22 พ.ย. 2019 เวลา 12:21 • กีฬา
การเปลี่ยนแปลง เพื่อแลกกับความสำเร็จ
“No, because I love Chelsea supporters too much. I’m Chelsea.” (ไม่ ผมรักแฟนบอล Chelsea มาก ผมคือ Chelsea) คือประโยคเด็ดของ Jose Mourinho ที่กล่าวไว้ในวันที่พา Chelsea คว้าแชมป์ League cup ในปี 2015 เมื่อนักข่าวได้ถามกุนซือชาว Portuguese เกี่ยวกับการรับงาน coach ที่ Spurs
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 3-4 วันนี้ทำให้ Mourinho ต้องกลืนน้ำลายตัวเอง(อีกครั้ง) เมื่อเขารับงาน coach จากทีมฟุตบอลใน London ที่เป็นคู่แข่งหลักของอดีตสโมสรฟุตบอลที่เขารักปานดวงใจอย่าง Chelsea
เมื่อ Tottenham Hotspurs ได้ประกาศแยกทางกับ Muaricio Pochettino ไปเมื่อสองวันก่อน และเป็น Mourinho เองที่ทุบโต๊ะทุกสำนักในการที่ได้รับงานต่อจากกุนซือชาว Argentina อย่างพลิกล๊อค และลงคุมซ้อมมื้อแรกหลังรับงานทันทีเมื่อเหล่านักเตะกลับมาจากการรับใช้ทีมชาติในสัปดาห์ที่ผ่านมา
และมันก็เป็นไปอย่างที่แฟนบอลได้คำนึงถึงกันไว้อยู่แล้ว เมื่อ “พอช” นั้นพาทีมเก็บชัยชนะได้เพียง 3 นัด จาก 12 นัดเท่านั้น อีกทั้งยังห่างโซนตกขั้นเพียงแค่ 6 คะแนน ซึ่งการจบฤดูกาลที่แล้วด้วยการเป็นรองแชมป์ UEFA Champions League ในฤดูกาลที่แล้ว แต่ปีนี้ต้องหล่นมาอยู่ถึงอันดับ 14 ใน league นั้นย่อมเป็นเชื้อไฟชั้นดีในการแผดเผาเก้าอี้กุนซือของเขาในช่วงขาลงของเขาและทีม
ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นชาว COYS หรือว่าแฟนบอลทีมอื่นล้วนต้องตกใจกับผลงานของไก่เดือยทองในฤดูกาลนี้
การจบฤดูกาลที่แล้วด้วยรองแชมป์ถ้วยยุโรปนั้น เป็นการประกาศว่า ไก่เดือยทอง นั้นพร้อมแล้วในการที่จะแย่งชิงแชมป์ league ในฤดูกาลต่อมาอย่างแน่นอน อีกทั้งยังมีการทุบกระปุกขนานใหญ่ของท่านประธาน Daniel Levy ที่มักจะขึ้นชื่อเรื่องความเขี้ยวในการจับจ่ายใช้สอยเป็นอย่างมาก
การที่สร้างสนามใหม่นั้น ทำให้ไก่เดือยทองต้องประหยัดเงินทุกๆหย่อมหญ้า ในการที่พวกเขาไม่สามารถที่จะเซ็นสัญญานักเตะใหม่เพิ่มมาเพียงแม้แต่คนเดียว แต่ก็ยังสามารถรั้งแกนหลักของทีมไว้ได้ทุกคนแม้ว่าจะมีข่าวทั้งเล็กและใหญ่กับทีมอื่นๆ
แต่ด้วยการที่ Pochettino นั้นได้ทำทีมๆนี้มาถึง 5 ปีด้วยกัน ทีมของเขาย่อมมี teamwork ที่แข็งแกร่ง อีกทั้งมีนักเตะที่เขาปั้นตั้งแต่ยังเป็นดาวรุ่งอย่างเช่น Harry Kane, Dele Alli นั้นสามารถพัฒนาขึ้นมาไม่ใช่เพียงแค่เป็นตัวหลักเท่านั้น แต่ Pochettino นั้นกลับปลุกปั้นพวกเขาขึ้นมาเป็น superstar ของวงการ จนสองคนนั้นอาจจะมีค่าตัวรวมกันเกิน 200 ล้านปอนด์เลยก็ว่าได้หากเกิดการย้ายทีมขึ้น
ประกอบกับขุมกำลังที่แน่นไปทุกตำแหน่งทำให้พวกเขาบินไกลถึงรองแชมป์ยุโรป ส่วนในแชมป์ league นั้นทำได้ใกล้เคียงครั้งในฤดูกาล 2015-16 แม้ว่าสุดท้ายจะโดน Arsenal เบียดเข้าป้ายไปในอันดับที่ 2 และเป็นไก่เดือยทองที่หล่นมาจบฤดูกาลด้วยอันดับ 3 แต่ที่ใกล้เคียงที่สุดคงต้องเป็นฤดูกาลถัดมา ที่สามารถไต่อันดับสูงจนจบฤดูกาลที่อันดับ 2 เลยทีเดียว
ทีม Tottenham Hotspurs ที่ Pochettino สร้างมากับมือของตัวเองนั้นมีคุณภาพเทียบเท่าทีมระดับ top 4 ของอังกฤษเลยทีเดียว แม้ว่าไก่เดือยทองจะใช้เม็ดเงินไปเพียงหยิบมือเมื่อเทียบกับทีมเหล่านั้น
ซึ่งประกอบไปด้วยแกนหลักอย่าง กัปตันทีมชาติฝรั่งเศส Hugo Lloris, หัวใจในแนวรับอย่าง Jan Vertonghen กับ Toby Alderweireld, สร้างสรรค์เกมรุกโดย Dele Alli กับ Christian Eriksen และแดนหน้าสุดโหดอย่าง Harry Kane กับ Son Heung-Min
และมีตัวสอดแทรกอย่าง Davidson Sanchez, Eric Dier และคนอื่นๆ รวมไปถึงตัว joker ปริศนาที่ได้ผลเกือบทุกครั้งที่เขาลงมาสร้างความแตกต่างในสนามอย่าง Lucas Moura hattrick-hero ของเขาที่ Amsterdam ปีที่แล้ว แต่จิ๊กซอว์เหล่านี้กำลังจะถูกนำมาต่อเป็นรูปใหม่โดย coach ใหม่ที่คุ้นเคยกันอย่าง Jose Mourinho
ความแตกต่างของ Pochettino กับ Mourinho?
โดยสองคนนี้อาจจะมีสิ่งที่คล้ายกันเพียงอย่างเดียวคือ ”อาชีพ” เท่านั้น เมื่อพูดถึงเรื่องอื่นๆของการเป็น coach ไม่ว่าจะเป็นการทำทีม สไตล์การคุมทีม หรือการรับมือกับสื่อ นั้นสองคนนี้ต่างกันแทบจะแยกออกเป็นด้านขาวและดำ รวมไปถึงด้านของความสำเร็จและประสบการณ์อีกด้วย
อย่างแรกเลยคือ ฟุตบอลเกมรุกที่พร้อมแลกหมัดของ Pochettino และ ฟุตบอลรัดกุมที่เหนียวแน่นในเกมรับของ Mourinho
จากฤดูกาลที่แล้วเรามักจะเห็นได้ว่าเมื่อ Spurs นั้นถูกคู่แข่งขึ้นนำและต้องการประตูเพื่อตีตื้นสุดๆ Poch นั้นไม่ลังเลเลยที่จะอัดแนวรุกเข้าไปเพิ่มแม้ว่าจะทำให้เกมรับของเขามีประสิทธิภาพลดลง แม้ว่าอาจจะโดนยิงเพื่มแต่เขาก็กระหายที่จะให้ลูกทีมของเขายิงประตูได้และเล่นเกมรุกเต็มที่ในสไตล์ “all or nothing”
ซึ่งนัดที่ comeback เอาชนะ Ajax Amsterdam คาบ้านเพื่อกำตั๋วนัดชิง UEFA นั้นเป็นคำอธิบายได้อย่างดี เพราะไม่ว่าทีมของจะโดนนำขนาดไหน เขาก็ยังเชื่อว่าที่จะพลิกสถานการณ์มากุมความได้เปรียบในวินาทีสุดท้ายได้อย่างที่หวัง และการที่ทีมของเขามักจะยิงคู่แข่งได้เยอะจนไปถึงคำว่าถล่มทลายนั้นก็เป็นสิ่งที่ฟุตบอลของ Mourinho ในช่วงขวบปีนี้ขาดหายไป
