9 พ.ย. 2019 เวลา 13:27
"คุณไสยเข้าตัว"
ปีพ.ศ.2558..
สินธรเป็นเด็กหนุ่มที่พึ่งจะเรียนจบปริญญามา
เขาจบมาทางด้านสถาปัตย์จึงมีความตั้งใจ
ว่าจะหางานเป็นสถาปนิก..
งานก็ช่างหายากเย็น สินธรส่งใบสมัครไปในที่ต่างๆ
หลายบริษัทแต่ก็ไร้ซึ่งวี่แววติดต่อกลับมา
ปรึกษากันกับครอบครัวว่าควรหางานทำไปก่อน
เดี๋ยวพอมีโอกาสค่อยขยับขยายไปสมัครใหม่เอา
เขาได้งานเป็นพนักงานออฟฟิตบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เงินเดือนพอยอมรับได้
ผ่านไปสักพักเริ่มรู้จักเพื่อนร่วมงานและสนิทมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือสาวสวยเมืองอุบลชื่อว่า
*มธุรส*..หรือที่ทุกคนเรียกสั้นๆว่า..*รส*
เธอเป็นผู้หญิงผิวขาวหุ่นดี ทำงานอยู่ฝ่ายบัญชี
อัธยาศัยค่อนข้างดียิ้มง่าย นั่นจึงเป็นสิ่งที่ทำให้
หนุ่มๆรุมล้อมขายขนมจีบเธอ แต่สินธรก็ไม่เห็น
ว่าเธอจะสนใจใครจริงจัง ความจริงเขาก็แอบชอบ
รสอยู่เหมือนกัน แต่ดูพวกที่มาจีบมีรถมีของใช้แพงๆซึ่งเขาเทียบไม่ได้เลยจึงทำได้แค่เพียงเก็บความรู้สึกนั้นไว้ในใจ...
ต่อมาไม่นานทางบริษัทได้มีการจัดสัมมนานอกสถานที่ จุดหมายปลายทางคือจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ สามวันสองคืนคือกำหนดการนั้น
เดินทางไปถึงนั้นด้วยความปลอดภัยแต่มันก็เป็นเวลาพลบค่ำเสียแล้ว
ทั้งหมดลงมาทานอาหารค่ำพร้อมกัน
รสอยู่ในชุดเดรสยาวสีขาวปล่อยผมเงางาม
สายตาทุกคู่จับจ้องจนเธอเขินอาย
เธอเลือกเดินมาข้างๆสินธรก้มลงข้างหูเขา
แล้วกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาว่า..
"ขอรสนั่งข้างๆสินธรหน่อยนะ"
ใจเต้นแรงดั่งกลองสะบัดชัย
ทำได้แค่พยักหน้าไม่กล้าหันไปแม้แต่สบตา
เธอนั่งลงทานข้าวตามปกติ
แต่หัวใจของสินธรไม่ปกติเสียแล้ว
เขาคิดว่าตอนนี้เขารักเธอแล้วจริงๆ...
วันต่อมาหลังจากสัมมนาเสร็จเรียบร้อย
ในช่วงบ่าย ทางหัวหน้าได้บอกว่าใครจะไปเที่ยว
ไหนก็ได้ในจังหวัดแต่ต้องกลับมาก่อนสองทุ่ม
เพื่อทานข้าวพร้อมกัน
ทุกคนต่างสรรหาที่เที่ยวแต่ทว่าสินธรอยากอยู่ที่
โรงแรมนอนดูวิวก็พอ กำลังจะเคลิ้มหลับ
มีเสียงเคาะประตูหน้าห้องพอไปเปิดดู
เป็นรสกับพะแพงเพื่อนร่วมงานอีกคน
"อื้ม..มีอะไรเหรอรส?"
"คือพะแพงบอกว่าพรุ่งนี้บริษัทปล่อยเที่ยวได้เต็มวันเลยคิดว่า..."
"จะชวนผมไปเที่ยวด้วยเหรอ?"
"พอดีรสลงไปเจอป้าแม่บ้านแกถามอยากทำบุญไหมพรุ่งนี้เลยมาถามสินธรก่อนไง?"
"อ๋อ..ใส่บาตรสิครับ"
"ไม่ๆ..ป้าบอกว่าไปล้างป่าช้ากับมูลนิธิ!!"
