16 พ.ย. 2019 เวลา 04:48 • ประวัติศาสตร์
Absinthe เหล้าปีศาจ
ในโลกนี้ หากจะมีสิ่งใดที่สามารถ
เปลี่ยนคนดีกลายเป็นคนบ้า
เปลี่ยนคนกล้ากลายเป็นคนขลาด
เปลี่ยนคนฉลาดกลายเป็นคนโง่
เปลี่ยนคนถ่อมตัวกลายเป็นคนคุยโว
และเปลี่ยนเรื่องเล็กน้อยน่าโมโหไปสู่การบันดาลโทสะ
สิ่งนั้นต้องเป็นสุรา สุราฤทธิ์รุนแรงสีเขียวมรกตอันมีปริมาณแอลกอฮอลไม่น้อยกว่า 70% และยังเต็มไปด้วยสมุนไพรโบราณที่ทำให้ประสาทหลอนอีกนับสิบชนิด
ต้นกำเนิดของ Absinthe เหล้าปีศาจ รวมถึงตำนานความร้ายกาจที่มันฝากไว้กับศิลปินชื่อก้องและเหล่านักคิดคนดังของโลก นอนรอคุณผู้อ่านอยู่ที่ก้นแก้วแล้วครับ
ย้อนกลับไป 1550 ปีก่อนคริสตกาล
ชาวอียิปต์เป็นชนชาติแรกที่นำต้น Wormwood (เวิร์มวู้ด) สมุนไพรที่ขึ้นเป็นพุ่มเตี้ยกลางป่าลึกมาใช้เป็นยารักษาโรค ลำต้นและดอกของมันมีสรรพคุณมากหลาย ช่วยรักษาโรคตับ, แก้อาการซึมเศร้า, หายปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และเพิ่มความต้องการทางเพศ
ไม่นานวัฒนธรรมการรักษาอันดีงามนี้ก็แพร่ไปสู่แผ่นดินกรีก ที่ซึ่งพวกเขานำดอก Wormwood ไปสกัดน้ำมันมาใส่ในเครื่องดื่ม และเรียกพืชชนิดนี้ว่า Artemisia absinthium
10
ปีค.ศ. 1792 - ประเทศสวิตเซอแลนด์
นายแพทย์ชาวฝรั่งเศส Dr. Pierre Ordinaire (ปิแอร์ ออดิแนร์) ซึ่งเปิดคลีนิคอยู่สวิส เกิดความคิดที่จะทำเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพให้แก่ผู้ป่วยของเขา โดยมีโจทย์ว่าเครื่องดื่มนี้ต้องรักษาได้หลายโรค
หลังจากงมทดลองอยู่พักใหญ่ เขาก็ไปพบดอก Wormwood โดยบังเอิญ ไม่นานการคิดค้นเมนูสุขภาพก็ประสบความสำเร็จโดยมีสมุนไพรพันปีนี้เป็นตัวชูโรง Dr. Pierre ตั้งชื่อเครื่องดื่มของเขาว่า Absinthe (แอ๊บซินธ์)
กาลต่อมา สูตรเครื่องดื่ม Absinthe ถูกถ่ายทอดให้กับสองสาวพี่น้อง Henriod Sisters เพื่อนำไปจำหน่ายในร้านขายยาสมุนไพรของพวกเธอ และเครื่องดื่มสีเขียวนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ
เมื่อเห็นช่องทางทำธุรกิจ นายทหารยศพันตรีนาม Dubied จึงเข้าซื้อสูตรของ Absinthe ก่อนจะปรับเปลี่ยนสูตรเล็กน้อย ใส่แอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น ปรับแบรนด์ให้เป็นเครื่องดื่มสุรา และลงทุนเปิดโรงกลั่น Absinthe แห่งแรกของโลกตั้งชื่อตามตนเอง โดยมีลูกชายและลูกบุญธรรมนาม Henry-Louis Pernod เป็นลูกมือ
กรรมวิธีผลิต Absinthe นั้นเริ่มจากรวบรวมส่วนผสมซึ่งมีเกือบ 10 ชนิดให้ครบ โดยส่วนผสมหลักจะเป็นดอก Wormwood, โป๊ยกั๊กเขียว และเม็ดยี่หร่า
คนงานจะเทส่วนผสมทั้งหมดลงไปในถังทองแดง ฉีดน้ำแอลกอฮอลเข้มข้นที่ทำจากองุ่นขาวลงไปจนเต็ม ปิดฝาถังและแช่ไว้หนึงคืนเพื่อให้แอลกอฮอลซึมเข้าไปในเมล็ดพันธุ์ ขณะเดียวกันก็ดึงความหอมออกจากเมล็ดมาให้น้ำด้วย
วันรุ่งขึ้นก็เข้าสู่กระบวนการกลั่น โดยทำให้ถังทองแดงร้อนขึ้นโดยแรงดันไอน้ำนาน 45 นาทีจนถึงจุดเดือด หลังจากนั้นของเหลวสีขาวใสจะค่อยๆล้นออกจากถัง
ในช่วง 10 นาทีแรกสิ่งที่ได้จะเป็นของเหลวขาวข้น ที่มีแอลกอฮอลสูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ทางโรงกลั่นจึงต้องคัดทิ้ง จนเมื่อเวลาผ่านไป เราก็จะได้เหล้า Absinthe สีขาวใสกลิ่นหอมรัญจวนใจเอ่อล้นออกมาจากถัง ซึ่งมีแอลกอฮอลลดลงจากเดิมเหลือ 70 เปอร์เซ็นต์
ได้เป็นผลิตภัณฑ์ประเภทแรก Blanche Absinthe หรือ Absinthe ขาวในภาษาฝรั่งเศส ใส ไร้สี ดีกรีแรง
ส่วนอีกประเภทก็คือ Verte Absinthe หรือ Absinthe เขียว ได้จากการฉีด Absinthe ขาว ลงไปในถังที่เต็มไปด้วยสมุนไพร เมื่อทิ้งไว้สักระยะ คลอโรฟีลจากสมุนไพรจะแพร่ออกมาทำให้สีของ Absinthe ค่อยๆเปลี่ยนจากขาวเป็นเขียวอ่อนใส พร้อมกลิ่นหอมที่มากกว่าประเภทแรกอย่างชัดเจน
กิจการเหล้า Absinthe ของครอบครัว Dubied ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว หลังจากซื้อสูตรมาได้ 9 ปี, ค.ศ. 1805 Dubied จึงส่งลูกบุญธรรม Pernod ไปเปิดโรงกลั่นอีกแห่งในแผ่นดินฝรั่งเศส นับเป็นก้าวแรกแห่งการเดินทางของเหล้ามรกต
Absinthe ลงหลักปักฐานอย่างมั่นคงในฝรั่งเศส แม้จะได้ชื่อว่าเป็นประเทศแห่งไวน์ แต่ความนิยมของผู้คนค่อยๆเปลี่ยน ในสมัยนั้นหากเดินสำรวจตามบาร์ เราจะเห็นผู้คนนั่งเงียบอยู่กับตัวเอง พลางจิบเครื่องดื่ม ดวงตาล่องลอย มันคือสุนทรียะแห่งการเสพย์ Absinthe
วิธีการดื่ม Absinthe ก็น่าสนใจไม่แพ้กันครับ เพราะมันไม่ใช่เหล้าที่สักแต่ว่าเทใส่แก้วแล้วกระดกกรึ้บเดียวเหมือนทั่วไป การดื่ม Absinthe มันคือพิธีกรรม มีอุปกรณ์ มีการรอคอย และมีคลาส
1
จอกสำหรับดื่ม Absinthe โดยเฉพาะ,
ช้อนที่ฉลุลวดลายสวยงาม,
น้ำตาล 1 ก้อน
และน้ำพุแห่ง Absinthe ซึ่งก็คือถังใสทรงกลมภายในบรรจุน้ำเย็นจัด มีก๊อกเล็กๆรอบถัง เมื่อเปิดก๊อก น้ำจะค่อยๆไหลออกมาทีละหยด
ผู้ดื่มจะเทเหล้า Absinthe ลงไปประมาณ 1/5 ของจอก นำช้อนมาวางพาดและวางน้ำตาลลงบนช้อน ก่อนจะเปิดก๊อกให้น้ำหยดออกจากน้ำพุลงบนน้ำตาล
เมื่อน้ำตาลละลายหยดลงไปในจอก สีของ Absinthe จะเปลี่ยนจากเขียวใส กลายเป็นเขียวข้น ส่งกลิ่นหอมอโรม่าออกมา ราวกับปลดปล่อยเทพยดาออกมาจากเหล้า
แต่ละจิบของ Absinthe คือความร้อนแรงที่แฝงไว้ด้วยความซับซ้อน Wormwood, โป๊ยกั๊ก และเม็ดยี่หร่าทำงานของมันอย่างไร้ที่ติ สนับสนุนเป็นอย่างดีด้วยสมุนไพรหลากชนิด สสารต่างปะทะกันอย่างรื่นรมย์ สวยงาม มันจะเป็นเครื่องดื่มดีต่อใจมากๆหากไม่มีสารตัวหนึ่ง ที่สามารถเข้าถึงจิตใจส่วนลึกที่สุดของมนุษย์...
1
สารนั้นมีชื่อว่า Thujone (ธูโจน)
Thujone คือส่วนประกอบสำคัญใน Absinthe จากการทดลองในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 พบว่ามันมีผลทำให้เกิดอาการประหลาดเวลาดื่ม
3
ในทฤษฎีบุคลิกภาพของซิกมันด์ ฟรอยด์กล่าวไว้ว่า ในตัวเราทุกคนจะมีบุคลิก 3 อย่าง คือ Id, Ego และ Superego
Id คือสัญชาตญานดิบของมนุษย์ มันคือวิธีที่เราตอบสนองต่อสิ่งเร้าสิ่งยั่วยุอย่างเป็นธรรมชาติ หรือจิตใต้สำนึกนั่นเอง โดยมากจิตใต้สำนึกเรามักตอบสนองอย่างรุนแรงกับสิ่งต่างๆ เช่นการยั่วยวนทางเพศ การถูกด่าว่าทำให้โกรธ หรือการถูกทำให้อับอาย
1
สิ่งที่คอยยั้งเราไว้ไม่ให้เกิดเหตุร้ายคือ Ego มีหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมเราให้เป็นไปตามครรลองของสังคม อยู่ในกฎเกณฑ์ และกด Id ลงไปให้ลึกสุดใจ
1
สิ่งที่ Absinthe ทำ คือการทำลาย Ego ของมนุษย์จนหมดสิ้น
1
เหล้าปีศาจนี้ดึงความจริงแท้ออกมาจากมนุษย์ได้อย่างน่ากลัว มันคือเครื่องจับเท็จในรูปแบบของเหลว คนเก็บกดหากดื่ม Absinthe จนเมา ก็มีความเสี่ยงที่จะบันดาลโทสะ หรือถ้าเราอยากรู้ตัวตนที่แท้จริงของใคร จงให้เขาดื่ม Absinthe
ในขณะเดียวกัน Thujone ยังมีฤทธิ์ทำให้ประสาทหลอน ซึ่งจุดนี้เองทำให้เหล่าศิลปืนชื่อดังของโลกชื่นชอบ Absinthe เป็นพิเศษ เพราะช่วยในการสร้างสรรค์งาน เราจะเห็นน้ำพุแห่ง Absinthe ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานของจิตรกรและนักคิดชื่อดังอยู่เสมอ
Pablo Picasso - จิตรกร
Eminem - แรพเปอร์
Johny Depp - นักแสดง
Ernest Hemingway - นักเขียน
Oscar Wilde - กวี
Paul Verlaine - กวี
Edgar Allan Poe - นักเขียน
บุคคลผู้เป็นตำนานแห่งยุคสมัยคนแล้วคนเล่าติดอยู่ในกรงสีเขียวของ Absinthe และเหตุการณ์อันโจษจันที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องต่อไปนี้
22 ธันวาคม 1888
Vincent Van Gogh (วินเซนต์ แวน โก๊ะ) ขณะนั้นยังเป็นศิลปินไร้ชื่อเสียง เช่าห้องราคาถูกอยู่กับเพื่อนศิลปินอีกคนนาม Paul Gauguin (ปอล โกแกง) ณ เมือง Arles ประเทศฝรั่งเศส
1
ในช่วงเย็น ทั้งสองออกไปนั่งชิลกันที่คาเฟ่ Van Gogh ไม่ลืมที่จะสั่ง Absinthe มาดื่ม พลางเพลิดเพลินกับบรรยากาศในช่วงใกล้คริสมาสต์กับเกลอรู้ใจ
ตกดึก ดื่มไปสักพักจู่ๆ Van Gogh ก็คว้าขวดเหล้าปาเข้าใส่ Gauguin แต่พอข้ามวัน Van Gogh ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เขากลับบอกเพื่อนว่าจำเหตุการณ์นี้ไม่ได้เลย Gauguin จึงอธิบายว่าตอนนั้นตนเองกำลังจะออกไปเดินเล่นข้างนอก ซึ่งทำให้ Van Gogh หัวเสียมาก เพราะเขาเกลียดการที่ต้องอยู่คนเดียว
จนตอนเที่ยงวันที่ 23 ธันวาคม Van Gogh นั่งจิบ Absinthe เขียวอยู่ที่ห้องและ Gauguin ออกไปเดินเล่นข้างนอก เมื่อเห็นว่าตัวเองหนวดเครารุงรัง Van Gogh จึงลุกไปที่กระจกพร้อมใบมีดโกน เขาลงมือโกนหนวดอย่างนุ่มนวล ช่างตรงกันข้ามกับเรื่องราวในหัวของเขาที่มีอยู่มากมาย ซับซ้อน อลหม่าน ราวกับพายุเข้า
และเขาก็เริ่มได้ยินเสียง เสียงที่ในภายหลังเขาเปิดเผยกับจิตแพทย์ว่า
"มันบอกให้ผมฆ่า Gauguin"
สับสนถึงขีดสุด มึนเมาถึงจุดพีค เขาได้ยินเสียงเพื่อนรักเปิดประตูเข้าห้องมา ไม่รอช้า Van Gogh พุ่งเข้าใส่ทันที
2
Gauguin ตกใจ เห็นพวกมีอาการคลุ้มคลั่งพร้อมมีดโกนในมือ จึงออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ขณะที่ Van Gogh กวดตามมาติดๆ เดชะบุญด้วยอะดรีนาลีนหลั่งออกมามาก Gauguin เลยรอดไปได้
Van Gogh ย้อนกลับมาที่ห้อง หยิบใบมีดขึ้นมาแนบหู ค่อยๆกดโลหะคมกริบลงไป และเชือด! เถือไปเถือมาจนใบมีดเข้าไปลึกขึ้น ลึกขึ้น โลหิตสีแดงสดไหลออกมาเป็นลิ่ม พร้อมกับเสียงร้องโหยหวนของเจ้าตัว
ชึ้บ ชึ้บ...
ช้าๆและทรมาน เลือดแดงฉาน กับความสำราญสีเขียว
เวลาใกล้่เที่ยงคืน Van Gogh ห่อใบหูของเขาและส่งไปที่เลาจน์เด็กดริงค์ที่เขาและ Gauguin ชอบไปประจำ จ่าหน้าถึงเด็กสาวคนหนึ่งที่เคยนั่งเป็นเพื่อนดื่มในยามทุกข์ใจ เธอชื่อว่า Gabrielle Berlatier
1
"โปรดรับไว้"
ยังมีเหตุการณ์ความรุนแรงอีกหลายแบบที่มีต้นเหตุมาจากเหล้า Absinthe
ฟางเส้นสุดท้ายคือการฆาตกรรมครอบครัวตัวเองของชาวนาที่ดื่มเหล้านี้เป็นประจำ ทำให้มันถูกทางการฝรั่งเศส แบนไปกว่า 100 ปี ตั้งแต่ปี 1905-2008 ก่อนจะปลดแบนและอนุญาตให้คนกลับมากลั่นเหมือนเดิม
ในปัจจุบัน Absinthe สมัยใหม่ถูกลดปริมาณสาร Thujone ลงเพื่อให้ปลอดภัยกับผู้ดื่มมากขึ้น หลายคนหันมาบริโภคมันเพื่อสุขภาพ โดยดื่มไม่เกินวันละสองแก้ว
ช่วงนี้ใกล้จะเข้าเทศกาลส่งท้ายปีแล้ว ผู้เขียนคงไม่มีอะไรอยากจะฝากมากไปกว่าการดื่มอย่างระมัดระวัง ไม่มากเกินไป สนุกแต่พอดี จะได้มีเวลาสนุกไปนานๆ
ที่สำคัญ ดื่มไม่ขับนะครับ เพื่อความปลอดภัยของท่านผู้อ่านเองและเพื่อนร่วมทางครับ
เกร็ดเล็ก: รสชาติของ Absinthe นั้นหวานอร่อย จิบง่าย จิบเพลิน เหมาะกับทั้งชายและหญิง แถมในหนึ่งแก้วยังมีรสต่างกัน ตอนเริ่มดื่มรสชาติจะหนักไปทาง Wormwood, โป๊ยกั๊ก หอมผลไม้ ขมนิดๆ และมีความเผ็ดร้อนของยี่หร่า
แต่เมื่อดื่มไปกลางแก้ว สมุนไพรทั้งหลายจะเริ่มส่งกลิ่นออกมา มีทั้ง สะระแหน่, ผักชี, ดอกอัญชัน และพืชไม้ดอกอีกหลายชนิดครับ
เกร็ดน้อย: ขึ้นชื่อว่าเป็นเหล้าของคนทำงานอาร์ต ตำนานของ Absinthe จึงถูกสะกดไว้ในรูปภาพของจิตรกรชื่อดังมากมาย และมักจะถูกสื่อออกมาให้เห็นสภาพของคนดื่ม Absinthe ที่มีนัยน์ตาเลื่อนลอย ดูเหมือนใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลา
ภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดคือภาพ "Absinthe Drinker" ของ ปาโบล ปิกัสโซ่ จิตรกรชาวสเปน
ชีวิตต้องปลิดปลง
เพียงลุ่มหลงในสุรา
ความทุกข์ คราบน้ำตา
หยดลงมา คา Absinthe
- Xyclopz
โฆษณา