17 พ.ย. 2019 เวลา 14:11 • บันเทิง
"ร้านขายของเก่า"
ถนนสายมืดทึมทอดยาวไปข้างหน้าในยามรัตติกาล ลึกจนเกินสายตาจะมองเห็นสุดปลายถนน แสงสว่างจากไฟหน้ารถเก๋งสาดแสงขมุกขมัวฝ่าน้ำค้างยามดึกได้ไม่ไกลมากนัก สุรศักดิ์ขยี้ตาเบาๆ พลางหาวหวอด เพื่อขับไล่ความง่วง ชายหนุ่มเอื้อมมือไปเร่งเสียงวิทยุในรถให้ดังมากขึ้นอีก เสียงเพลงฝรั่งดังนุ่มทุ้ม ทำให้บรรยากาศชวนให้หม่นมัวลงยิ่งกว่าเดิม
“เวรเอ๊ย...ทำไมมันไม่เจอทางออกถนนใหญ่สักทีวะ” ชายหนุ่มวัยสามสิบเศษ รำพึงรำพันกับตัวเอง
นี่ถ้าเกิดว่าเขาเชื่อป้าที่ร้านซ่อมรถตรงริมถนนใหญ่คงจะดีกว่า ตลอดการขับรถกลับบ้านครั้งนี้อะไรๆ ก็จัดว่าเรียบร้อยดี ยกเว้นแค่หม้อน้ำรถที่สุรศักดิ์ลืมตรวจเช็คก่อนออกเดินทางเท่านั้น มันแห้งจนทำให้อุณหภูมิเครื่องยนต์ร้อนจนแทบเหมือนเตาเผา
กว่าจะรอลากรถมาซ่อมเสร็จก็กินเวลาไปเกือบสามชั่วโมง ไม่อย่างนั้นป่านนี้คงได้กลับถึงบ้านอาบน้ำอาบท่า นอนตีพุงเรียบร้อยไปแล้ว..... ช่างมันเถอะ ถึงเขาจะรีบไปกว่านี้ก็ไม่ทำให้อะไรๆ ดีๆ เกิดขึ้นมาหรอก
สำหรับอดีตนักเขียนนวนิยายหนุ่มมือทองอย่างเขา เกือบปีแล้วที่นิยายเล่มล่าสุดของเขาไม่มีบริษัทไหนตกลงพิมพ์มันออกมาวางแผง เป็นเรื่องที่รับได้ยากพอดูสำหรับเขา
โชคชะตาหนอช่างล้อเขาเล่น บางครั้งชายหนุ่มอยากจะรู้เหลือเกินว่าไอ้ตัวโชคชะตานี่มันหน้าตาเป็นยังไงกันนะ มันช่างเล่นตลกเก่งเสียจนแทบอยากไล่มันไปเล่นตามคาเฟ่หรือร้านหมูกระทะแทนที่จะมาเล่นตลกกับเขาเสียเอง เกือบสองปีในวงการนิยายของเขา มันช่างดูก้าวหน้าเป็นลำดับ แน่นอน สำหรับคนไทยนิยายอะไรจะขายดีไปกว่านิยายสยองขวัญ กับ เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ หรือเรื่องตลกเฮฮาไร้สาระ
นิยายสยองขวัญของสุรศักดิ์มียอดจำหน่ายพอไปได้สวยสำหรับเล่มแรก แต่เล่มต่อๆ มาจัดได้ว่าเยี่ยมทีเดียวกับยอดจำหน่ายรวมทุกเล่มของนิยายเขา มียอดขายกว่าเกือบแสนห้าหมื่นเล่ม อยู่ดีๆ ไอ้เจ้าเล่มล่าสุดของเขากลับมียอดจำหน่ายดิ่งลงเหว เหลือไม่ถึงห้าร้อยเล่มด้วยซ้ำไป
นักวิจารณ์เมืองไทยทั่วไปก็ช่างกะไรนี่ ไอ้ทีเวลาที่ขายดีก็ชื่นชมเสียยกใหญ่ แต่พอเล่มสุดท้ายขายไม่ได้ก็พากันวิจารณ์เสียเละเทะ ท่ามกลางเสียงเยาะเย้ยจากทั่ววงการ บ้างก็ว่าหมดมุขบ้างละ บางคนก็หาว่าซ้ำซาก จำเจ ย่ำอยู่กับที่ ผมอยากจะรู้จริงๆ เลยว่า พวกนั้นจะรู้มั่งไหมว่าไอ้ผีไทยเนี่ยมันมีอยู่จะสักกี่แบบกันเชียว