โดยรวมแล้ว Pochettino นั้นถือว่าเป็นคนที่กล้าได้กล้าเสีย เมื่อเขามักจะเปลี่ยนแผนการเล่นแบบไม่จำเจใน match เดียว ซึ่งจะถูกเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ของคู่แข่ง แต่แผง back-four นั้นจะไม่ได้เปลี่ยนตำแหน่งการยืนซักเท่าไหร่ อย่างเช่นการออก start ด้วยระบบ 4-4-2 diamond และเปลี่ยนเป็น 4-2-3-1 หรือว่าจะเป็น 4-4-2 แบบ flat ก็ล้วนมาจากมันสมองของเขาทั้งสิ้น
ในส่วนของ Jose Mourinho นั้น สิ่งที่เป็น signature ของเขานั้นคือการเล่นที่รัดกุมทั้งในเกมรุกและเกมรับ เมื่อเขาชอบที่จะให้นักเตะของเขาเล่นเป็นระบบในเกมรับ และใช้ความสามารถส่วนตัวของแนวรุกในการทำประตู ซึ่งการที่เขาชอบให้ลูกทีมเล่นแบบรัดกุมนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเล่นแบบ “จอดรถบัส” เสมอไป
ฟุตบอลของ Mourinho นั้นเชื่อได้ว่ายากมากๆที่จะเอาชนะได้หากนักเตะของเขาอยู่ในฟอร์มที่ดีและเล่นได้ตามความต้องการของเขาเป๊ะๆ ซึ่งกุนซือบางคนเคยออกมากล่าวถึง Mourinho ว่า ถ้าปล่อยให้ทีมของเขาขึ้นนำได้ก่อนนั้น โอกาสที่ทีมของเขาจะกลับมาแพ้นั้นน้อยมากๆ
และในทางกลับกัน บางเกมที่ Mourinho เชื่อว่าทีมของเขานั้นไม่สามารถที่จะรับมือเกมรุกคู่แข่งในช่วงท้ายเกมได้อย่างง่ายดายนั้น เขามักจะเลือกการเล่นเกมรับที่เป็นการจอดรถบัสซะมากกว่าการที่จะยิงคู่แข่งในขาดและปิดประตู comeback ของคู่แข่ง ซึ่งบางทีก็มีประสิทธิภาพสูง แต่บางทีก็เป็นนักเตะที่มักจะก่อความผิดพลาดจนเสียแผนของเขานั่นเอง
อย่างที่ 2 คือการดึงประสิทธิภาพของนักเตะและการพัฒนาและให้โอกาสดาวรุ่ง
Pochettino นั้น ด้วยความที่อยู่กับทีมที่รวยแต่ว่าค่อนข้างใช้งบแบบจำกัด ทำให้เขามีตัวเลือกเสริมทัพค่อนข้างจำกัด ทำให้เขาจำเป็นที่จะต้องเลือกซื้อและใช้นักเตะที่มีราคาค่าตัวอยู่ในระดับกลางๆในตลาดนั้นเตะ แต่เขากลับทำให้นักเตะเกรด B เหล่านั้นพัฒนาขึ้นมาเป็นตัวชูโรงของทีมได้อย่างน่าประทับใจอย่างมาก
ในช่วงก่อนปี 2015 ชื่อของ Son Heung-Min นั้นอาจจะไม่เป็นที่รู้จักในเกาะอังกฤษเท่าไหร่ แต่วันนี้เจ้าตี๋นรกกลับกลายเป็น superstar คนดังของเกาหลีใต้ไปแล้ว
โดยเริ่มจากที่เขาเป็นปีกที่มีสปีดระดับเทพ เลี้ยงบอลได้ดี แต่ Pochettino นั้นกลับมองเห็นศักยภาพในการจบ score แล้วหาพื้นที่ของเขา เขาจึงถูกปรับไปเล่นเป็นกองหน้าเคียงข้าง Kane และยิงประตูได้มากมาย อีกทั้งยังกลับไปเล่นปีกได้อย่างเนียนตาอีกด้วยตาม tactic ที่เปลี่ยนไประหว่างเกม
นักเตะลูกหม้ออย่าง Harry Kane, Harry Winks, Juan Foyte และ Kyle Walker-Peters นั้นคือผลผลิตจาก acedamy ที่ขึ้นมามีส่วนร่วมในทีมของเขา
แต่คงมีเพียงแค่ Kane กับ Winks เท่านั้นที่สามารถยึดตัวจริงและพัฒนามาติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ได้ และดาวรุ่งที่ย้ายทีมมาแจ้งเกิดกับทีมอย่าง Kieran Trippier, Dele Alli นั้นก็พัฒนาตัวเองขึ้นภายใต้การทำทีมของ Pochettino ได้ดีเช่นกัน
การที่นักเตะอย่าง Moussa Sissoko นั้นได้ลงเป็นตัวจริงในนัดชิง UEFA นั้นก็เป็นคำตอบถึงเครื่องหมายคำถามในการดึงศักยภาพนักเตะของ Pochettino ได้อย่างดี ซึ่งนักเตะโนเนมที่แม้ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติฝรั่งเศสชุดรองแชมป์ EURO 2016 คนนี้เป็นชิ้นส่วนที่ขาดไม่ได้ในทีมของ Pochettino ไปแล้ว ซึ่งเขาสามารถรับบทหนักได้ทั้งเป็น midfield ตัวตัดเกมหรือ box-to-box อีกทั้งยังจะสามารถเล่นเป็น rightback ได้อีกด้วย และนักเตะอย่าง Victor Wanyama หรือ Fernando Llorente นั้นก็เป็นตัวอย่างที่ดีเช่นกัน
โดยสรุปแล้ว Pochettino นั้นมักจะเลือกใช้นักเตะได้ตามความเหมาะสมและเลือก role และตำแหน่งที่ดีที่สุดของแต่ละคนให้ 11 คนในสนามของเขาได้อย่างเหมาะสมดีเยี่ยม นี่คือสิ่งที่เป็นความหมายของการที่ตัวเขานั้นรู้ถึงประสิทธิภาพและความสามารถในตัวนักเตะของเขาได้อย่างยอดเยี่ยม ในจุดนี้เองทำให้ Pochettino เป็นที่รักของลูกทีม ซึ่งในส่วนนี้เขาเองทำได้ดีไม่แพ้ Jurgen Klopp เลยทีเดียว
กลับมาที่ Mourinho
ยอด coach คนนี้นั้นขึ้นชื่อเรื่องการใช้เงินจำนวนมหาศาลในการซื้อนักเตะระดับ superstar ทั้งอายุน้อยจนไปถึงเยอะ มาร่วมทีมของเขา แต่การให้โอกาสดาวรุ่งนั้นแทบจะตรงกันข้าม
เขาเชื่อว่านักเตะที่มีความเก๋าอยู่นั้นสามารถที่จะตอบโจทย์กับแผนที่รัดกุมของเขามากกว่า เหล่าดาวรุ่งนั้นมักจะทำให้แผนของเขาต้องติดๆขัดๆอยู่ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทีมของเขาจะมีแต่นักเตะแก่ๆเท่านั้น เพราะถ้าดาวรุ่งเหล่านั้นสามารถที่จะทำได้ตามความต้องการและพัฒนามาอยู่ในระดับมาตรฐานของเขานั้น Mourinho ก็ยินดีที่จะให้ดาวรุ่งเหล่านั้นมีพื้นที่ในทีมชุดใหญ่ของเขาทันที
เมื่อตอนที่ Mourinho อยู่ Chelsea เขาให้โอกาสกับ Kurt Zouma ที่สามารถจะยึดตัวจริงจาก Gary Cahill ที่อยู่ชุดแชมป์ UEFA ด้วยซ้ำไปทันทีเมื่อ Zouma พร้อม แต่น่าเสียดายที่เจ้าตัวต้องเจ็บยาวไปในฤดูกาลสุดท้ายของ Mourinho กับ Chelsea
