17 พ.ย. 2019 เวลา 14:18 • บันเทิง
อัตวินิบาตกรรม
ขณะที่ผมอยู่บนยอดเขาลูกที่สูงที่สุดท่ามกลางดงหุบเขานับร้อย ๆ ลูก ซึ่งมองไปไกลสุดหูสุดตาข้างหน้าคล้ายมังกรขนดหางตัวใหญ่ยักษ์ ตลอดทั้งพื้นที่ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยยอดเขาสูงเสียดฟ้าตัดสลับกับท้องฟ้าซึ่งล้วนแต่มีเมฆหมอกที่ปลายยอด แดดอ่อน ๆ ยามสายขับให้ทิวทัศน์ตรงเบื้องหน้าผมดูสวยงามประหลาดตาจนบอกไม่ถูก ที่ขอบฟ้าตรงช่องเขาระหว่างแต่ละลูกซึ่งห่างออกไปสีเขียวชะอุ่มของดงไม้หนาทึบตัดกับสีท้องฟ้าเข้มดูนวลตา ชักชวนให้ผมไม่อาจละสายตาไปจากมัน
ทันทีทันใดนั้นเอง ขณะที่พื้นดินใต้ฝ่าเท้าผมพลันเลือนหายไปจากคลองจักษุ เหลือเพียงผมกับมัน ท่ามกลางความมืดมิดที่ค่อย ๆ มืดลงจนแผ่ปกคลุมกระจายรอบตัวระหว่างเราทั้งสอง ผมจ้องตอบกลับลึกลงไปในเบ้าตามืดคล้ำนั่น ดวงตาสีเหลืองสดสองดวงมองตอบกลับมาที่ผมอย่างเคืองขุ่น ราวกับเวลาชั่วนิจนิรันดร์ มันถอนหายใจยาวอย่างคนยอมแพ้พร้อมทั้งส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เชื่อกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้
“ตกลงเจ้าตัดสินใจเลือกภพภูมิเพื่อดำรงอยู่ได้แล้วหรือไม่ จงบอกปรารถนาของเจ้าแก่ข้าเถิด” มันถามผมอย่างเหนื่อยหน่าย
“ข้าให้โอกาสเจ้าได้เลือกนับครั้งไม่ถ้วน เหตุใดเจ้าเพียรปฎิเสธ เจ้าเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถและมีสิทธิ์แห่งการเลือกทางของตนเอง ข้าเหนื่อยใจกับการแสดงให้เจ้าได้เห็นทุกอย่างที่ดวงจิตอื่นทั่วไปมิอาจปฎิเสธได้ แล้วเหตุอันใดจึงมิปรากฏทางแห่งครรลองของเจ้าเสียที” ดวงตาสีเหลืองสุกสว่างกลอกกลิ้งกลับไปมาระหว่างศีรษะจรดปลายเท้าผม
“หากผมไม่ยอมเลือกละ มันไม่ใช่ความผิดของผมสักหน่อยนี่” ผมตอบมันแบบไม่พอใจนิดหน่อย
“เจ้าเองย่อมตระหนักแก่จิตใจด้วยตนเองอยู่มิใช่รึ อันว่าการณ์ของเจ้ามิใช่จะเกิดขึ้นได้มากครั้งสักเท่าใดดอก กว่า 300 ปีที่ผ่านพ้นแล้วที่ข้ามิพึงพบพานเหตุอันเป็นดังที่เจ้าประสบนี้” สามนิ้วที่มันยกขึ้นประกอบท่าทางบ่งบอกถึงอาการที่มันเริ่มหมดความอดทนกับผมเต็มที
“วิญญาณผู้ออกจากกายเช่นเจ้า มีมากนักที่ล่องลอยไปตามกระแสกรรมที่แต่ละตนกระทำไว้ยามมีชีวิตซึ่งล้วนแล้วแต่อยู่ตามภพภูมิต่าง ๆ สำหรับผู้ที่ดับสูญดังเหตุเช่นเจ้า วิญญาณตนนั้นจะไม่ได้ผุดเกิดชั่วกัลปาวสาน พึงเวียนว่ายระหว่างตรีภพ จะผีก็มิใช่ ภูติก็มิเชิง ปีศาจก็มิถูกนัก รึจะเป็นดั่งสมมติภูติ ยังล้วนห่าง นั่นเพราะว่าภูมิกรรมของแต่ละตนย่อมส่งผลถึงวิญญาณมันผู้นั้น ก่อให้เกิดการจำนองจองจำแต่หนใดล้วนแล้วแต่กรรมของมันผู้นั้น” มันพูดราวกับบทปาฐกถาในงานสัมมนาธรรม
“มิพักแต่เจ้า ผู้เป็นเพียงหนึ่งในความผิดพลาดของตรีภูมิในรอบสามร้อยปี ช่องโหว่เเห่งกฎของกรรมนั้น ส่งผลให้เจ้าเป็นดังเช่นปรากฎอยู่นี้ กรรมของเจ้าควรเป็นการฟื้นจากความตายระหว่างฌาปนกิจกรรม เพื่อรับโทษากรรมแห่งพระเพลิงผลาญร่าง เช่นนั้นอันใด ๆ อาจพึงยังสะดวกดายกว่าดังเช่นการณ์นี้ แต่ในเมื่อกายเนื้อเจ้าผู้ดับสูญล้วนปลาสนาการ ภารกิจแห่งยมโลกของเจ้าและข้ามิอาจสุดสิ้นลง” ดวงตาคู่นั้นฉายแววหงุดหงิดถึงที่สุด
“หากท่านไม่ทำผิดพลาดเอง ผมก็คงไม่เป็นภาระใด ๆ หรอกใช่ไหม” ผมตอบไปตรง ๆ พลางเลียนแบบท่าทางหงุดหงิดของมัน
“ภพภูมิที่ท่านนำพาผมไปมาทุกแห่งนั้น ผมไม่เห็นว่าจะมีที่ไหนดีเลยสักแห่ง ผมแค่อยากกลับไปสู่ร่างเดิมในโลกเดิมของผม ถึงไม่ได้ก็ขอเป็นผีเร่ร่อนก็ยังดีกว่าเหงาจับขั้วหัวใจอยู่คนเดียว จะมีประโยชน์อะไรที่จะอยู่เพียงคนเดียวในโลกงดงามแต่แสนหดหู่อ้างว้างนี่กันเล่าท่าน” ผมตีสีหน้าเคร่งขรึมเพื่อแจงเหตุผลของผม
“มิได้ เจ้ามิอาจกลับสู่โลกภูมิของเจ้า นั่นจะทำให้หลืบแห่งภพทั้งหลายแปรปรวน มิพักจะร้องต่อข้าอันใด ข้าก็มิอาจตอบสนองเจ้าได้ดอก เจ้าวิญญาณหน้าเหม็น ตัวเจ้ามิอาจแตกดับสูญสลาย ล้วนแล้วแต่เป็นกฎ แม้กระทั่งข้าเองก็มิอาจฝืนลิขิตนั้น” มันตวาดตอบอย่างขุ่นเคือง พร้อมกับชี้มาที่หน้าของผม
“ข้ามิอาจทนรำคาญรอนรานใจกับเจ้าได้เท่าใดนัก ข้าได้แต่หวังว่าเจ้าจะยอมรับชะตากรรมของเจ้าอย่างสงบ ด้วยโทษากรรมของเจ้า วิญญาณอันเป็นนิรันดร์ของเจ้าจำต้องถูกจองจำแต่เพียงหนึ่งเดียวในภพกรรมที่เจ้ามีโอกาสเลือกเอง” มันใกล้จะหมดความอดทนกับผมแล้ว ผมพอจะดูมันออกอยู่บ้าง
“เช่นนี้เถิดท่านยมบาลผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกบาล โปรดได้ให้ผมได้กลับไปร่ำลามารดาผม กับคนที่ผมรักสักครั้งเป็นครั้งสุดท้ายเถิด ขอโอกาสนั้นให้กับผมได้หรือไม่ แล้วผมจะยอมเลือกภพอย่างที่ท่านต้องการโดยง่ายดาย อย่างนั้นสามารถทำได้หรือไม่” ผมอ้อนวอนแกมขอร้องมันอย่างคนหมดหนทาง
“เจ้ามิอาจนำพาเอาวิญญาณเจ้ากลับสู่โลกภูมิได้อีก มิฉะนั้นจะเกิดเป็นอาเพศวิบัติแห่งจักรวาล แต่เอาแต่เช่นนั้นเถิด ข้าจะให้โอกาสเจ้าเพื่อไถ่ถอนเหตุแห่งความผิดพลาดของตรีภูมิสู่เจ้าสักครั้ง” มันจ้องมองลึกเข้ามายังจิตใจของผมผ่านตาสายตา ราวกับจะค้นหาไปให้ถึงก้นบึ้งแห่งความคิดของผม
“เอาเช่นนี้เถิด ข้าจะมอบโอกาสให้เจ้าแลกดวงจิตผ่านทางร่างสมมติเทพของข้า ดีหรือไม่ แต่เจ้ามีเพลาเพียง สิบสี่วันในโลกภูมิเท่านั้น พลันพ้นจากกาลดังกล่าวดวงจิตเจ้าจะถูกข้าชักนำกลับคืนสู่ดวงจิตเดิม สู่ภพแห่งนี้ที่ข้ากับเจ้าดำรงอยู่ เจ้ารับบรรณาการนี้จากข้าหรือไม่”
“แล้วผมต้องเป็นยมฑูตด้วยอย่างนั้นใช่ไหม ผมอยากรู้” ผมพยามข่มแววตาไม่ให้ฉายแววลิงโลดออกมา สมองผมลั่นอื้ออึงอลแทบแตกเป็นเสี่ยง ๆ สิ่งที่ผมกำลังคิดเป็นสิ่งที่ไม่อาจให้มันรับรู้ได้ว่าผมกำลังนึกจะทำอย่างไรต่อไป
“ใช่ และข้าจะแยกกายทิพย์ของข้า คอยเฝ้ารักษาดวงจิตของเจ้าอันไร้ซึ่งเจ้าของเป็นการณ์เฉพาะ ตกลงเช่นนั้นดีหรือไม่” มันถอนหายใจ พร้อมกับแสยะยิ้มอย่างเหนื่อยใจ
“ผมตกลง” ผมยิ้มกว้างตอบกลับให้มันอย่างมีความสุข
เพียงชั่วพริบตาแห่งความรู้สึกนึกคิด ผมกลับมาอยู่ที่ ๆ ผมพึ่งจากมาได้ไม่นานซึ่งเป็นที่ ๆ ผมต้องการกลับมามากที่สุด บ้านตึกแถวสองชั้นเก่า ๆ หน้าบ้านยังคงมีกระถางต้นไม้เรียงรายหน้าบ้านเหมือนเช่นเดิมที่ผมเคยเห็นมาตลอดชั่วชีวิตผม
ต้นมะลิที่ผมซื้อมาให้แม่ตอนวันแม่เมื่อปีที่ผ่านมา กำลังแทงช่อออกดอกตูมสีขาวนวล กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของมัน ทำให้ขอบตาผมรื้นไปด้วยหยาดน้ำตา แค่คิดว่าแม่จะต้องทนนั่งมองมันผลิดอกออกใบโดยไม่มีผมอยู่ด้วย คงทำให้แม่ปวดร้าวอยู่เต็มอก ความรู้สึกที่ว่าทำให้ผมรู้สึกจุกที่คอหอยขึ้นมาทันที ภาพแห่งความทรงจำตั้งแต่เล็กจวบจนโต วิ่งผ่านโสตประสาทราวกับภาพยนตร์ที่ฉายอย่างแจ่มชัดอยู่ตรงหน้า
แต่ภาพที่ทำให้ผมยิ้มออกมาโดยไม่รู้สึกตัวฉายวาบผ่านโสตสำนึกอย่างฉับพลันต่อเนื่อง ค้างเติ่งวนเวียนอยู่ตรงนั้นอย่างอ้อยอิ่งราวกับมนตร์สะกด ใบหน้าสวยหวานนั้นมีลักยิ้มตรงแก้มที่ผมเคยบรรจงจูบมันอย่างหวงแหน ริมฝีปากอิ่มที่ผมเคยจูบพลันปรากฎรสสัมผัสแห่งจูบนั้น ช่างหอมหวลอบอวลเสียเหลือเกิน ตากลมโตเป็นประกายคู่นั้นมองมายังผม ข้าง ๆ เธอที่นั่งอยู่เป็นแม่ของผมเอง แม่ให้เธอนอนหนุนตักอยู่อย่างเงียบ ๆ แม่ส่งสายตาอบอุ่นให้ผมเช่นกัน เหมือนจะบอกว่าที่แม่รักผมนั้นไม่เคยหมดไปจากใจของแม่เลย
ผมสลัดภาพพวกนั้นออกไปจากความคิด นั่นมันตอนที่เธอทั้งสองคนคอยผมกลับมาจากทำงานในวันเกิดของแม่ปีก่อนนี้เอง ผมรีบลอยผ่านจากด้านนอกเข้าไปในบ้าน ทันใดนั้นเหตุการณ์ทั้งหมดพลันหายวับไป กลับกลายเป็นภาพที่่แม่ของผมกำลังนั่งมองกรอบรูปหน้างานศพที่มีรูปผมอยู่ น้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ละลายหัวใจผม ผมไม่เคยรักแม่อย่างที่แม่รักผมจริง ๆ เลย ผมทำร้ายตัวเอง เพื่อทำให้แม่เป็นเช่นนี้หรือ
ผมตัดสินใจเข้าไปหาแม่ช้า ๆ ยกมือขึ้นลูบผมแม่ แต่มันกลับเลยผ่านทะลุร่างของแม่ไป แม้แต่สัมผัสเธอสักครั้งเพื่อปลอบโยน ผมยังไม่อาจทำได้
“แม่ครับ....แม่หันมาดูผมสิ ผมอยู่ตรงนี้ ตรงหน้าแม่นี้ไง ผมอยากให้แม่รู้ว่าผมรักแม่ที่สุดในโลก ลูกเลว ๆ คนนี้ ขอกราบแทบเท้าแม่เพื่อขอโทษ แม่ยกโทษให้ลูกชั่ว ๆ คนนี้ด้วยเถอะ ผมมาหาแม่ได้เป็นครั้งสุดท้ายครับแม่” ผมก้มลงกราบตรงปลายเท้า
เมื่อแม่ค่อย ๆ เอนหลังราบลงบนโซฟาตัวเก่าซึ่งเกรอะกรังไปแถบหนึ่งด้วยคราบน้ำตาของแม่ แม่โอบรูปผมไว้กับอก พลางผล็อยหลับไป ผมเอื้อมมือไปพยายามจับแม่อีกครั้ง แต่คราวนี้มันกลับเกิดนิมิตให้เห็นถึงภาพในอนาคต วาบแห่งความคิด บ่งบอกถึงอนิจกรรมของแม่ในอีกสองปีข้างหน้าด้วยความสงบ ผมรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูกที่ได้รู้ว่าแม่จะไม่ต้องลำบากตรากตรำแบบนี้อีกนานซักเท่าไหร่นัก หวังใจว่าแม่คงได้ใช้บุญของตนอย่างมีความสุข ผมยังคงนั่งดูแม่ร้องไห้อยู่อีกชั่วครู่จนแม่ผล็อยหลับไป