ริมถนนไกลเกือบห้าร้อยเมตรข้างหน้า ทำให้เขาจำต้องหยีตามอง แสงริบหรี่ตะคุ่มมาแต่ไกล สุรศักดิ์ภาวนาให้เป็นร้านอาหารหรือร้านขายของชำก็ยังดี เกือบตลอดวันตั้งแต่เช้าแล้วที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเขาเลย นอกจากน้ำเปล่ากับกระทิงแดงไม่กี่ขวด เขาเพ่งสายตาไปยังป้ายที่มีไฟขมุกขมัวส่องตรงหน้าร้าน ตัวหนังสือบนป้ายเก่าคร่ำคร่ากลับเด่นชัด “ปู่โสม” สั้น ๆ แต่กระชับดีเหมือนกัน
“โห มาเปิดร้านขายของเก่าอะไรกันแถวนี้วะเนี่ย ฮ่า ฮ่า” ชายหนุ่มหัวเราะเยาะ
“เอาวะ ลองลงไปถามทางดูซักหน่อยก็ยังดีวะ”
ร่วมยี่สิบกิโลเมตรที่ขับมาตลอดทาง ยังไม่เห็นจะเจอทางลัดสู่ถนนหลวงสักที ไม่มีแม้แต่บ้านช่องร้านรวงใดๆ เสียด้วยซ้ำไป ชายหนุ่มยกไฟสูงพลางเบนหัวรถเข้าเทียบข้างหน้าร้านช้าๆ บ้านเรือนไทยสองชั้นเก่าแก่ปรากฏตรงหน้า ชายหนุ่มลงจากรถพลางบิดเอวไปมาขับไล่ความเมื่อยล้า เหลือบมองไปสองฟากฝั่งถนนตรงหน้าแทบไม่เห็นอะไร ถนนต่างจังหวัดก็อย่างนี้แหละ ลงได้มืดก็มองอะไรแทบไม่เห็นทั้งนั้น โดยเฉพาะถนนเส้นที่เขาใช้อยู่นี่ มันไม่มีแม้แต่เสาไฟส่องทางสักต้นเดียว
เมฆหนาทึบเคลื่อนตัวบดบังท้องฟ้าจนแทบจะทุกตารางนิ้ว ลำพังความมืดยังไม่ทำให้เขาวิตกเท่าไหร่ แต่ความหิวดูเหมือนจะสะกิดเตือนเขาอยู่ตลอดเวลา ชายหนุ่มสาวเท้ายาวๆ ก้าวไปยังประตูหน้าร้าน ประตูไม้สักบานใหญ่หนาหนักส่งเสียงเอี๊ยดเบาๆ เป็นเชิงทักทายเขาตอนผลักประตูเข้าไป ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองไปทั่วร้าน ตรงเสาที่อยู่กลางร้านป้ายไม้สนสีน้ำตาลเข้ม ตัดกับชื่อร้านที่แต้มด้วยสีแดงสดเหมือนเลือดแขวนเด่นอยู่บนขื่อตรงกับเสาไม้กลางบ้าน มองด้วยสายตาคร่าวๆ คงใหญ่ไม่ต่ำกว่าสามคนโอบ
“สวัสดีครับ มีใครอยู่ไหมครับ ผมผ่านทางมา ขอรบกวนหน่อยครับ” เสียงเขาดังก้องไปทั่วร้าน
ชายหนุ่มหรี่ตามองไปยังบริเวณมุมร้านด้านใน กวาดตามองตามไปจนสะดุดตาเข้ากับตุ๊กตาไม้โบราณขนาดตัวเท่าเด็กสิบขวบ ดูแล้วอดทึ่งไม่ได้กับกิริยาของมัน รูปเด็กผมจุกกำลังขี่ม้าก้านกล้วย มือซ้ายจับดึงสายผูก ส่วนอีกมือกำไม้เรียวอันยาวเงื้อขึ้นสุดแขน เหมือนเตรียมฟาดใส่คนที่อยู่ใกล้มันได้ทุกขณะ สีสันบ่งบอกอายุไม่น้อยกว่าหลักหลายสิบปี สีเหลืองหม่นที่เดิมน่าจะเป็นสีเขียวสดสวย ตรงส่วนที่เป็นม้าก้านกล้วยหลุดลอกเป็นรอยด่าง สีแดงช้ำเลือดตรงผ้าโจงกระเบนดูหมองซีด ดวงตาสีขาวสว่างตัดกับนัยน์ตาดำสีดำสนิทไร้แวว
เขาเบนสายตาหลบไปมองรอบๆ ชั้นหนังสือสูงท่วมหัวสองสามอันวางเป็นช่องทิ้งระยะห่างราวกับชั้นหนังสือในห้องสมุด บรรดาหนังสือเก่าแก่หลากหลาย ล้วนอัดแน่นตามชั้นวางแทบจะไม่มีที่ว่าง ข้างๆ กันวางไว้ด้วยตู้โชว์แบบโบราณ ในความเก่าของเนื้อไม้ดูช่างตัดกันกับเครื่องถ้วยชามเบญจรงค์ สีขาวนวลตา แสงสะท้อนวาววามของมันดูราวกับฟองคลื่น ตรงข้ามตู้เป็นโถงกลางห้องวางเรียงรายไว้ด้วยรูปปั้นทองเหลืองกับรูปปูนปั้นหลากสีหลายอิริยาบถ
ชายหนุ่มละสายตาหันเดินกลับไปยังเคาน์เตอร์ไม้สักทองที่ขัดด้านจนเห็นลายเนื้อไม้ได้อย่างชัดเจน ชายชราอายุราวๆ เจ็ดแปดสิบปีคนหนี่งยืนกอดอกมองมายังเขาอย่างเฉยชาตรงสุดปลายห้อง ชุดม่อฮ่อมสีทึบที่แกใส่ขับให้บุคลิกแกดูน่ากลัวอย่างประหลาด สุรศักดิ์สะดุ้งเฮือก รู้สึกเย็นวาบจากท้ายทอยไปจรดกระหม่อม
“โธ่ลุง มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง เล่นเอาผมตกใจแทบตายแหนะ โผล่มาเงียบ ๆ แบบนี้ได้ไง” เขาเป่าปากพ่นลมหายใจยาว
“มีอะไรให้ช่วยหรือพ่อหนุ่ม” ชายชราตอบด้วยใบหน้านิ่งเรียบไร้อารมณ์
“พอดีผมผ่านทางมาแถวนี้หนะครับ เห็นป้ายทางลัดตรงปากทางแยก นี่ก็ขับรถมาเกือบชั่วโมงยังไม่เจออะไรนอกจากร้านลุงนี่แหละ”
“หึหึ บ้านนอกก็ยังงี้แหละพ่อหนุ่ม” ชายชราหัวเราะตรงมุมปาก
“แล้วลุงเปิดร้านแถวนี้ มันมีลูกค้าแวะมาซื้อของด้วยเหรอลุง” เขาถามแก้เก้อ
“อืมม... บางทีก็พอมีหลงแวะเข้ามาบ้างแหละ นานๆ ทีลุงถึงพอจะได้ขายบ้าง”
“อีกไกลไม๊ครับลุง กว่าจะออกไปแล้วเจอถนนหลัก ผมนี่หิวจนตาลายไปหมดแล้วเนี่ย ตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยครับลุง” เขาพยายามพูดแข่งกับเสียงท้องตัวเองที่กำลังร้องโครกคราก
“พ่อหนุ่มซื้ออะไรลุงซักอย่างสิ เดี๋ยวลุงจะเลี้ยงข้าวแถมให้เธอฟรีๆ เลย ข้างหลังร้านลุงยังพอมีกับข้าวกับปลาเหลืออยู่พอให้พ่อหนุ่มทานแก้หิวได้นะ” ชายชราหยั่งเชิง
“หูยย.... ลุง ไอ้ผมนะมีเงินมาไม่เยอะหรอก นี่ก็ตกงานว่าจะกลับไปอาศัยอยู่กับแม่ซักระยะนึงเลยลุง” ชายหนุ่มตอบเซ็งๆ
“เอายังงี้มั๊ยละพ่อหนุ่ม ลุงมีสมุดเก่าๆ อยากจะขายเธออยู่ เผื่อจะได้เอาไว้ขีดๆ เขียนๆ อะไรได้บ้าง ลุงคิดแค่เล่มละสิบบาทก็พอ” ชายชราพูดพลางโน้มตัวลงหยิบสมุดปกแข็งเก่าเก็บขึ้นมา ตรงสันขอบสมุดแข็งราวกับหิน ช่างขัดกับหน้าปกมันที่ดูเหมือนเปื่อยจนแทบจะขาดจากกัน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า โธ่.. นี่ลุงล้อผมเล่นใช่ไม๊เนี่ย” เขาพูดพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผากด้วยอารมณ์ทั้งหิวทั้งขำ ก่อนจะตัดบทเพราะความหิว เผื่อลุงแกจะจัดหาข้าวปลาให้กินรองท้องได้บ้าง
“เอางี้ดีกว่าครับลุง ถ้าอย่างนั้นผมอุดหนุนลุงซักสองเล่มละกันนะ เอ้า ผมให้ลุงห้าสิบบาทเลย” ว่าแล้วก็ควักแบงก์ห้าสิบที่ขยำยับยู่ออกมาคลี่วางลงบนเคาน์เตอร์
“เอ้านี่พ่อหนุ่ม” ชายชราผลักสมุดสองเล่มให้ชายหนุ่มพลางยื่นหน้าเข้ามากระซิบใกล้ ๆ หน้าเขา
“เวลาเขียนนะ เอาให้สุดฝีมือไปเลยนะ” แกทำหน้าเจ้าเล่ห์
“เอ่อเดี๋ยวผมเอาสมุดไปไว้ในรถก่อนนะครับ จะได้หยิบน้ำดื่มในรถลงมาด้วย” ชายหนุ่มรับคำชายชราแบบงงๆ
สุรศักดิ์เปิดประตูหน้าร้านพลางผิวปากฮัมเพลง เขาเดินเอื่อยๆ ไปที่ประตูรถ พอเปิดประตูได้ก็โยนสมุดทั้งสองเล่มลงตรงเบาะข้างคนขับ โน้มตัวก้มลงหยิบขวดน้ำตรงเบาะหลังรถ ชายหนุ่มปิดประตูรถลงอย่างเบามือ พร้อมกับหันหลังกลับไปทางหน้าร้านขายของเก่า ยังไม่ทันที่จะปิดประตูสนิทดี ชายหนุ่มก็ต้องอ้าปากค้าง เพราะภาพตรงหน้าเขามีเพียงบ้านไม้โบราณเก่าผุพังตระหง่านตรงหน้า เถาวัลย์เลื้อยพาดผ่านจากชายคาปรกประตูหน้าร้านจนรกครึ้ม ป้ายชื่อร้านปู่โสมห้อยตกลงข้างหนึ่ง สีตัวอักษรที่เคยแดงสดกลายเป็นอ่อนซีดสีจาง สภาพเหมือนโดนปลวกแทะจนป้ายห้อยร่องแร่ง เขารวบรวมสติชั่วครู่ก่อนรีบวิ่งโกยอ้าวข้ามไปขึ้นรถที่อีกฝั่ง แล้วรีบสตาร์ทรถบึ่งออกจากตรงนั้นโดยทันที เขาพลางเงยหน้ามองผ่านกลับไปทางกระจกมองหลัง เห็นชายชราเพียงเงาตะคุ่มๆ โบกมือลาเขาอยู่ไหวๆ คล้ายจะบอกให้เขาโชคดี
/////////////////////////////
“สวัสดีคุณสุรศักดิ์ เป็นไง สบายดีมั๊ยครับ” บก.ร่างอ้วนทักทายเขาอย่างเป็นกันเอง “เมื่อไหร่จะส่งต้นฉบับเล่มใหม่ให้ผมซักทีละ”
“สวัสดีครับคุณอรุณ” ชายหนุ่มยกมือไหว้ทักทายตอบ “ยังไม่เสร็จดีเลยครับ พอดีมารับเช็คส่วนแบ่งเปอร์เซ็นต์ยอดพิมพ์เฉยๆ นะครับ ว่าจะเอาไปทำทุนไว้ใช้จ่ายก่อนครับ”
สุรศักดิ์หย่อนก้นลงนั่งเอนหลังตรงหน้าบก.ด้วยท่าทางสบายๆ
“เล่มนี้นี่สุดยอดจริงๆ คุณ ออร์เดอร์ล่าสุดเข้ามานี่พิมพ์ส่งแทบไม่ทันเชียวละคุณเอ๋ย รวมยอดสั่งงวดนี้ด้วยก็เฉียดแสนเล่มแล้วนะคุณสุรศักดิ์” บก.อรุณเลื่อนซองเช็คเงินสดตรงหน้าอย่างช้าๆ ชายหนุ่มเอื้อมหยิบซองนั่น แต่กลับถูกกดซองไว้แน่น
“ไม่คิดจะบอกผมหน่อยหรือ ว่าคุณไปเอาพล็อตจากไหนมาเขียนเนี่ย”
“บก.อยากรู้จริงหรือเปล่า” สุรศักดิ์ขยิบตาเป็นเชิง “ผมบอกไปเดี๋ยวจะหัวเราะเยาะผมเอาเปล่าๆ”
“เฮ้ย ผมพูดจริงนะ ผมสงสัยจังว่าคุณคิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง” บก.อรุณปล่อยมือจากซองนั่น
“ความลับครับผม เล่าไปก็ไม่ตื่นเต้นซิครับ บก.ให้ผมขยักเก็บเอาไว้หากินบ้างน่าจะดีกว่านะครับ บก.” ชายหนุ่มยิ้มแห้งๆ พร้อมหยิบซองเช็คสอดใส่กระเป๋าหลังกางเกง
/////////////////////
อันที่จริงแล้ว จะว่าไปเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามาเนื้อเรื่องเหล่านั้นมาจากไหน นับตั้งแต่วันนั้น หลังกลับมาจากร้านขายของเก่านั่น เขานั่งจ้องมองสมุดสองเล่มนั้นอยู่เป็นนานสองนาน กว่าจะกล้าพอที่จะหยิบมันติดมือลงจากรถ
ทุกครั้งที่เขาจับปากกาเพื่อเขียนใส่สมุดนั่น ถ้อยคำมากมายพรั่งพรูมาจากส่วนไหนของสมองก็ไม่รู้แน่ แต่เขากลับรู้สึกเหมือนว่าสมุดเล่มนั้นมันมีเรื่องราวของมันเองอยู่แล้ว เพียงแค่รอให้ใครสักคนหยิบปากกาขึ้นมาเขียนลงไปเท่านั้นเอง ทุกย่อหน้า ทุกบท ล้วนกระโดดโลดแล่นราวกับมีชีวิต สำนวนในนั้นก็ไม่ใช่ของเขา ยิ่งเนื้อเรื่องยิ่งแล้วใหญ่ มันหม่นมัว ดูน่าสะพรึงกลัวต่อเนื่องอย่างไม่มีหยุดหย่อน
เป็นเรื่องเล่าของคนมากมายที่หลงเข้าไปพบเจอเรื่องประหลาดๆ ในร้านขายของเก่า ทุกคนล้วนแล้วแต่หายสาบสูญไปหลังจากที่ได้อะไรติดมือออกมาจากร้านนั่น บทสรุปของเรื่องทั้งหมดล้วนแล้วแต่ทิ้งปมปริศนาให้คนอ่านขบคิดคาดเดาไปได้ต่างๆ นานา
ชายหนุ่มรู้สึกกลัวอยู่บ้าง แต่ตัวเขาเองก็ยังคงอยู่เป็นปรกติดีนี่ ไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นกับเขาซักหน่อย คิดมากไปก็เปลืองสมองเปล่า
“ขอเวลาอีกสักหน่อยนะครับ บก. เร็วๆ นี้คงได้อ่านเรื่องใหม่ ผมจะรีบเขียนให้เสร็จโดยเร็วแน่นอน”
“ผมจะรอคุณนะ” บก.ร่างอ้วนลุกไปเปิดประตูส่ง
“ผมสัญญาว่าคุณจะได้อ่านเป็นคนแรกแน่นอนครับ บก.” สุรศักดิ์เอ่ยรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ
/////////////////////////////////////
เกือบสองเดือนหลังจากเล่มสองออกวางแผงหนังสือ มันยังขายดีถล่มทลายเหมือนเดิม กระแสนิยมในตัวเขาเริ่มเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง นิตยสารหัวนอกสองสามเล่มติดต่อสัมภาษณ์เขา
ตอนนี้เขาพยายามเขียนอีก แต่ทุกหน้าทุกตอนล้วนแล้วแต่จืดชืดน่าเบื่อ ไม่มีอะไรใหม่ให้เขาอีกแล้ว สุรศักดิ์ใช้ปลายนิ้วเขี่ยแป้นคีย์บอร์ดโน๊ตบุ๊คอย่างเหนื่อยหน่าย ในสมองว่างเปล่าไม่มีอะไรสักอย่าง เห็นทีว่าขืนเป็นแบบนี้คงเขียนเล่มสามไม่ได้แน่ๆ
คงต้องลองหาวิธีทำอะไรสักอย่าง ที่เขาต้องการตอนนี้อาจเป็นสมุดปกแข็งปกเปื่อย อีกเล่มคงดี หรือจะดีกว่านั้นถ้าได้มาอีกสักตั้งนึง
ชายหนุ่มฝืนยิ้มให้กับตัวเอง ค่อยๆ ยกแก้วกาแฟร้อนขึ้นจิบพลางหลับตาพริ้ม นึกถึงที่ๆ เขาเคยไป นี่เขาจะทำยังไงดีหนอ ถึงจะหาถนนสายนั้นเจออีกสักครั้งนึง หลายครั้งหลายหนที่เขากลับไปแถวนั้นและพยายามขับรถย้อนไปตามทางนั้น หวังว่าจะได้เจอร้านขายของเก่านั่นอีกสักครั้ง แต่ก็พบเพียงร้านซ่อมรถโทรมๆ กับบ้านผู้คนทั่วไปอยู่ริมทาง แต่ทว่าแยกทางลัดถนนสายนั้นต่างหากที่หายไป ไม่ว่าจะถามคนแถวนั้นซักเท่าไหร่ ต่างก็ยืนยันว่าไม่มีแยกทางลัดแถวนั้นหรอก
“เฮ้อ น่าจะซื้อกับแกตอนนั้นหลายๆ เล่มจริงๆ เล๊ยย” เขาบ่นเบา ๆ พึมพำกับตัวเอง เนิ่นนานที่ปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความคิดนั่น แต่แล้วโดยพลัน เขารู้สึกได้ยินเสียงแผ่วเบา ที่เหมือนกระซิบอยู่ข้างหูเขา มันอ่อยเบาเหมือนดังเสียงจากในความฝัน
“สวัสดีพ่อหนุ่ม หนนี้คิดว่าจะซื้อสมุดกับลุงอีกกี่เล่มดีละ หึหึหึ” เสียงนั้นช่างคุ้นหูเสียเหลือเกิน
“เฮ้ยย....” ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัว พลันลืมตาขึ้นมองแล้วพบว่า เขากลับมายืนอยู่ในร้านขายของเก่านั้นเหมือนครั้งก่อนอย่างน่าตกใจปนงุนงงสงสัย.... ช่าย ร้าน “ปู่โสม” ร้านเดิมที่เขาอยากกลับไปนั่นแหละ!!!
“ลุงโผล่มาได้ยังไงกัน แล้วผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน” เขาขยี้ตาแรงๆ พร้อมกับกระพริบตาถี่
“เรานะแหละพ่อหนุ่ม ที่ถ่อมาหาลุงที่นี่เองไม่ใช่เหรอ หึหึหึ” ชายชราแค่นเสียงทุ้ม
“ลุงเป็นใครกันแน่ บอกให้ผมรู้หน่อยเถอะ”
“อยากรู้จริงๆ หรือว่ากลัวกันแน่ ลุงว่าเราอย่ารู้เลยพ่อหนุ่ม ถ้ายังอยากจะซื้อสมุดกับลุงอยู่ละก็” แกพูดเสียงเข้ม
“เอ่อ... ผม... ผมไม่ค่อยแน่ใจ แต่ยังไงก็เถอะ ผมอยากได้ไอ้เจ้าสมุดบ้านั่นใจจะขาดอยู่แล้ว ผมว่าเอายังงี้นะลุง ผมไม่อยากรู้ก็ได้ว่าลุงเป็นใคร ว่าแต่ว่าลุงมีสมุดขายให้ผมอีกกี่เล่มกันแน่ละ” เขาตัดบทเลิกอ้อมค้อม
“เหลือเท่าที่พ่อหนุ่มเห็นอยู่นี่แหละ” แกยกตั้งสมุดทั้งตั้งขึ้นมาวางบนชั้นเคาเตอร์ไม้เก่าคร่ำคร่าที่อยู่ตรงหน้าอย่างช้าๆ พลางปรายตาเหลือบมองแกมเย้ยหยันให้กับสุรศักดิ์
“ผมขอซื้อลุงหมดนั่นเลยละกัน ลุงจะเอาเท่าไหร่ผมก็จ่ายสู้ราคา ขายให้ผมเถอะนะลุงนะ ผมขอร้องเถอะ” ชายหนุ่มพยายามอ้อนวอน แต่สายตาของเขาฉายแววลิงโลดอยู่ข้างใน '...ทีนี้แหละ ชั้นจะมีปัญหาเขียนเรื่องหาเงินไปได้อีกนานเลยทีเดียวเชียว!!!....' เขาจ้องตอบกลับอย่างกระหยิ่มในที
“เท่าไหร่ก็สู้ราคาเลยเหรอ” แกถามแบบมีเลศนัย
“ครับลุง ลุงอยากได้เท่าไหร่ก็บอกมา ไม่มีปัญหา ผมขอร้องเถอะครับ ผมจำเป็นต้องใช้มันจริงๆ” เขาตอบไปอย่างไม่ลังเล
“งั้นลุงเอาทั้งหมดที่พ่อหนุ่มมีติดตัวมาก็แล้วกัน... ดีไหม” ชายชรายิ้มเจ้าเล่ห์อย่างพึงพอใจ
“ตกลงลุง ผมจ่ายให้ลุงหมดตัวเลย” ชายหนุ่มโล่งอก รู้สึกพอใจอย่างยิ่ง...
////////////////////////////////////////////
ชื่อของสุรศักดิ์พุ่งพรวดขึ้นฟ้าเหมือนพลุสว่างจ้า "สุดยอดนักเขียนนวนิยายสยองขวัญชื่อก้องฟ้าแห่งเมืองไทย" จำนวนยอดสั่งซื้อถล่มทลาย จนต้องพิมพ์ซ้ำกว่าสามสิบครั้ง กับยอดขายหนังสือหลายแสนเล่ม บก.หนุ่มรู้สึกทึ่งกับสุรศักดิ์เหลือเกิน เพียงแต่รู้สึกแปลกใจที่เดี๋ยวนี้เขาไม่เคยมาเหยียบที่โรงพิมพ์อีกเลย มีเพียงต้นฉบับเขียนด้วยลายมือบนสมุดปกแข็งเก่าคร่ำคร่า สอดใส่ซองเอกสารสีน้ำตาล ส่งมาให้เขาที่โรงพิมพ์อย่างสม่ำเสมอเหมือนทุกๆ ครั้ง ที่หน้าซองไม่มีแสตมป์หรือตราไปรษณีย์ประทับใดๆ บางครั้งก็เหมือนกับว่ามีคนเอามันมาวางอยู่หน้าห้องทำงานของเขาเฉยๆ
อีกทั้งเช็คที่ บก.อรุณส่งให้สุรศักดิ์ทางไปรษณีย์ทุกใบ ก็ถูกตีกลับมาทุกครั้ง เวลาเนิ่นนานผ่านไปเกือบสองปี ที่เขาพยายามทำความเข้าใจและคิดแทนนักเขียนอย่างสุรศักดิ์ บก.อรุณคิดว่าเขาคงอาจจะอยากให้ตัวเองดูลึกลับเหมือนกับนิยายที่เขาเขียนหรืออาจจะเกิดติสต์แตกแบบศิลปินทั่วไปก็อาจเป็นได้...
/////////////////////////////
แต่จนแล้วจนรอดกว่าสองปีครึ่ง ปรากฏว่าก็ไม่เคยมีใครได้พบกับสุรศักดิ์ตัวเป็นๆ อีกเลย เขาย้ายที่อยู่ออกจากที่เดิม โดยไม่ได้บอกใครว่าย้ายไปอยู่ที่ไหน เขาเก็บตัวเงียบ ดูลึกลับไปหมดเสียทุกอย่าง แล้วนี่บก.อ้วน อย่างเขาจะทำอย่างไรกับเช็คส่วนแบ่งค่าหนังสือดีเล่า อีกทั้งตัวเขาเองก็ยังไม่สามารถแม้แต่จะตอบคำถามที่พวกเหล่านักวิจารณ์ทั้งหลายที่เอ่ยถามถึงสุรศักดิ์ได้อีก ดูท่าตัวเองคงอาจจะต้องลองให้ใครสักคนไปตรวจสอบที่บ้านแม่ของนักเขียนหนุ่มหรือไม่ก็ที่อยู่ของโรงพิมพ์ที่ลงไว้ด้านหลังของสมุดเก่าๆ พวกนั้นดูน่าจะดี เผื่อบางทีนักเขียนหนุ่มอาจหลบไปพักอยู่แถวนั้นก็เป็นได้
“คุณสมร ให้นายจิตรคนรถขึ้นมาพบผมบนห้องหน่อยนะ” บก.อรุณบอกเลขาผ่านทางอินเตอร์คอม
“ผมอยากให้เขาไปตามหาคุณสุรศักดิ์ที่ต่างจังหวัดให้ผมหน่อย”
“ได้ค่ะ บก. เดี๋ยวจะแจ้งให้คุณจิตรรีบขึ้นไปพบเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” เลขาสาวรับคำ
////////////////////////////////////////////////
ริมถนนข้างทางตรงหน้า สองฟากถนนมืดมิด มีเพียงแสงจากหลอดไฟนีออนเก่า ๆ ส่องแสงสว่างให้กับหน้าร้าน รถกระบะของจิตรจอดขวางแทบเต็มหน้าร้านขายของเก่า ภายในร้านชายหนุ่มบุคลิกคล่องแคล่วกำลังพูดคุยกับชายชราสูงอายุ ผู้มีใบหน้าเรียบเฉยเย็นชา
“เอ่อ รบกวนลุงพอจะรู้จักโรงพิมพ์ตามที่อยู่อันนี้บ้างรึเปล่าครับ” จิตรยื่นกระดาษจดที่อยู่ที่บก.ให้มา
“อืมม.... ลุงไม่รู้จักหรอก” ชายชราตอบโดยแทบไม่จำเป็นต้องมองมัน
“ว่าแต่พ่อหนุ่มหิวบ้างไหม ขับรถมาตั้งไกล คงหิวและเหนื่อยน่าดู ลองซื้อของอะไรกับลุงซักอย่างสิ เดี๋ยวลุงจะเลี้ยงข้าวแถมให้เธอสักมื้อนึงด้วย” ชายชรายิ้มเจ้าเล่ห์พลางล้วงมือลงไปใต้เคาน์เตอร์นั้นอย่างช้าๆ......
โฆษณา