เมื่อย้ายมาอยู่ Manchester United นั้น การที่เขาให้โอกาสกับ Scott McTominay ก็เป็นหนึ่งในผลงานของเขา หลังจากการจากไปของ Mourinho นั้น เจ้า “แมคซอส” นั้นยังคงกล่าวชื่นชมในตัวของ Mourinho ที่ให้โอกาสเขาอยู่เสมอ ซึ่งในขณะนั้นแดนกลางของ Manchester United นั้นมีทั้ง Paul Pogba, Ander Herrera, Nemanja Matic รวมไปถึง Fred อยู่แล้ว ทุกคนล้วนมีชื่อเสียงกันทั้งนั้น แต่ McTominay ก็ยังสามารถแทรกขึ้นมาได้อยู่ดี
style การเล่นของ Mourinho นั้นมักจะถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของแผนการเล่นที่หลากหลาย ทีมของเขานั้นสามารถที่จะเล่นได้หมดทุกแผนไม่ว่าจะเป็นแบบที่ใช้ centerback 2 คนหรือ 3 คน ซึ่งทำให้นักเตะของเขานั้นอาจจะต้องเล่นได้หลายบทบาท อย่างเช่นการใช้ Herrera ถอยลงไปเป็นหนึ่งในสาม centerback ทำให้นักเตะที่เขาจะนำเข้ามานั้นจะต้องเก่งในรอบด้านและสามารถเล่นได้ตามคำสั่งของเขาได้อย่างดี
แต่ในทางกลับกัน บางทีสิ่งนี้ก็อาจจะทำให้เขาถูกมองว่าเป็นคนที่ไม่รู้ตำแหน่งที่ดีที่สุดของลูกทีมตัวเอง และใช้นักเตะบางคนผิดวิธีมาตลอด แต่เชื่อว่ามันเป็นแค่การทดลองที่ไม่ประสบผลสำเร็จเพียงเท่านั้น เพราะบางทีเขาก็คิดถูกในเรื่องตำแหน่งของนักเตะแม้ว่าแฟนบอลส่วนใหญ่จะไม่เห็นด้วยก็ตาม
อย่างเช่น การที่เขาเคยบอกว่าตำแหน่งที่ดีที่สุดของ Marcus Rashford นั้นคือริมเส้นทางด้านซ้าย ไม่ใช่ตัวเป้าอย่างที่แฟนบอลส่วนใหญ่อยากเห็น ซึ่งก็อาจจะจริงของเขา เมื่อ Rashford นั้นเล่นได้ดีกว่าในตำแหน่งริมเส้นจริงๆ แต่เมื่อเขาเล่นในตำแหน่ง striker นั้น ถ้าไม่เจอทีมที่มาตรฐานต่ำกว่า เขามักจะเล่นได้ไม่โดดเด่นเช่นกัน
สิ่งสุดท้ายนั้นก็เหลือเพียงแค่ความสำเร็จเท่านั้น ที่พวกเขาแตกต่างกันอย่างที่สุด
Jose Mourinho นั้นคือผู้ประสบความสำเร็จรอบด้านในอาชีพ coach ของเขา เมื่อเขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ได้เกือบทุกปี ไล่ตั้งแต่ถ้วยในประเทศเล็กๆอย่าง league cup จนไปถึงถ้วยยุโรป ไม่ว่าจะเป็นเก่งเล็กหรือเก่งใหญ่อย่าง UEFA และ Europa Champions League เขาก็เคยเก็บมาหมดแล้ว
อีกทั้งยังเป็นผู้จัดการที่คนที่ 3 ที่ทำสถิติคว้าแชมป์ English Premier League ได้ถึง 3 ครั้ง ต่อจาก Sir Alex Ferguson และ Arsene Wenger ทำให้เขาครองตำแหน่งผู้จัดการที่สามารถคว้าแชมป์ Premier League ได้มากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของประวัติศาสตร์ร่วมกับ Wenger
แค่นั้นยังน้อยไปเมื่อเทียบกับการคว้า triple champ นับเฉพาะ major trophies ได้เป็นครั้งแรกในอาขีพของเขาในปี 2010 ที่พา Inter Milan เถลิงบัลลังก์ UEFA Champions League พ่วงด้วยแชมป์ Serie A และ Coppa Italia ก่อนจะย้ายไปกุมบังเหียนยอดทีมอย่าง Real Madrid ในปีต่อมา
และถ้ามองจากภาพรวมนั้น Mourinho สามารถเสกถ้วยรางวัลให้กับทุกๆสโมสรที่เขาเคยไปคุม หากนับตั้งแต่งานของเขากับสโมสรที่สร้างชื่อเสียงระดับโลกให้เขาอย่าง FC Porto
แม้ว่า Pochettino นั้นกลับทำได้ดีที่สุดเพียงรองแชมป์ UEFA ในปีที่แล้ว ซึ่งมันก็อาจจะต่างกันราวกับฟ้าและเหวก็จริง แต่นั่นก็คงบอกไม่ได้ว่าในอนาคต Pochettino จะไม่ประสบความสำเร็จเลย เพราะกว่า Mourinho จะมีวันนี้ได้ เขาใช้เวลาไปถึง 19 ปี เมื่อเขาเริ่มจับงานคุมทีมเมื่อปี 2000 กับ Benfica
ส่วน Pochettino นั้นเริ่มคุมทีมได้เพียง 10 ปีเท่านั้น นับตั้งแต่ที่เข้ารับงานที่ Espanyol เมื่อปี 2009
สิ่งที่อาจจะเปลี่ยนไปหลังจากการเข้ามาของ Jose Mourinho?
แน่นอน style การเล่นนั้นจะถูกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง และในต่อไปนี้เราอาจจะได้เห็นการลงเล่นพร้อมกันของ 4 จตุรเทพ Kane, Alli, Eriksen และ Son ที่น้อยลงอย่างแน่นอน เมื่อเขาต้องการที่จะมี playmaker ตัวหลักใน 11 ตัวจริงของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น จึงอาจจะทำให้ Alli และ Eriksen ต้องแย่งชิงตำแหน่ง “เบอร์ 10” ในทีมของ Mourinho อย่างเข้มข้น
Mourinho นั้นจะมี playmaker คู่บุญอยู่เสมอ ไม่ว่าเขาจะไปคุมทีมไหนก็ตาม และจะมีตัวหลักในชุดตัวจริงของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น อย่างเช่นในช่วงเวลาที่ผ่านมากับทีมต่างๆที่เขาเคยคุม
Chelsea รอบแรกเขามี Frank Lampard
Inter Milan เขามีจอมทัพอย่าง Wesley Sneijder
Real Madrid เขาก็มีสุดยอด playmaker อัจฉริยะอย่าง Mesut Ozil
กลับมา Chelsea อีกครั้งพร้อมกับการที่มี Oscar คอยบัญชาเกมรุก
และล่าสุดที่ Manchester United ที่เขาซื้อ Paul Pogba เขามาเป็นสถิติสโมสร
ซึ่งที่ Spurs นั้นเขาอาจจะต้องเลือกอีกครั้ง ระหว่าง Eriksen และ Alli ว่าใครจะเป็น playmaker ของเขา และต้องมีคนใดคนหนึ่งออกไปเล่นตำแหน่งอื่นหรือกระทั่งย้ายทีม ที่คล้ายกับกรณีของ Juan Mata และ Oscar ในช่วงที่เขาคุม Chelsea อยู่ในฤดูกาล 2013-14 ซึ่งก่อนหน้านั้นจะเป็น Mata ที่ได้รับตำแหน่งเบอร์ 10 มาตลอด แต่ก็ต้องเสียตำแหน่งให้กับ Oscar เมื่อเขาทำได้ดีกว่า playmaker ชาวสเปนจนต้องเก็บกระเป๋าออกจากทีมไป
