ซึ่งเหตุการณ์ในลักษณะนี้จะเรียกว่าการ Run โดยสิ่งเหล่านี้แทบจะเห็นได้เกือบทุกเกมการแข่งขันใน NBA เลยก็ว่าได้
1
เพียงแต่ว่าการ Run แต้มแบบนี้ จะมีชุดเล็กหรือชุดใหญ่ก็ว่ากันไปในแต่ละนัด เพียงแต่ส่วนมากถ้าเกิดผลต่างเกิน 8 คะแนน ก็จะเริ่มเรียกว่าการ Run แต้มแล้ว
เช่น A 8-0 B ในช่วงเวลา 3 นาที ในกรณีนี้จะหมายถึง ทีม A ได้ Run แต้มอย่างต่อเนื่องไปแล้ว 8 แต้ม ในขณะที่ทีม B ยังไม่สามารถทำแต้มได้เลยในช่วง 3 นาทีตั้งแต่เริ่มการ Run ชุดนี้ขึ้นมา
ในบางกรณี การ Run แต้มอาจจะไม่ใช่ XX-0 เสมอไป แต่ถ้าเป็นกรณีการทำแต้มห่างระดับสองหลักขึ้นไป ก็จะถือว่าเป็นการ Scoring Run เหมือนกัน
เช่น A 18-4 B ในช่วงเวลา 8 นาที อย่างนี้ก็จะเรียกว่าการทำ Scoring Run เช่นเดียวกับกรณีแรก
โดยปกติแล้ว ในหนึ่งเกมการแข่งขัน มักจะมีการ Run แต้มแบบนี้ทั้งสองฝ่ายสลับกันไปมาอยู่เสมอ เพียงแต่ว่าจะมีการ Run แบบไหนออกมาบ้างแค่นั้นเอง ซึ่งการ Run แต้มชุดเดียวอาจจะไม่ทำให้ทีมพลิกกลับมานำหรือชนะได้ในทันที (ยกเว้นการ Run ชุดใหญ่สุดๆ ที่อาจทำให้ทีมพลิกกลับมานำหลังจากตามอยู่หลายแต้ม หรือทำให้ทีมนำขาดจนกระทั่งฝ่ายตรงข้ามยอมถอดใจเลยก็เป็นได้)
ดังนั้น ในบทความนี้จะพาไปดูถึงการทำ Scoring Run ที่มีผลต่างมากที่สุดกันครับ
1. Los Angeles Lakers ในเกมที่พบกับ Sacramento Kings ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ปี 1987
เป็นการทำ Run แต้มสูงอันดับต้นๆ ของประวัติศาสตร์ลีกเลยก็ว่าได้ โดยในช่วง Q1 เป็นการทำ Run ถึง 29-0 ในช่วง 9 นาทีแรก ก่อนจะจบ Q1 ด้วย 40-4 และจบลงด้วยชัยชนะของ Lakers ไปในที่สุด
4. Washington Wizards ในเกมที่พบกับ Boston Celtics ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2017 โดยถือเป็นเกม PlayOffs ที่มีการ Run แต้มมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของลีกในปัจจุบัน