็นช่องโหว่ของกฎระเบียบ และนำไปใช้ในทางเลวร้าย
2. เธอไม่มี"ค่า"พอที่จะได้รับความไว้วางใจ
"และบริษัทฯของพวกเรา มีงานมากมาย ที่ต้องอาศัยความไว้วางใจในการปฏิบัติ หากคุณต้องรับผิดชอบบุกเบิกตลาด ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง บริษัทฯจะถ่ายโอนอำนาจให้คุณมากมาย เพื่อเป็นการประหยัดต้นทุน พวกเราไม่สามารถตั้งหน่วยงาน ตรวจสอบสอดส่องที่สับสนวุ่นวาย เหมือนดั่งระบบขนส่งของประเทศเราดังนั้น พวกเราจึงไม่สามารถว่าจ้างคุณได้ สามารถพูดอย่างเด็ดขาดและการันตีได้เลยว่า ในประเทศนี้ หรือแม้กระทั่งทั้งสหภาพยุโรป คุณอาจจะหาบริษัทฯที่จะว่าจ้างคุณไม่ได้เลย "
จวบจนกระทั่งตอนนี้ เธอจึงเหมือนดั่งตื่นจากความฝัน เสียใจอย่างแรง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เธอเกิดความรู้สึกว่า เป็นวลีที่น่าตกใจที่แท้จริง กลับเป็นคำพูดสุดท้ายของฝ่ายตรงข้าม....
ใส่ไว้เฉยๆ ไม่เกี่ยวกับบทความ
เป้นไงกันบ้างครับ จะเห็นได้ว่ากิจกรรมระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ก็ตาม ระหว่างองค์กรกับองค์กรก็ตาม ระหว่างประเทศกับประเทศก็ตาม จะดำเนินไปได้ด้วยดีต่อเมื่อมีพื้นฐานคือ ความไว้วางใจ ความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ได้พูดออกมา ได้สัญญาออกมาแล้วนั้นจะปฏิบัติตามนั้น ถ้าเมื่อใดก็ตามไม่มีการรักษาสัญญา ก็ไม่รู้จะไปทางไหนเลย นี่คือระดับหนึ่ง สังคมจะอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกได้จำเป็นต้องมีศีลข้อ 4 เป็นพื้นฐาน เป็นศีลหลัก 1 ใน 5 ข้อของมนุษย์เลย นี่คือระดับที่เราเห็นได้ในภาพปัจจุบันนี้เลย
การพูดโกหก ทำให้เกิดบาปในใจ สิ่งที่เราพูดออกไปมันจะเกิดเป็นภาพในใจ ถ้าเราพูดเรื่องที่ไม่จริงภาพที่เกิดขึ้นในใจมันจะเป็นภาพบิดเบี้ยว เพราะมันเพี้ยนจากความเป็นจริง เรารู้อยู่ว่าความจริงเป็นยังไง ถ้าเราพูดอีก แบบ ภาพที่ซ้อนอยู่มันเกิดการสับสน หนักเข้าก็จะเป็น อัลไซเมอร์ ขี้หลงขี้ลืม เพราะมันสับสนว่าอันไหนจริงอันไหนโกหก คนที่พูดโกหกมากๆ เข้าสุดท้ายตัวเองก็สับสน เพราะต้องมานั่งจำว่าวันไหนพูดยังไง วันนี้พูดยังไง หนักเข้ามันจำไม่ไหว สุดท้ายก็ทำให้ตัวเองสับสน หนักๆ เข้าก็เป็น อัลไซเมอร์ ไปเลย พอเป็นอย่างนี้ก็ทำให้ใจหมอง เมื่อจิตเศร้าหมองไม่ผ่องใส ทุคติเป็นที่ไป ก็ไปอบาย เพราะคุณภาพใจมันเสีย
งั้นบางทีไม่อยากโกหกเพราะพูดแล้วอาจเกิดผลเสีย อาจหลีกเลี่ยงโดยการไม่พูดหรือพูดไม่ครบอย่างนี้ถือว่าเป็นการโกหกหรือไม่?