และสิ่งที่แฟนบอลได้รับฟังจากเขาเมื่อ Mourinho นั้นได้รับงานวิเคราะห์บอลให้กับ Sky Sports นั้นก็คือการวิจารย์การเล่นของนักเตะต่างๆ ซึ่งนักเตะขอว Spurs ที่โดนค่อนข้างบ่อยก็คือ Danny Rose จึงอาจจะทำให้ตำแหน่ง leftback ในตอนนี้สั่นคลอนอีกครั้ง
หลังจากการแต่งตั้งเสร็จสิ้นนั้น มีข่าวออกมาว่า Mourinho นั้นจะไม่ได้รับ budget ในการซื้อขายนักเตะของตลาดหน้าหนาวที่จะถึงนี้แม้แต่ปอนด์เดียว
ซึ่งอาจจะฟังดูขัดหูเมื่อนำไปรวมกับเรื่อง style การสร้างทีมของเขา แต่เมื่อมองไปที่ขุมกำลังของทีมนั้น นักเตะใหม่ๆที่ยังไม่ได้แจ้งเกิดเต็มตัวกับทีมอย่าง Lo Celso และ Ndombele นั้นก็อาจจะก้าวขึ้นมาเป็นฟังเฟืองชิ้นสำคัญแทนที่นักเตะที่ Pochettino ชอบใช้อย่าง Sissoko หรือ Wanyama ก็อาจจะเป็นไปได้
ที่ผ่านมานี้ อาจจะมีหลายสาเหตุที่ทำให้ Spurs ดิ่งสู่ท้ายตาราง แต่สิ่งที่ Mourinho มองเห็นได้ส่วนหนึ่งจากการเป็น pundit(นักวิเคราะห์) นั้นก็คือการที่เขามองว่าตัวหลักอย่าง Eriksen, Vertonghen และ Alderweireld นั้นเริ่มที่หมดใจในการลงเล่นให้กับทีมแล้วในฤดูกาลนี้
นี่ก็อาจจะเป็นงานสำคัญของเขาอีกส่วนหนึ่งที่ต้อง เรียกทั้งฟอร์มและใจของสามคนนี้ออกมาเพราะสามคนนี้เป็นตัวหลักของทีมทั้งสิ้น โดยเฉพาะ Alderweireld ที่ Mourinho เคยอยากได้มาร่วมทีมมากๆในช่วงที่คุม Manchester United โดยอีกรายที่เขาชื่นชอบมานานแล้วก็คือ Eric Dier ที่พักหลังๆฟอร์มรูดจนต้องตกเป็นสำรอง และเชื่อว่าดาวเตะชาวอังกฤษคนนี้จะกลับมาแจ้งเกิดอีกครั้งในยุคของ Mourinho
ส่วนที่น่ากังวลก็มีเพียงแต่อนาคตของเหล่าดาวรุ่งที่ยังไม่ได้การได้งานอย่าง Juan Foyte, Kyle Walker-Peters, Oliver Skipp และรวมไปถึงเด็กเทพอย่าง Ryan Sessegnon ที่จะต้องรีบเค้นฟอร์มเอาชนะใจของเจ้านายคนใหม่ให้ได้ก่อนที่จะไร้บทบาทและหมดอนาคตในทีมของ Mourinho อย่างไวที่สุด
นอกจากนี้แฟนบอลอย่างเราก็คงได้แค่เพียงเอาใจช่วยให้กุนซือที่ไม่เคยอยู่ครบอายุสัญญาอย่าง Mourinho จะพา Spurs กลับมาอยู่ในฟอร์มที่ดีอีกครั้ง และที่น่าสนใจ น่าลุ้นที่สุดก็คงเป็นเรื่องที่ว่า.... เขาจะอยู่ครบสัญญา 3 ปีที่เซ็นไว้หรือเปล่า
เพื่อนๆคิดอย่างไรกันมั่งครับ ?
ติดตามพวกเราได้อีกช่องทางได้ที่ Facebook : Talk Shit Football
โฆษณา