ได้ยินคำนั้น เขาถึงกับตกใจแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
หันไปถามกับพะแพง
แต่เมื่อพะแพงบอกว่าจริง เขาจึงได้รู้ว่าเธอจะไปกันแค่เพียงสองคน แต่อาจมีเหตุฉุกเฉินขอมีผู้ชายไปด้วยสักคน คิดว่าเขาคือคนที่น่าไว้ใจได้ที่สุดถึงได้พากันมาชวนไป สินธรตอบตกลงไปด้วยทันที
วันต่อมาทั้งสามลงมาตอนสายๆ
เจอป้าแม่บ้านกำลังเดินทางไปกับมูลนิธิพอดี
เลยบอกแกว่าอยากไปทำด้วย
พี่ๆมูลนิธิก็ถามแน่ใจใช่ไหม?
ทั้งหมดยืนยันคำเดิมจึงไปที่ปาช้านั้น
พอไปถึงก็ทำตามการทำแนะนำของพี่มูลนิธิ
ทั้งสามคนรู้สึกเหนื่อยแต่อิ่มบุญ
สักพักรสเดินมาเรียกทั้งสินธรและพะแพงไปดู
สิ่งหนึ่งในหลุม มันคือสร้อยประคำและขวดน้ำ
เป็นแก้วใสภายในว่างเปล่า....
รสก้มไปหยิบขึ้นมาซึ่งสินธรห้ามไว้ไม่ทัน
เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พี่มูลนิธิเรียกพวกเขาทั้งสามคน รสตกใจจึงทำขวดหลุดมือตกกระทบพื้นแตกกระจายทันที สินธรมองเห็นควันสีเทาลอยขึ้นมาแล้วพุ่งหายเข้าไปในตัวมธุรส...
เขาหันไปถามพะแพงว่าเห็นเหมือนกันไหม?
แต่เธอตอบว่าเห็นอะไรเหรอ?
ท่ามกลางความสงสัยแต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในตัวของเธอ จนถึงเวลากลับไปที่โรงแรม
ตอนลงมาทานข้าว ทุกคนแปลกใจเมื่อสิ่งที่เห็นคือ
มธุรสแต่งตัวใส่เสื้อม่อฮ่อมแขนยาวนุ่งซิ่นไหมมวยผมแล้วเอาดอกไม้ป่าปัก ปากเธอแดงฉานดังเลือด
สินธรถามพะแพงที่พักห้องเดียวกันว่าทำไมรสแต่งตัวแบบนี้?...
พะแพงบอกไม่รู้สิแต่คำพูดแววตาเหมือนไม่ใช่รสเลย แพงก็ยังกลัวอยู่เลย
แล้วอยู่ๆรสก็พูดขึ้นมาว่า
"มีลาบเลือดไหม ดิบๆเลือดสดๆยิ่งดี!!"
พากันมองหน้าเลิกลั่ก โดยเฉพาะพะแพงนั้น
แทบจะร้องไห้แล้ว พูดกับสินธรว่า
"คืนนี้แพงขอไปนอนด้วยนะ กลัวรสมากเลย"
สินธรมองหน้าพะแพงด้วยความเห็นใจ
พนักงานจัดแจงเอาลาบดิบมาให้รสตามคำขอ
เธอเอามือนึงจกใส่ปาก อีกมือเอาช้อนตักเลือดซดดังโฮกฮากเสียงดัง คนที่นั่งร่วมด้วยพากันทยอยลุกหนีกันหมด สินธรเดินมาถามว่ากินเป็นเหรอรส
เธอชะงักเงยหน้ามาตาจ้องเขาเขม็ง
ค่อยๆแสยะยิ้มปากเต็มไปด้วยเลือดพูดว่า
"ก็กูหิว!!.แล้วกูก็ชอบกินแบบนี้.ตับไตไส้พุงยิ่งชอบ!"
"เธอเป็นใคร?..เธอไม่ใช่มธุรส!!:"
"กูนี่ล่ะอีรส!!..ถ้ามึงยังพูดมากกูจะกินไส้มึงด้วย!!"
ท่าจะไม่ดีหัวหน้าให้ผู้ชายทั้งหมด
รุมจับตัวรสไว้ แต่ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ
คนเดียวเหวี่ยงกระเด็นหมด
มีลุงคนสวนชราเดินเข้ามา
แกทำท่าเป่าอะไรใส่มือแล้วแบมาทางที่มธุรสยืนอยู่
เธอยืนนิ่งเหมือนดังถูกตรึงไว้
เงยหน้ามาพูดว่า..
"มึงจะทำอะไร?..ปล่อยกูไอ้แก่!!"
ชายชราเดินเนิบๆยิ้มมาพอถึงหน้าเธอ
เอามือลูบหัวอย่างแผ่วเบา
เพียงเท่านั้นรสก็สลบไปทันที..
แล้วแกก็เอาฝ้ายขาวมาผูกข้อมือให้มธุรส
บอกให้พาเธอขึ้นไปพักได้แล้ว
ที่สำคัญอย่าให้ฝ้ายหลุดจากมือนะไม่อย่างนั้น
จะอาละวาดอีก...
สินธรเป็นคนอุ้มเธอขึ้นไปห้องเอง
พะแพงเดินตามหลัง
ในใจคิดว่าคงนอนเฝ้าเธออยู่ในห้องรับแขก
ช่วงจังหวะที่คิดนั้นเอง
เขาอุ้มเธอไปเฉียดตู้ใส่ถังดับเพลิง
บานประตูมีสลักอยู่
ฝ้ายผูกแขนไปเกี่ยวสลักขาดลงพื้น
พะแพงหน้าเสียทันที...
ไม่ทันกับความคิด
มธุรสดีดตัวขึ้นมา ตาเบิกโพลง
คลานอยู่กับพื้นแลบลิ้นออกมา
นี่มันคือตัวอะไรกันที่มาแฝงอยู่ในร่างเธอ
มีมือดึงแขนเขาออกไปด้านหลัง
ลุงคนสวนนั่นเอง
"คิดไว้แล้วต้องเป็นแบบนี้...เดี๋ยวลุงจัดการเอง"
แกล้วงบางอย่างในกระเป๋าเสื้อออกมา
มันคือตะขอสับช้างหรือคชกุศยาวแค่คืบเดียว
สับลงตรงพื้นต่อหน้าผีในร่างมธุรส
เสียงกรีดร้องโหยหวนออกมา
ผีร้ายนั่งคุกเข่าตาจ้องชายชราเขม็ง
"มึงเป็นใครอีผีร้าย!!"
"กูอยู่ในขวดแก้วที่อีนี่ทำแตก จิตของพวกกูทั้งหมดคือวิญญานตายโหงมารวมกัน"
"คุณไสยทำร้ายคนอื่นงั้นรึ?"
"หมอผีมันขังกูไว้ในขวดแก้วนั้นด้วยยันต์น้ำมัน
พออีนี่มันปลดปล่อยกูเลยแฝงมัน"
"มึงออกไปเดี๋ยวนี้ก่อนที่กูจะเอาตะขอสับมึงให้สลายไป"
ไม่รู้ด้วยความกลัวหรืออานุภาพตะขอสับช้าง
มีกลุ่มควันลอยออกมาจากปากของมธุรส
ลอยออกไปตามทางทะลุหน้าต่างระเบียงออกไปไกล ลุงเอาฝ้ายมาผูกให้ใหม่ คราวนี้ทั้งสองข้างเลย
แกเลยถามว่าไปทำอะไรกันมาถึงโดนผีมันแฝงเอาได้ พะแพงจึงเล่าเรื่องให้แกฟัง
เลยถูกเตือนว่า การทำบุญจิตอาสาแบบนั้นก็ดี
ได้บุญมาก แต่ถ้าเจอสิ่งใดไม่ปกติไม่ควรไปยุ่ง
ต้องบอกคนที่ชำนาญก่อนเข้าใจไหม...
ทั้งสินธรกับพะแพงไหว้ขอบคุณแก
ลุงยังบอกว่าเดี๋ยวคืนนี้จะเป่าคาถากันภัยล้อมรอบห้องให้นะ รุ่งเช้าพระอาทิตย์ขึ้นก็ปลอดภัยแล้ว
พากันอุ้มรสเข้าไปนอนในห้อง
รุ่งเช้าวันต่อมาเตรียมตัวที่จะกลับ
มธุรสเอาเงินใส่ซองเพื่อเตรียมให้ลุงคนสวน
เป็นสินน้ำใจที่ช่วยเหลือแต่หาแกไม่เจอไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน ทั้งสามคนจึงเดินมาที่เค๊าเตอร์ถามหาลุง
คนนั้น...
พนักงานถามลักษณะรูปร่างแกแล้วก็ยิ้มให้
บอกว่าแกชื่อลุงบุญเติมทำงานเป็นคนสวนที่นี่จริงๆ
"แต่ว่าแกตายไปสามปีแล้วนะ!! คุณเห็นแกจริงๆใช่ไหม?"
พูดไม่ออกแต่พอกลับมาถึงกรุงเทพทั้งหมดก็ไปทำบุญให้ลุงบุญเติมตอบแทนบุญคุณแกครับ..
#เครดิตเรื่องเล่า : สินธร กรจินดา...
โฆษณา