อยู่ที่เจตนาครับ ถ้าเจตนาเราคือไม่ต้องการโกหก ต้องการรักษาวจีสุจริตคือพูดเรื่องจริง ฉะนั้นเรื่องนี้ถ้าเราไม่อยากพูดเราก็มีสิทธิที่จะไม่พูด เราอาจจะบอกเขาตรงๆ ว่าเรื่องนี้ไม่ขอพูด อย่างนี้ได้ ขอให้เช็คว่าเราไม่ได้พูด สิ่งที่ไม่จริงออกไปและไม่มีเจตนาจะไปหลอกลวงหรือโกหกใคร
ต้องแยกให้ดีระหว่างการให้กำลังใจกับการโกหก เช่นว่า เห็นคนไข้ก็ชมว่าวันนี้ดูสดใสขึ้นนะเป็นการให้กำลังใจ เพราะคนเรานั้นกำลังใจมีส่วนสำคัญในการดำรงชีวิต ในแต่ละวันก็หยิบยกข้อดีในตัวเขาขึ้นมาให้กำลังใจ
แต่ถ้าสมมติว่าเขาเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย อีกไม่กี่วันก็ตายแน่นอน แล้วไปบอกเขาว่า ไม่เป็นไร ออกมาแล้วดีไม่มีอะไรเลยดีกว่าไม่เป็น อย่างนี้ก็ไม่ใช่ แล้วจะมีวิธีการบอกเขาอย่างไร จะบอกตรงๆ หรือโกหก ตรงนี้ได้มีการทำวิจัยและได้ข้อสรุปออกมาว่าจริงๆ แล้วบอกความจริงกับคนไข้ดีที่สุด
แต่ต้องมีวิธีในการบอก บอกอย่างมีศิลปะ วันหนึ่งคืนหนึ่งของบุคคลที่ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท มีคุณค่ายิ่งกว่าชีวิตของคนที่ปล่อย ให้ผ่านไปวันๆ อย่างไร้สาระเป็นร้อยปี ฉะนั้นคนไข้ที่อาการหนักที่เหลือชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่วันนั้น ให้เขาตั้งหลักตั้งสติให้ดีว่าชีวิตของเขาที่ยังเหลืออยู่น้อยนิดนี้ยังมีค่ากว่าคนอื่นๆ ที่มีชีวิตอยู่แบบเรื่อยเปื่อยเป็นร้อยปีอีกและอาจจะดีกว่าตรงที่ว่าบางคนนั้นนึกว่าตัวเองยังแข็งแรงอยู่ ก็เลยประมาทไม่ทำความดีเอาไว้แก่เมื่อไหร่ค่อยทำ
สมัยพุทธกาล...เคยมีคำสอนเกี่ยวกับเรื่องราวการโกหกกันบ้างไหม?
พระพุทธองค์เน้นเรื่องนี้มาก อย่างขนาดเจ้าชายราหุลซึ่งเป็นโอรสของเจ้าชายสิทธัทถะ พออายุได้ 7 ขวบก็ได้มาพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนางพิมพาคือผู้เป็นแม่ให้มาขอสมบัติจากพ่อ เพราะตามหลักแล้วเจ้าชายสิทธัทถะแม้จะออกบวชแล้วแต่ก็ยังเป็นผู้ที่มีสิทธิในราชสมบัติส์บทอดจากพระเจ้าสุทโธทนะอยู่ ฉะนั้นพระนางพิมพาพระชายาของเจ้าชายสิทธัทถะ ก็เลยให้เจ้าชายราหุลมาขอสมบัติจากพ่อซึ่งตอนนั้นก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งพระองค์ก็ให้เลย...