ผมอธิษฐานจิตพลางหลับตา นึกถึงช่อดอกมะลิ พลันลืมตาขึ้นก็พบว่ามันปลิดจากต้นขึ้นไปวางอยู่บนรูปหน้างานศพของผมในอ้อมกอดแม่นั้นอย่างที่ผมต้องการ ผมก้มลงนั่งคุกเข่ากราบเท้าแม่เป็นครั้งสุดท้าย หวังว่าแม่คงได้เห็นตอนตื่นมาเป็นครั้งสุดท้ายนะครับ
เอาละ หมดห่วงไปอีกหนึ่งเปลาะ เหลืออีกคนเดียวที่มต้องเจอให้ได้ บิวนั่นเอง พลันที่ผมฉุกใจคิดถึง ชั่วแล่น ผมก็ปรากฎกายตรงหน้าเธออย่างรวดเร็ว
ผมมองเธออย่างงมงายซึมเซา เนิ่นนาน พักหนึ่งเธอขยับตัวลุกขึ้นจากที่นอนแล้วหันมาทางที่ผมอยู่ ผู้หญิงคนนี้ที่ผมรักที่สุดรองจากแม่อยู่ตรงหน้านี้เอง แต่ยิ่งกว่าที่รู้ว่าผมไม่สามารถสัมผัสแตะต้องตัวเธอได้ เธอนั่งเหม่อลอยมองผ่านผมไปยังกระจกที่วางพิงกำแพงที่ด้านหลังผม ช่างดูงดงามมิอาจมีสิ่งใดเปรียบปาน ผมหันมองตามสายตาเธอไปยังราวแขวนผ้าในตู้บิวท์อินข้าง ๆ เตียง ซึ่งมันได้ดึงความสนใจผมไปจากเธอได้โดยชะงัด
มันเป็นชุดแต่งงานสีชมพูหวาน แขวนเด่นอยู่ในตู้เคียงข้างชุดไทยที่ใช้ใส่ในงานพิธีรดน้ำสังข์ มันทำให้ผมต้องขบกรามกรอด พยายามสงบสติอารมณ์ลง
โชคอยู่ข้างผมแล้ว ผมจะปล่อยให้เธอหลุดมือเป็นครั้งที่สองไม่ได้อย่างเด็ดขาด ผมขยับไปนั่งรอบนเตียงข้าง ๆ เธอ เธอลุกขึ้นเดินช้า ๆ ไปยังโต๊ะหน้ากระจก ผมลุกตามเธอขึ้นไป อดเผลอใจเอื้อมมือไปลูบแก้มเธอเบา ๆ ไม่ได้ มันว่างเปล่าเนื่องด้วยไม่อาจสัมผัสกายเธอ แต่ไม่เป็นไรผมทนได้
ผมหลับตาอธิษฐานจิต นึกถึงอนาคตของเธอ มันเป็นอย่างที่ผมคาดไว้จริง ๆ ผมมองเห็นมโนจิตนั้นอย่างแจ่มชัดยิ่งนัก คงอีกไม่นานนี้แล้ว ไม่เป็นไรหรอก ไหน ๆ ก็โชคเข้าข้างมาขนาดนี้แล้ว มีโชคมากกว่าอีกหน่อยคงเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรือ
เธอเอื้อมมือไปหยิบขวดยานอนหลับซึ่งบรรจุไว้ด้วยเม็ดยาเกือบเต็มขวดตรงซอกโต๊ะเครื่องแป้งออกมา เธอส่งมันเข้าปากค่อย ๆ เคี้ยวกลืนลงไปทีละเม็ดสลับกับดื่มน้ำตามเข้าไป เธอทำซ้ำ ๆ อย่างนั้นอยู่พักใหญ่ ไม่นานนักเธอจึงค่อย ๆ วางขวดยาเปล่า ๆ ลงที่เดิมแล้วกลับเดินกลับมานอนที่เตียง
...เอาละ ได้เวลาแล้วละที่รัก...
ผมลุกขึ้นจากบนเตียงลอยตัวขึ้นอยู่เหนือร่างเธอห่างจากตัวเธอเพียงแค่คืบเดียว กลิ่นกายเธอหอมดังเดิมไม่เปลี่ยน
...มาเถอะที่รักของผม...
“จำที่ฉันสัญญากับคุณได้ไหมคะที่รัก ฉันกำลังจะตามไปอยู่กับคุณด้วยตลอดกาล รอฉันด้วยนะที่รัก” เธอพึมพำออกมาเบา ๆ น้ำตาไหลรินอาบแก้มเธอ ก่อนที่ร่างเธอจะค่อย ๆ กระตุกเบา ๆ ยาเริ่มออกฤทธิ์แล้วผมรู้ดี เพราะผมเคยผ่านมันมาก่อน
...นั่นแหละที่รัก ช้า ๆ จ๊ะ ไม่ต้องรีบจ้ะ ผมรอคุณได้เสมอ...
ร่างเธอกระตุกรุนแรงขึ้น เพียงพักเดียวก็สงบลง เธอค่อย ๆ ลอยออกจากร่างอย่างเชื่องช้า ผมลอยสูงขึ้นอีกนิดหน่อย เอื้อมไปจับมือเธอสองข้างมากุมไว้อย่างมั่นใจ รอเวลาให้เธอลืมตารู้สึกตัวขึ้นมา
“ฉันตายแล้วใช่ไหม” เธอลืมตาขึ้นช้า ๆ “ดูท่านไม่น่ากลัวอย่างที่ฉันคิดเลยนะคะ”
ดูเธอไม่เกรงกลัวกายทิพย์ที่อยู่ตรงหน้าเท่าใดนัก
ผมรู้ดีนี่ว่าที่ภาพตรงหน้าที่เธอเห็นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผมเป็น ที่เธอเห็นเป็นกายทิพย์ของยมบาล
ช่าย... ไอ้ตัวที่ตาเหลือง ๆ นั่นแหละ ผมแอบอมยิ้มกับตัวเองอย่างพึงพอใจ
“ใช่ แต่ที่เจ้าต้องรับรู้คือโทษากรรมของเจ้าผู้ทำอัตวินิบาตกรรมตนเองนั้น เจ้าจะต้องเผชิญกรรมด้วยการกลับเข้าสู่ร่างรับความเจ็บปวดทรมานแห่งเปลวอัคคีเผากาย และทรมานด้วยการขาดอากาศหายใจจนตาย ณ วินาทีแห่งการฌาปนกิจ มันเจ็บปวดสุดแสนเชียวละ เจ้าวิญญาณผู้น่าสมเพช” ผมพยายามพูดเลียนแบบเจ้าตาเหลืองนั่น
“จากนั้นวิญญาณเจ้าจะออกจากร่างอันสูญสลาย สู่ภพภูมิระหว่างตรีภพมิได้ผุดได้เกิดอีกตลอดกาล” ผมอธิบายราวกับเจ้าหน้าที่ตอนบอกสิทธิ์ผู้ต้องหาระหว่างการจับกุม
“ฉันไม่กลัวหรอก ขอเพียงได้พบชายเดียวในดวงใจที่ฉันจากมาก็พอ”
“เจ้าเข้าใจผิดไปแล้ว เจ้าวิญญาณอนาถา” ผมตอบเธอเสียงแข็ง
สิบสี่วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ด้วยอิทธิฤทธิ์ที่ยมบาลมอบให้ได้เวลาที่ผมจะนำวิญญาณเธอไปรับกรรมด้วยการกลับสู่กายเนื้อแล้ว ร่างเธอสงบนิ่งในโลงไม้สีขาวสะอาดตา รายรอบโลงประดับประดาด้วยลวดลายสีทองอร่ามตา องค์เทพพนมตรงสุดปลายโลงมองมายังผมอย่างไม่พอใจนัก
...เอาน่าท่าน ท่านเทพส่ง ๆ เธอไปสู่อนาภพเถิด...
ผมหันไปถามเธอที่ลอยอยู่ข้างกายผม
“เจ้าพร้อมแล้วหรือไม่ เจ้ามนุษย์บาปหนา” ผมขึ้นเสียงใส่เธอพลางกระชับเชือกผูกวิญญาณที่ผูกข้อมือเธอไว้แน่น
ผมค่อย ๆ พันมันกับมือตัวเองสองสามทบ บอกกับตัวเองว่าเอาละได้เวลาเสียที ผมสะบัดเชือกให้คลายออก วิญญาณเธอดิ่งลงสู่ร่างไร้วิญญาณในโลง พร้อม ๆ กับที่สัปเหร่อดันโลงเข้าสู่เตาเผา
ญาติ ๆ เธอส่งเสียงร้องระงมร่ำไห้ เปลวไฟสีม่วงอมฟ้าค่อย ๆ ลามเลียไปทั่วทั้งโลงศพ สีขาวของแผ่นไม้ค่อย ๆ พุพองปะทุแตกออกจากแผ่นไม้ตามอุณหภูมิที่ร้อนจัด ทองคำเปลวตรงลายเทพพนมหงิกงอหลุดร่อนออก แผ่นไม้อัดเริ่มประทุแตกด้วยเปลวไฟจากด้านล่าง มันลามเลียไปตามรอยแตกเข้าไปยังร่องไม้ ภาพไฟแดงฉานค่อย ๆ โหมลุกโชนไปทั่วร่างเธอ ดวงวิญญาณเธอดิ้นทุรนทุรายในกายเนื้ออืดพองอาบชุ่มไปด้วยเลือดและน้ำเหลือง...
ผมแสยะยิ้มมองเธอ เธอทำหน้าสงสัยในรอยยิ้มนั่น
...อย่าสงสัยเลยที่รัก ผมกำลังจะได้อยู่กับคุณไปตลอดกาลแล้วที่รัก...
ผมกระชับเชือกผูกวิญญาณในมืออีกครั้ง พริบตา เธออ้าปากกรีดร้องอย่างโหยหวนพร้อม ๆ กับใบหน้าของผมที่ค่อย ๆ เปลี่ยนกลับมาสู่ใบหน้าเดิมของผม เราทั้งคู่พลันไม่รู้สึกตัวอีก
“ลืมตาได้แล้ว เจ้าชั่วเจ้าบาปหนา เจ้ากระทำการณ์ใดลงไปรู้หรือไม่!!!” มันส่งเสียงคำรามอย่างกราดเกรี้ยวใส่ผม
“ก็ทำเท่าที่ทำได้นั่นแหละท่าน หึหึ แต่ผมว่าท่านคงไม่อยากทำผิดซ้ำอีกหรอกนะ” ผมมองกลับไปยังมันอย่างผู้ชนะ
“ท่านกลับไปถามเธอเถอะ ว่าจะเธอจะเลือกภพใด ผมรอได้อยู่แล้ว ทีนี้ผมคงไม่ต้องเหงาแล้วสินะ” ผมเลิกคิ้วใส่มันอย่างทรนง
“เจ้า......เจ้ามัน ฮึ...” เจ้าตัวร้ายตาสีเหลืองขบกรามแน่นจนสันกรามนูนเด่นออกมา
“เอาเถอะ อันใดมิอาจแก้ไขได้สิ้น คงต้องได้แต่ปล่อยไปตามแต่สวรรค์ลิขิตเทอญ...” มันลอยตัวห่างจากผมไปยังเธอที่เชิงเขา ผมนั่งอดทนรอให้เธอเลือกอย่างเงียบ ๆ ตรงริมผา
คงโทษผมไม่ได้หรอก ถ้าไม่เป็นเพราะเธอทิ้งผมไปเตรียมตัวแต่งงานกับหมอนั่น เธอรักกับมันมาตลอด แต่ด้วยฐานะของเธอที่แตกต่างราวฟ้ากับเหว กับหมอนั่น... เธอรู้ดี เจ้านั่นเป็นถึงลูกรัฐมนตรีกระทรวงอะไรสักอย่างแหละ ที่เธอทำกับผมคือคบผมไปวัน ๆ เพื่อแก้เซ็งและบังหน้าไม่ให้พ่อของหมอนั่นรู้อะไรเข้า เธอคิดว่าการคบกับผมคงจะลวงให้ใคร ๆ ไม่ระแคะระคายเรื่องของเธอกับมัน
กระทั่งความจริงมาปรากฏเอาทีหลังจนพ่อของเจ้าหมอนั่นบังคับให้มันเลิกล้มในเรื่องแผนการแอบแต่งงานระหว่างเธอกับมันด้วยเหตุผลเรื่องฐานะที่แตกต่างกันสุดขั้ว หมอนั่นทำใจไม่ได้เลยกระโดดลงมาจากคอนโดฆ่าตัวตายทิ้งช่วงเวลาหลังจากที่ผมฆ่าตัวตายได้ไม่ถึงอาทิตย์นึงด้วยซ้ำ
ตอนนี้คุณรู้แล้วใช่ไหมว่าผมเป็นอะไรตาย คงเป็นเพราะผมสงสัยพฤติกรรมแปลก ๆ ของเธอ ผมจึงแอบตามเธอหลายครั้งไปยังที่ต่าง ๆ ด้วยความสงสัย จนกระทั่งครั้งนั้นที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่ผมตามเธอไป จนได้เจอเธออยู่กับมันเต็มสองตา ภาพทั้งสองที่เดินเกี่ยวก้อยกันอย่างมีความสุข จนผมตามไปได้ใกล้พอที่จะได้ยินได้ฟังจากปากเธอเองว่า เธอกำลังจะหาทางเลิกกับผม
ส่วนหมอนั่นหาทางปิดบังพ่อไม่ให้รู้เรื่องงานแต่งเล็ก ๆ นั่น เธอยังกล้าพูดออกมาได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า... ‘ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราสองคนจะไม่พรากจากกันตลอดไป' เธอพูดกับมันตรงลานจอดรถก่อนที่ทั้งสองคนจะกอดกันกลม
เช๊อะ!!!!! คำสัญญาปัญญาอ่อน ผมอิจฉามันที่ได้หัวใจของเธอไป แต่ตัวผมเองทำใจกับสิ่งที่รับรู้ไม่ได้ ผมจึงเลือกที่จะกินยานอนหลับเพื่อฆ่าตัวตาย
“เธอเลือกแล้ว ได้เพลาของเจ้าที่จะเลือกแล้ว เจ้าคนชั่วช้าบาปหนา” มันปรากฎร่างตรงหน้าผม คำรามใส่ผมอย่างโมโหร้าย
“ผมขอเลือก........ ภพเดียวกับเธอ” ผมชี้นิ้วไปที่เธอ แล้วตอบช้า ๆ ชัด ๆ อย่างสะใจ
“เจ้าจงได้ตามแต่ปรารถนา หมดภารกิจแห่งข้า ณ แต่บัดนี้” มันระเหยร่างกลายเป็นไอ จางหายไปในอากาศต่อหน้าต่อตาผม
ช่วยไม่ได้เนอะ ใครมันจะโชคดีอย่างผมละ บนความผิดพลาดมหันต์ของยมบาล ผมกลับเปลี่ยนมันเป็นโอกาสซะอย่างนั้นแหละ ผมเหิรลอยละล่องลงจากริมผาไปหาเธออย่างรวดเร็ว ทั้งหมดที่ผมคิดออกมีเพียงแค่ ผมตัดสินใจที่จะให้อภัยกับสิ่งที่เธอเคยทำกับผม ผมแค่หวังว่าเธอจะเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในไม่ช้า โอ้......
“ที่รักจ๋า ผมมาแล้ว ผมให้อภัยคุณแล้วนะจ๊ะบิว เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปตราบชั่วนิรันดรอย่างที่เธอต้องการไงจ๊ะ” เสียงนั่นสะท้อนก้องระหว่างหุบเขาทั้งมวล.......
โฆษณา