13 พ.ย. 2019 เวลา 13:39 • ความคิดเห็น
จะเล่าประสบการณ์ การสัมภาษณ์งาน ให้ฟังค่ะ
ในชีวิตที่ผ่านมาเคทไม่เคยกลัวหรือมีความกังวลกับการสัมภาษณ์งานเลยค่ะ เพราะเคทมีทริคง่ายๆและแน่นอนว่าไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน
1
แค่ตอบ มิ้วๆ กับ มิ้วติ้ว เขาก็จะรับเราแบบ งงๆ แล้วค่ะ 😂😂 อ่าาาล้อเล่นนะ อ่ะ เอาดีๆละ 😅
คำถามของ บริษัททั่วๆไป ก็จะเป็นแพทเทรินที่ไม่มีอะไรมาก การที่เขาเรียกคุณไปสัมภาษณ์ ให้ระลึกไว้เลยว่า เขาเปิดโอกาสเปิดใจรับคุณเข้าทำงานแล้วไม่น้อยกว่า 90% จากการดูโปรไฟล์ของคุณ อีก 10% ที่เหลือ ถ้าคุณไม่พลาดตกม้าตายเอง ก็คือคู่แข่งคุณดีกว่า ดังนั้น ข้อสำคัญ คุณต้องมีความมั่นใจในตัวเองก่อนค่ะ ไม่ต้องพานิค ตื่นเต้น ประหม่าจนเกินไป
ในบริษัทใหญ่ๆ มีหลายบริษัทมากๆนะคะ ที่เขาจะโยนคำถามแบบกดดันคุณสุดๆ นอกจากคำถามที่กดดันแล้ว
เขาก็จะสร้างบรรยากาศความกดดันที่เลเวลระดับ 10 เลยค่ะ เช่น การรุมสัมภาษณ์ตั่งแต่ 2 คนขึ้นไป การพูดจาภาษาพ่อขุน จนถึงขั้น ยกเท้าพาดขึ้นบนโต๊ะ ( อันนี้มีจริงๆ และ บมจ ใหญ่ด้วย 😅 )
สิ่งที่คุณต้องเข้าใจ ในหลักการเฟ้นหาตัวบุคลากร คือ
เขาต้องการความแตกต่างค่ะ แพทเทรินคำตอบที่ เซฟๆกลางๆ จะไม่ใช่สิ่งที่เขามองหาค่ะ
.
.
อย่างเช่น ถ้าเขาถามคุณว่า
" คุณรู้อะไรเกี่ยวกับ บริษัท ของเราบ้าง "
เคทเชื่อว่า ส่วนใหญ่ มักตอบข้อดี ของ บริษัท และพูดถึง โปรดักส์นั้นๆของบริษัท และ คำนิยมต่างๆ บางคนสามารถร่ายเรียงโปรดักส์ ตลอดจน กลุ่มลูกค้า ของบริษัทได้หมด ซึ่งก็เป็นเรื่องดีค่ะ
แต่...นั่นมันเบสิคไป ใครๆก็ทำกัน
ดังนั้นสิ่งที่คุณ จะต้องทำคือ สร้างความแตกต่าง
โดย บอกถึงข้อเสีย ของบริษัท ค่ะ !!
บอกถึงจุดอ่อน ของ องค์กร ของโปรดักส์ บอกไปให้หมดเท่าที่คุณจะนึกออก
แต่...แต่ก็ต้องมีเซ้นต์ในการพูดหน่อยนะคะ พูดจุดอ่อนจุดด้อย ยังไงให้ดูดี เช่น ถ้าคุณอยู่ในสาย เซลหรือมาร์เก็ตติ้ง คุณก็อาจพูดไปในเชิงที่ว่า จากที่ติดตามและสำรวจ โปรดักส์ตัวนี้ ยังสามารถเติบโตได้อีก เพราะเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาดแล้ว ยังมีช่องว่างของตลาดที่เรายังเข้าไม่ถึง บลาๆๆ
หรือ ถ้าคุณอยู่ในสายงานโฆษณา คุณก็ต้องพูดในเชิงที่ว่า tvc ตัวล่าสุดที่เห็นเป็นโฆษณาที่ดีมากแต่ผมคิดว่าถ้าปรับเพิ่มตรงนี้เล็กน้อยเพื่อโฟกัสตลาดกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น บลาๆๆไรก็ว่าไป
ไม่ใช่เน้นอวยอย่างเดียว
เพราะ อย่าลืมว่า การที่เขาเลือกคนมาทำงาน เขากำลังมองหาคนแก้ปัญหาค่ะ (ถ้าแค่งานทั่วๆไป ใครๆก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นคุณหรอกจริงไหม ถ้าเป็นแบบนั้นไม่ต้องซีเรียสเรื่องคำตอบหรอกค่ะ เขารับง่ายๆอยู่แล้ว )
.
.
ถ้าเขา ถามคุณว่า เพราะอะไร " เราถึงต้องจ้างคุณ "
คุณอย่าไปบอกว่า คุณต้องการเรียนรู้งาน หรือ ต้องการเติบโตไปพร้อมกับบริษัทนะคะ อย่างที่บอก ต้องตระหนักว่า คุณมาเพื่อแก้ปัญหา
ทีนี้คู่แข่งคุณ ก็อาจจะเข้าใจจุดนี้ เขาอาจจะเก่งกว่าคุณ ในสายงานนั้นๆ มีประสบการณ์มากกว่าก็ได้
ดังนั้น การตอบคำถาม คุณควรเลือกที่จะบอกประสบการณ์ในงานของคุณแต่เพียงน้อยๆเน้นๆ
แต่จงบอกความแตกต่างที่นอกเหนือจากงานให้เยอะ !!
คุณอาจจะพูดไปเลยก็ได้ว่า จริงๆแล้วบริษัทอาจมีตัวเลือกที่ดีกว่าในการแก้ไขหรือทำงานตรงจุดนี้ แต่บริษัทจะไม่ได้ประสบการณ์ที่แตกต่างหากไม่เลือกคุณ
ถ้าคุณ สวย ก็ต้องบอกไปเลยว่า ความสวยคือ คุณสมบัติ ถ้าคุณเป็นคนพูดเก่ง ก็พรีเซ้นต์ไปเลยว่า คุณพูดเก่งยังไง พูดจนลิงหลับก็ทำมาแล้ว ถ้าซ่อมรถ ล้างรถเป็น คุณก็โฟกัสไปเลยว่า การซ่อมรถของคุณมันทำให้คุณได้เปรียบกว่าชาวบ้าน เช่น คุณจะไม่เจอปัญหาเรื่องนี้ในระหว่างงานและจะไม่เกิดข้ออ้างนี้ในการเสียงานแน่ๆ คุณทำอะไรเป็น คุณบอกไปเลย แต่ต้องคิดว่า มันแตกต่าง กว่าคนทั่วไป
แต่...แต่ถ้าคุณไม่เก่งอะไรเลยหล่ะ คุณก็บอกไปเลยว่า บริษัทไม่จำเป็นต้องมีคุณก็ได้เพราะคุณไม่เก่ง แต่บอกเขาไปว่าความไม่เก่งของคุณ จะทำให้คุณปฏิบัติตามออเดอร์โดยไม่แตกแถว รับคำสั่งอย่างเคร่งครัด
ทีนี้เชื่อไหมว่า เขาจะไม่มองว่าคุณไม่เก่ง
เขามองออกว่าคุณฉลาดตอบคำถาม และกลับกัน เขาก็จะอยากได้ใครสักคนอยู่ในอำนาจ และในโอวาท หรือบางที เขาก็คิดว่า คุณมีชั้นเชิงและกำลังประลองความคิดเขาอยู่
แปลกดีไหมหล่ะ แต่มันคือเรื่องจริงค่ะ !!
.
ถ้าเขาถามคุณว่า " ทำไมคุณถึงออกจากที่เก่า "
และในคำถามนี้เขาอาจจะไซโคคุณอย่างหนักจนคุณ รู้สึกผิดได้ถ้าคุณออกจากที่เดิมมาเร็วเกินไป เพราะการรับบุคลากรมาสักคนเป็นเรื่องยาก ไหนจะต้องเทรนงาน จัดการนู่นนี่นั่นเพื่อตำแหน่งคุณ บลาๆๆ แล้วต้องมาออกไป เป็นเรื่องเสียหายอย่างมากต่อบริษัท
การตอบแบบ ต้องการเติบโต ความก้าวหน้า หรือต้องการหาประสบการณ์ใหม่ๆ ป่วย หรือบ้านไกล ย้ายบ้าน อะไรทำนองนี้ อย่าไปตอบค่ะ มันดูเด็กน้อย
ให้คุณตอบไปเลยว่า ด้วยเพราะคุณเข้าใจถึง คุณค่าของ ทรัพยากร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลา
เวลาเป็นสิ่งสำคัญมาก คุณรู้สึกว่า องค์กรนั้นไม่เหมาะกับคุณถึงแม้จะเป็นองค์กรที่ดีก็ตาม
ก็ร่ายไปว่ามันไม่เหมาะเพราะอะไร เงินเดือนน้อยก็บอกไปเลยว่าน้อย เพื่อนร่วมงานแย่ หัวหน้าแย่ ก็บอกไปเลย หรือคุณทำงานนั้นไม่ได้จริงๆรับแรงกดดันไม่ได้ก็ต้องบอกไป บอกไปตรงๆนั่นแหละ แล้วให้เหตุผลไปว่า....
เมื่อมันมีความขัดแย้งในบริบทต่างๆ มันเป็นการเสียเวลาที่จะทำงานต่อเพราะ จะรั้งให้ศักยภาพในการทำงานของคุณต่ำลง สุดท้ายผลเสียจะเกิดที่บริษัทเอง ดังนั้นการตัดสินใจแยกทางเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ต่อทั้งองค์กรและตัวเอง
คุณต้องบอกว่า องค์กรจะดีขึ้นได้ สภาพความเป็นอยู่ของพนักงานก็ต้องดีก่อนถึงจะขับเคลื่อนได้ !!
บอกไปเลยคุณเป็นคนเห็นแก่ตัว เพราะตัวเองต้องดีก่อน ก่อนที่จะทำให้คนอื่นดีได้ จริงไหม !!
.
.
ถ้าเขาถามเรื่อง " อนาคตของคุณกับบริษัท" เช่น เขาถามว่า "คุณมองตัวเองอีก4-5ปีข้างหน้าอยู่ตรงจุดไหน "
บอกไปเลยว่า คุณไม่เคยคิดหรือเคยมองตำแหน่งข้างหน้า คุณมองแค่ว่า คุณจะทำแต่ละวันให้ดีอย่างไร และอยากเห็นอนาคตข้างหน้าของบริษัทที่เติบโตมากกว่าอนาคตของตัวเอง เพราะถ้าบริษัทดีและคุณยังคงทำงานอยู่ ยังไงผลลัพธ์มันก็ต้องดีอยู่แล้ว
การตอบแบบนี้จะทำให้ เขาเห็นว่าคุณมีเซ้นต์ที่ดี
.
.
และถ้ามาถึงคำถามเรื่อง เงินเดือน ว่าคุณ "ต้องการเงินเดือนเท่าไหร่ "
คุณห้ามตอบเด็ดขาดว่า ตามความเหมาะสม หรือ แล้วแต่พิจารณา คุณต้องบอกมั่นใจไปเลยว่า คุณต้องการเท่าไหร่ แนะนำว่าให้บอกมากกว่า เกณฑ์มาตรฐานของตลาดเล็กน้อย ให้ดูว่าคุณพราว เพราะยังไงเดวเขาก็ต่อรองคุณเอง คุณไม่จำเป็นต้องไปเปิดช่องว่า ต่อรองได้หรืออะไรหรอก กลับกันคุณถามเขาไปเลยก็ได้ว่า ค่าตอบแทนเดิมของบริษัทสามารถปรับขึ้นได้อย่างไร ปัจจัยใดบ้าง ถ้าเขาตอบมาแล้วคุณรู้สึกโอเค
คุณก็ต้องดีดราคาตัวเองนิดนึงว่า คุณต้องการเรตที่สูงขึ้นกว่าสแตนดาร์ดนิดหน่อย
และมาถึงสิ่งที่หลายๆคนกังวลและกลัว คือ การสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษ
สำหรับการสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษ คุณยิ่งไม่ต้องกลัวเลย ถ้าเขาถามว่า ภาษาอังกฤษของคุณดีไหม(จริงๆเขารู้อยู่แล้วหล่ะ เห็นตั่งแต่ใบสมัคร) คุณสามารถตอบเขาเป็นภาษาไทยได้ค่ะ ไม่ต้องฝืนหรือพยายามเรื่องแกรมม่าอะไรเลย หรือบางที่เขามักถามว่า คุณคิดว่าภาษาอังกฤษของคุณเป็นยังไง คุณตอบไปเลยว่า เรื่องภาษาไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเพราะตั่งแต่มีกูเกิ้ลทรานสเลตทุกอย่างก็ง่ายขึ้น
ถ้าในกรณีที่เขา มาถึงสัมภาษณ์คุณเป็นภาษาอังกฤษเลย ถ้าในกรณีที่คุณพอพูดได้แต่การฟังอ่อนแอ จงใช้คำตอบกลางๆเสมอ เช่น เขาพูดมาบลาๆๆๆ คุณตอบไปแค่ว่า โอเค ไอซียู ไอ ธิง ไอแคนดูอิท และนอกนั้นก็ เยสๆๆๆ โอเคๆๆ และก็ทวนคำถามเขาอีกทีเพื่อที่คุณจะมีเวลานึกคำตอบได้ หรือ คุณจะตอบเป็นภาษาไทย ก็ไม่มีใครว่าอะไรคุณหรอก
และถ้าอย่างกรณีเลวร้าย คุณพูดไม่ได้ และอ่อนภาษามาก พอเขาเริ่มสัมภาษณ์คุณเป็นภาษาอังกฤษ
ให้คุณบอกไปเลยว่า ภาษาอังกฤษไม่จำเป็นต้องคุยกับคุณ เพื่อการสื่อสารที่ชัดเจนตรงกันขอเป็นภาษาไทยดีกว่าเพื่อจะได้โฟกัสตรงจุดในเนื้องาน
จบค่ะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ
มิ้วๆ 😂😂😂
โฆษณา