แต่ให้อริยะสมบัติ...คือให้บวชเป็นสามเณร เพราะราชสมบัตินั้นถ้าให้ไปแล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไรซึ่งเกิดอยู่แต่ในภพนี้เท่านั้นเอง และยังมีภาระอีกเยอะแยะยังมีโอกาสจะสร้างอกุศลกรรมอีกมาก ถ้าไปปกครองบ้านเมืองก็ยังมีโอกาสสั่งประหารโจรผู้ร้ายได้ก็มีบาปติดตัวไปอีก จึงให้อริยะสมบัติคือให้บวชเป็นสามเณรดีกว่า สุดท้ายก็เป็นสามเณรอรหันต์ด้วย และพระนางพิมพาสุดท้ายก็เป็นพระอรหันต์เถรีเพราะบวชเหมือนกัน พระองค์สอนสามเณรราหุล ถึงขนาดบอกว่า “ราหุล เธอจงอย่าโกหกแม้เพียงล้อเล่น” พระองค์ย้ำถึงขนาดนี้ และสิ่งที่พระองค์สอนไว้ก็อยู่ใน จุลลราหุโลวาทสูตร ในพระไตรปิฎก
พระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งปกครองอาณาจักรอินเดียที่ยิ่งใหญ่มาก และเป็นผู้ที่ส่งสมณทูตมายังสุวรรณภูมิด้วยก็คือ พระโสณะ อุตตระ ทำให้พระพุทธศาสนามาเข้าในแดนสุวรรณภูมิ ท่านเห็นความสำคัญของพระสูตรนี้ ถึงขนาดยกขึ้นมา 1 ใน 7 พระสูตร จารึกไว้ในพระบรมราชโองการ ส่งไปติดประกาศทั่วอาณาจักรเลย ว่าให้ประชาชนทุกคนตั้งใจศึกษาและถือปฏิบัติตามนี้ เพราะพระองค์ทราบว่า ถ้าหากประชาชนอยู่ในความสัตย์ ความจริงแล้วละก็จะมีผลต่อความสงบสุขของบ้านเมืองอย่างมากมาย
Conclusion…
Lie to Me
คุณธรรม จริยธรรมเป็นพื้นฐานคุณภาพของคนคนหนึ่ง ก็คือคุณค่าของคน คนที่โดดเด่นยอดเยี่ยมเพียงใด หากคุณค่าในความเป็นคนมีปัญหา ก็จะขาดความไว้วางใจและการสนับสนุนจากผู้อื่น
ในสถานที่ทำงาน บุคคลที่สูญสิ้นคุณค่าความเป็นคน ยิ่งน่ากลัว!!! เพื่อผลประโยชน์เพียงเล็กน้อยที่อยู่ตรงหน้า แล้วกระทำซึ่งเสื่อมเสียถึงองค์กรส่วนรวมต้องเป็นสุสานในอาชีพของบุคคลนั้นอย่างแน่นอน
ในสถานที่ที่ทำงาน ต้องอาศัยความสามารถและความจริงใจ แพ้อะไรก็แพ้ได้ แต่อย่าแพ้คุณค่าในความเป็นคน
ในสังคมทุกวันนี้จะเห็นว่ามีการสร้างภาพเพื่อให้ตัวเองดูดีมีฐานะ แต่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นอย่างนั้น...อันนี้เป็นเรื่องที่ว่า...เราเองจะทำอย่างไร คนแต่ละคนทำอย่างไรเป็นสิทธิของเขา ส่วนคนอื่นจะเข้าใจยังไงก็เป็นเรื่องของแต่ละคน ถ้ากรณีอย่างนี้ยังไม่ถึงขนาดเข้าข่ายการโกหกหลอกลวงอะไร ก็ถือว่าเป็นรสนิยม(สไตล์)ของแต่ละคนไป เป็นเรื่องสิทธิของแต่ละบุคคล เราเองในฐานะผู้รับสาร เราดูใครก็อย่าประเมินที่เปลือกนอก ต้องดูทุกอย่างให้ชัดๆนานๆรอบด้าน.
ปล.ทุกท่านทราบไหมครับว่า ศีล(แปลว่าปกติ)ทั้ง 5 ข้อ ศีลข้อไหนที่เกิดขึ้นเป็นข้อแรกสุด...

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา