20 พ.ย. 2019 เวลา 10:00 • ปรัชญา
"เอกภพ"
“เธอว่าคนเราเกิดมาจากไหนกันหรอ” ปานวาดเอ่ยประโยคคำถามพร้อมกับขยับแว่นตาของเธอลงมาตรงปลายจมูก
“เอาดีๆ นะ ห้ามตอบติดตลก ชั้นอยากเอาหัวข้อนี้ไปทำธีสิส”
“เอาจริงจังใช่มั้ย เราว่าก็ตามที่พวกนักวิทยาศาสตร์เขาว่าไว้มั้ง มนุษย์คงวิวัฒนาการมาจากสัตว์เซลส์เดียวในทะเลแหละ แล้วปรับเปลี่ยนดีเอ็นเอไปตามสภาพแวดล้อม และพัฒนาสายพันธุ์ให้คงทนและเหมาะสมเพื่อให้คงอยู่ได้ในสภาวะแวดล้อมต่างๆ” อลินมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วเริ่มร่ายยาว
“แล้วประเด็นที่แต่ละศาสนาอธิบายที่มาและแหล่งกำเนิดของมนุษย์ละ ไม่เห็นเหมือนกันซักอย่าง” ปานวาดเปิดสมุดออกแล้วหยิบปากกามาเริ่มจดหัวข้อที่สำคัญ “แต่ละศาสนาก็มีเรื่องเล่าอภินิหาร หรือจุดกำเนิดต่างกันไปไม่รู้กี่สิบแบบ”
“ศาสนามันเป็นเรื่องของการจัดระเบียบสังคมด้วยความเชื่อและศรัทธานะเธอ จะเอามาตั้งคำถามจริงจัง เราว่าคงไม่ตรงประเด็นที่เธออยากรู้หรอกนะ” อลินขยับตัวบนเก้าอี้ให้ถนัดขึ้น แล้วหยิบมือถือขึ้นเปิดกูเกิ้ล “เดี๋ยวชั้นลองหาดูซิ ว่ามีศาสนาไหนที่ดูแล้วคิดว่าใกล้เคียงกับความจริงที่สุด...”
“ไม่เอาหรอก ชั้นอยากได้คอมเมนต์มุมมองของเธอนะ ไม่ใช่จากกูเกิ้ล ชั้นอยากรู้ว่าเธอเชื่อแบบไหน...”
“อืมม... เราหรอ เราคิดว่า ที่จริงแล้วมีหลายคำสอนในหลายศาสนาที่เป็นศาสนาประเภท เทวนิยม ไม่ว่าจะเป็นศาสนาของชาวอียิปต์โบราณ ชาวสุเมเรียน หรือพวกบาบิโลนเมื่อกว่า ๕๐๐๐ ปีก่อน เรื่อยมากระทั่ง พราหมณ์ คริสต์ อิสลาม หรือแม้แต่ ศาสนาชินโตของชาวญี่ปุ่น ต่างก็มีคำสอนว่า สิ่งต่าง ๆ ที่ เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะเทพเจ้าหรือพระเจ้าในศาสนาของตนเป็นผู้บันดาลให้เกิดขึ้นหรือสร้างขึ้นทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว โลก มนุษย์ และสรรพสิ่งทั้งปวงล้วนเป็นผลงานของพระเจ้าทั้งสิ้น โดยแต่ละศาสนาก็มีบันทึกเรื่องราวที่พระเจ้าในศาสนาของตนสร้างสิ่งต่าง ๆ ไว้ในคัมภีร์ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างกันไป...” อลินหยิบแก้วชาไข่มุกบนโต๊ะขึ้นมาดูดยาวๆ ก่อนจะร่ายต่อ
“แต่เรากลับไม่เชื่อเรื่องเล่าพวกนี้เลยนะ เราว่ามนุษย์เรามีต้นกำเนิดเกี่ยวข้องมาจากต่างดาว!! เธอเชื่อเราไม๊...” เธอเว้นระยะให้ปานวาดถามข้อสงสัย
“ไม่รู้สินะ ชั้นก็เคยคิดเล่นๆ แบบนี้เหมือนกันนะ บางอย่างในโลกเรื่องมนุษย์บางทีก็ไม่สมเหตุสมผลอ่ะ หลายๆ ทฤษฏีจนปัจจุบันนี้ก็ยังคงมีคนแก้ไม่ตกนะ ไม่ว่าจะการพัฒนาในเรื่องของเทคโนโลยีที่รวดเร็วผิดปรกติ หรืออย่างเช่นเทคโนโลยีการก่อสร้างหรือคำนวณบางอย่างในอดีตไง” เธอขยับแว่นไปมา แล้วดันตัวขึ้นจากเก้าอี้เพื่อตอบกลับอย่างตั้งใจ “เอาแค่เรื่องของวิวัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีอย่างเดียวก็น่าสงสัยแล้ว ช่วงไม่กี่ปีมานี้ เทคโนโลยีต่างๆ ล้วนเติบโตมากกว่าช่วงก่อนประวัติศาสตร์หลายร้อยหลายพันเท่าด้วยอัตราเร่งที่เร็วกว่าในอดีตที่ผ่านมา อะไรคือพื้นฐานปัจจัยที่ทำให้มันมีค่าความต่างในการวิวัฒนาการได้มากกว่าเดิม อย่างเช่นชาวสุเมเรียนเป็นชนเผ่าที่ครอบครองดินแดนเมโสโปเตเมียซึ่งอยู่ ระหว่างแม่น้ำไทกริสและแม่น้ำยูเฟรทีส ชาวสุเมเรียนเอาชนะธรรมชาติด้วยการสร้างทำนบใหญ่สองฟากฝั่งแม่น้ำ สร้างคลองระบายน้ำ เขื่อนกั้นน้ำ ประตูน้ำและอ่างเก็บน้ำเพื่อระบายน้ำไปยังบริเวณที่แห้งแล้งที่อยู่ไกลออกไป ชาวสุเมเรียนจึงเป็นพวกแรกที่ทำระบบชลประทานได้
พวกสุเมเรียนเป็นชนกลุ่มแรกที่รู้จักประดิษฐ์อักษรได้ราว 3,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช อักษรเหล่านี้เรียกว่า “อักษรลิ่ม” หรือ “คูนิฟอร์ม” ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานที่เป็นลายอักษรที่เก่าแก่ที่สุดในทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ อีกทั้งพวกวรรณกรรมที่สำคัญของพวกสุเมเรียน อย่างเช่น มหากาพย์ กิลกาเมช ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับผจญภัยของวีรบุรุษที่แสวงหาชีวิตอันเป็นอมตะ พวกสุเมเรียนมีความเจริญทางด้านคณิตศาสตร์ ปฎิทิน และการชั่ง ตวง วัดอีกด้วยนะเธอ เธอว่าไม่แปลกหรอที่มันมีมาเกือบ 5,000 ปีแล้ว แต่บางอย่างก็ยังไปไหนได้ไม่ไกลเลย แต่ทว่าบางอย่างกลับพัฒนาอย่างก้าวกระโดดแบบน่าแปลกประหลาดมากๆ ยกตัวอย่างเช่นองค์ความรู้เรื่องการชลประทานซึ่งมีมานานมากๆ แต่กลับไม่มีวิวัฒนาการอะไรใหม่ๆ แบบก้าวกระโดดเลย แต่บางเรื่องเช่นการติดต่อสื่อสารกลับพัฒนาอย่างยิ่งยวดในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมานี้” ปานวาดปิดสมุดจดลงแล้ว เธอเริ่มสงสัยในทุกอย่างที่อยู่ในหัวตัวเอง
“ก็คงมีปัจจัยอะไรบางอย่างที่ไปขัดขวางกระบวนการทางความคิดหรือการพัฒนาก็เป็นได้มั้ง แต่มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ดังนั้นการติดต่อสื่อสารจึงเป็นอะไรที่ก้าวหน้าได้รวดเร็วกว่าเรื่องอื่นๆ เราว่ามันก็ไม่ค่อยแปลกนะ” อลินแย้งในมุมความคิดของตนเอง
“แต่ที่เราว่ามาจากดาวอื่น ก็เพราะว่าทุกวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ล้วนแล้วแต่มีเทพเจ้า ซึ่งบรรดาเทพเจ้าทั้งหลายนี่แหละ ที่มีความคล้ายคลึงกันอย่างน่าประหลาดใจ อย่างเช่นภาพในถ้ำ หรือตามวิหารต่างๆ ในทุกวัฒนธรรมจะมีเทพหรือวัตถุแปลกๆ ที่แสดงให้เห็นว่ามีการบินได้เหมือนกันหมด” อลินเสริมด้วยความตื่นเต้น “อย่างเช่นพวกสุเมเรียนนี่มีเฮียโรกราฟฟิกเป็นรูปยานบินหรือพวกยานอวกาศต่างๆ หรือพวกอัซเท็กก็มีเช่นเดียวกัน ในหลายอารยธรรมก็ยังคงมีหลักฐานหลายอย่างทางโบราณคดีที่แม้แต่ในปัจจุบันนี้พวกนักวิทยาศาสตร์ยังคงหาคำตอบไม่ได้ และยังเป็นของที่ดูทันสมัยอยู่ เช่นภาพวาดโบราณ ภาพวาดวงโคจรดวงดาวในอวกาศ และภาพวาดยานอวกาศต่างๆ อีกมากมาย”
“นี่ยังไม่รวมไปถึงสิ่งปลูกสร้างชิ้นใหญ่ๆ ที่คนในปัจจุบัน ยังต้องทึ่งในความสามารถของคนในยุคนั้น แล้วพวกเขาใช้อะไรสร้างเพราะปัจจุบันการที่เราจะสร้างของอะไรใหญ่โต เราก็จะต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือมาช่วย แต่คนในสมัยก่อนคิดได้ยังไง แล้วทำไมในปัจจุบันทำไมถึงไม่หลงเหลือหลักฐาน ของการสร้างสิ่งของพวกนั้นเอาไว้บ้าง อย่างเช่นการจารึกลงในแผ่นหินหรือบันทึกโบราณ ซึ่งไม่เคยมีเหลืออยู่เลย...”
/////////////////////////////////////
...ที่นอกหน้าต่างไกลออกไปนับล้านปีแสง
/////////////////////////////////////
เขาถอนจิตออกมาจากการสนทนาของสิ่งมีชีวิตเพศหญิงชาวไทยสองคนนั้น จะมีมนุษย์สักกี่คนที่จะพัฒนามาจนเป็นแบบตัวเขาได้กันหนอ หรือมนุษย์ไม่อาจพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้แล้วจริงหรือ?? สรรพสิ่งบนดาวดวงนี้ล้วนเป็นเรื่องสมมติขึ้นสำหรับเขา โปรแกรมการทดลองสร้างอารยธรรมยุคเก่าแก่คร่ำครึนี้นั้น สำหรับเขาแล้วเจ้าดาวโลก M4783795 นับเป็นความล้มเหลวอย่างมากสำหรับเขา
ตลอดเวลาเหล่านี้เขาได้พยายามอย่างหนักสำหรับการเรียนรู้ในอารยธรรมมนุษย์นับตั้งแต่ยุคโบราณมานับแสนล้านปีจนถึงบัดนี้ แต่บทสรุปสุดท้ายก็ยังคงเป็นเหมือนเช่นเดิม พวกมนุษย์กายหยาบทุกคนล้วนแล้วแต่ ไม่เคยได้เฉลียวใจแม้แต่นิดเดียวว่า ความเจริญทางวัตถุไม่อาจลบออกจากจิตใต้สำนึกของพวกเขาเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้เลย หากจำนวนของผู้ที่ได้เรียนรู้ในเรื่องจิต และความสามารถนับอเนกอนันต์ของดวงจิตที่บริสุทธิ์ดังเช่นที่เขามี สามารถรวบรวมเป็นกลุ่มเป็นก้อนได้มากพอเมื่อใดแล้วละก็ ย่อมจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลต่อกายภาพของเอกภพนี้ได้อย่างสิ้นเชิงไปตลอดกาล....
โฆษณา