23 พ.ย. 2019 เวลา 05:00 • ประวัติศาสตร์
หลายท่านอาจทราบเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ในอดีต "รากของ...คนจีน"
ในงานเลี้ยงครั้งหนึ่งที่กรุงปักกิ่ง
ชาวจีนกลุ่มหนึ่งมาร่วมงานในฐานะเจ้าบ้าน คณะแขกในงาน คือ ชนชั้นสูงที่ส่วนใหญ่เป็นวงศาคณาญาติของเครือราชวงศ์ในแถบประเทศยุโรป แขกทุกคนล้วนมีการศึกษาสูง และกิริยามารยาทในสังคมดีเลิศทั้งนั้น
แต่เบื้องหลังแต่ละคนล้วนซ่อนความหยิ่งยโสไว้เกือบทุกคน อาจเป็นเพราะงานคืนนั้นเป็นงานเลี้ยงส่งคณะผู้มาเยือนเป็นคืนสุดท้าย แต่ละคนอาจดื่มหนักไปหน่อย เลยพูดจาค่อนข้างปล่อยวางตามอำเภอใจ และแล้วก็มีฝรั่งท่านหนึ่ง ลุกขึ้นยืนแล้วถามว่า
"ขอทราบเหตุผลหน่อย ทำไมปีนักษัตร 12 ราศีของจีน จึงมีแต่พวกหมู หมา กา ไก่ มาเป็นตัวสัญลักษณ์ ไม่เห็นจะเหมือนของพวกเราเลย ล้วนฟังดูดีมีสกุล เช่น กลุ่มดาวคนยิงธนู กลุ่มดาวสิงโต กลุ่มดาวแมงป่อง ไม่รู้บรรพบุรุษพวกคุณ เอาส่วนไหนของร่างกายมาคิดตั้งราศีบ้านๆ พวกนี้ออกมา"
พอพูดจบ ก็เป็นเสียงฮาเฮของเหล่าฝรั่งหัวแดง พร้อมชนแก้วดื่มกันสนั่นหวั่นไหว ความเป็นผู้ดีหายไปในชั่วพริบตา
เมื่อถูกเขาเจริญพรถึงบรรพบุรุษกันขนาดนี้ จะเถียงเขาอย่างไรดี จะทุบโต๊ะแสดงความไม่พอใจก็ย่อมจะทำได้ แต่อาจเพราะยังตั้งหลักไม่ทัน ต่างคนต่างยังเก็บความเคืองแค้นด้วยความเงียบ แต่แล้วก็มีชาวจีนท่านหนึ่งลุกขึ้นยืน แล้วใช้น้ำเสียงอันราบเรียบที่สุภาพพูดขึ้นว่า
"ท่านทั้งหลาย บรรพบุรุษของพวกเรามักยืนอยู่บนฐานแห่งความเป็นจริง ปีราศีของพวกเราจับกันเป็นคู่ๆ หมุนเวียนกันหกรอบ แสดงถึงความหวัง และความต้องการของบรรพบุรุษของเราที่มีต่อพวกเราทุกคน"
ในเวลานั้น เสียงฮาเฮเริ่มค่อยๆ เบาบางลง แต่สีหน้าของชาวต่างชาติแทบทุกคน ยังคงแฝงไว้ด้วยแววตาที่เย้ยหยัน
"ราศีคู่แรก คือ หนูและวัว หนูคือตัวแทนของความเฉลียวฉลาด วัวคือสัญลักษณ์ของความขยัน หากคนเราฉลาดแต่ขี้เกียจ ก็ไปไม่ได้ไกล แต่ถ้าขยันแล้วแต่
ไร้หัวคิด ก็กลายเป็นไอ้โง่ สองสิ่งนี้ต้องบวกกันเป็นหนึ่ง ก็คือคนฉลาดที่ขยัน นั่นคือ สิ่งแรกและเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่บรรพบุรุษคาดหวังในตัวพวกเรา"
"คู่ที่สอง คือ เสือและกระต่าย เสือมีความกล้าหาญเต็มร้อย กระต่ายมีความระมัดระวังเป็นคุณสมบัติประจำตัว
ความกล้าบวกกับความระมัดระวัง ถึงจะเรียกว่า คนใจถึงแต่รอบคอบ หากมีแต่ความกล้า มันคือความมุทะลุ หากมีแต่ความระแวดระวังเกินกว่าเหตุ มันคือความขี้ขลาด"
คนจีนผู้นั่นมองกลุ่มฝรั่งนิดนึง แล้วพูดต่อเพื่อรักษามารยาทอันดีงาม
"บางครั้งอาจเห็นพวกเรามักนิ่งเงียบ คงจะกำลังครุ่นคิด จงอย่าเข้าใจว่า พวกเราไม่มีความกล้าซ่อนอยู่"
"คู่ที่สาม คือ มังกรและงู (งูใหญ่และงูเล็กของไทย) มังกรคือความแข็งแกร่ง
งูคือความพริ้วไหว ชีวิตที่แข็งทื่อเกินไปอาจต้องเผชิญกับการแตกหัก ยอมหักไม่ยอมงอ จึงอาจไม่ใช่สิ่งดีเสมอไป แต่พลิ้วไหวไปก็ไร้จุดยืน เพราะฉะนั้น ในความแข็งแกร่งต้องมีความอ่อนโยนซ่อนอยู่ ผู้ใหญ่ท่านสอนไว้แบบนี้"
"ชุดต่อไป คือ ม้าและแพะ ม้ามุ่งตะลุยไปข้างหน้าอย่างเดียว แพะคือสัญลักษณ์ของความอ่อนโยน หากคนเราเอาแต่ลุยไปข้างหน้า ไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบ
ข้างคงต้องกระทบกระทั่งเขาไปทั่วหนทางสู่จุดหมายปลายทางคงทุลักทุเลน่าดู แต่ถ้ามีแต่ความอ่อนโยน ว่านอนสอนง่าย สุดท้ายต้องหลงทางแน่นอน สองสิ่งนี้ต้องรวมกัน เส้นทางสู่จุดหมายจึงจะราบเรียบ"
"คู่ต่อไป คือ ลิงกับไก่ ลิงมีความว่องไว ไก่ขันตามเวลาทุกเช้า มันคือ ความแน่นอน ความว่องไวที่ปราศจากความแน่นอน เขาเรียกว่า ความวุ่นวาย ความแน่นอน แต่เชื่องช้าเกินเหตุอันนี้ชีวิตอับเฉาไร้รสชาติ ชีวิตต้องดำเนินไปด้วยความสมดุลย์ของสองสิ่งนี้ แล้วชีวิตจะ
สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น"
"คู่สุดท้าย คือ สุนัขและสุกร สุนัขมีความซื่อสัตย์สูงสุด สุกรว่านอนสอนง่ายที่สุด คนเราถ้าซื่อตรงจนเกินไป ไม่รู้จักผ่อนกฏผ่อนเกณฑ์กันบ้าง จะสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว หรืออาจเครียดเกินเหตุ แต่หากหัวอ่อนไป ก็จะไม่มีบรรทัดฐานของตัวเอง ลู่ไปตามลมคงไม่ดีแน่ แต่การรวมกันของสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน ความสมดุลย์จะเกิดขึ้นภายในจิตใจเรา"
พออธิบายที่มาของสิบสองราศีจนครบถ้วน ชาวจีนผู้นั้นจึงถามชาวยุโรปว่า
"คงต้องขอทราบว่า สิบสองราศีของพวกคุณ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มดาวแมงป่อง คนแบกหม้อ คนยิงธนู มีความหมายต้องการจะสื่ออะไรหรือเปล่า แล้วที่บรรพบุรุษ
พวกคุณคัดสรรพวกนี้ออกมา ต้องการหรือคาดหวังอะไรจากพวกคุณบ้าง ช่วยชี้แนะด้วยครับ"
มีแต่ความเงียบ ไม่มีคำตอบ ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหายใจแรงๆ
ชาวจีนที่อาสาเป็นผู้อธิบายถึงความหมาย และที่มาของสิบสองราศีท่านนี้
ก็คือ อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศจีน ที่ชื่อว่า "โจว เอิน ไหล" ดำรงตำแหน่ง พ.ศ. 2492 – พ.ศ. 2519
"ขจรศักดิ์" แปลและเรียบเรียงมา
นำเสนอสาระดีๆ
โฆษณา