29 พ.ย. 2019 เวลา 03:33 • บันเทิง
หมดยุคสร้างดารา ‘เอ-ศุภชัย’ถอดใจ เลิกปั้นเด็ก!!
ถือเป็นอาชีพที่เคียงบ่าเคียงไหล่ เป็นคู่หูแชมพูครีมนวด เอ๊ย! คู่หูคนรู้ใจ สำหรับอาชีพ “ดารา” กับ “ผู้จัดการดารา” ซึ่งหากนิยามว่า “ดารา” คือบุคคลเบื้องหน้าแล้ว “ผู้จัดการดารา” ก็คือบุคคลเบื้องหลังความสำเร็จของดารา
ผู้ที่ทำหน้าที่ผู้ดูแลแบบครอบจักรวาล ดูแลประหนึ่งแม่ดูแลลูก เป็นทัพหน้าถูกด่าเวลาดาราเรื่องมาก ตามเก็บตามเช็ดข่าวฉาว หรือเคลียร์ทางให้เหล่า “ดารา” ได้เดินในวงการอย่างเฉิดฉาย
ซึ่งจะเห็นว่า “ดารา” ในบ้านเรา จะมีผู้จัดการคูู่หูคู่บุญ ที่คอยส่งเสริมพาไปตะกายดาว จนโด่งดังเป็นพลุแตกมาแล้วหลายคน บางคนยิ่งดังก็ยิ่งรักใคร่กันดี แต่บางคนก็ดังแล้วแยกวง
กรณีหลังนี้คนที่ชีช้ำก็กลายเป็น “ตัวผู้จัดการ” เอง ที่ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งปั้นดาวดวงใหม่ ไว้ประดับบารมีตัวเอง จึงจะเห็นว่าการเป็น “ผู้จัดการดารา” นั้นไม่ง่าย
และถ้าพูดถึง “ผู้จัดการดารา” ที่โด่งดังเป็นนักปั้นมือทองของบ้านเรานั้น ชื่อแรกที่ใครๆ ก็ต้องรู้จักก็คือ “เอ-ศุภชัย ศรีวิจิตร” ที่สามารถพูดได้ว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของซุป’ตาร์เบอร์ต้นๆ
ไม่ว่าจะเป็น อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ, ป๋อ-ณัญวุฒิ สกิดใจ, เวียร์-ศุกลวัฒน์ คณารศ, ณเดชน์ คูกิมิยะ, มาริโอ้ เมาเร่อ และ เจมส์ มาร์ ซึ่งแต่ละคนนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นดาราระดับ A-List ที่มีรายได้ต่อปีหลัก 10 ล้าน ที่มาจากงานละคร, ภาพยนตร์, โฆษณา, อีเวนต์ และยังคงยืนระยะความดังมาไม่ต่ำกว่า 10 ปี
นอกจากชื่อที่กล่าวมาข้างบนนั้น ยังไม่ถึงครึ่งของดาราในสังกัด “เอ ศุภชัย” ซึ่งก็มีทั้งที่ดังแล้วแยกออกไป หรือที่ออกไปรับงานอิสระแต่ก็ยังอยู่ภายใต้ใบบุญ ให้ผู้จัดการมือทองคนนี้คอยป้อนงานให้อยู่เรื่อยๆ
จุดเด่นที่ทำให้ “เอ ศุภชัย” ปั้นดาราคนไหน ก็ดังเป็นพลุแตกนั้น ต้องยอมรับว่าตัวเขาเองมีสายตาที่เฉียบคม สามารถมองออกว่า “คนไทย” ชอบคนแบบไหน เจ้าตัวก็จะไปตะเวนหาตั้งแต่เหนือจรดใต้
มาเจียระไนจนกลายเป็นเพชรเม็ดงาม ที่มีความสามารถพร้อม ทั้งเล่นละคร ถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา ร้องเพลง เสร็จแล้วจึงส่งเข้าสังกัดช่อง 3 บ้าง ช่อง 7 บ้าง กว่าจะรู้ตัวเด็กๆ ของเขาก็แทบจะครองวงการบันเทิง เป็นที่รักของแฟนๆ ไปแล้ว
แต่มีขาขึ้นก็ต้องมีขาลง ต้องยอมรับว่าหลายปีมานี้ หลังจากที่ส่งดาราในสังกัดไปถึงฝันจนติดลมบนแล้ว ความพยายามในการปั้นเด็กใหม่ของ “เอ ศุภชัย” นั้น ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จนัก
1
ด้วยปัจจัยอันหลากหลาย ไหนจะคู่แข่งหลายรายที่ปั้นเด็กมาขายตัดหน้า เด็กใหม่ๆ ความสามารถแน่นๆ ก็เกิดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด
และดูเหมือนว่าสายตาแบบแมวมองของ “เอ ศุภชัย” อาจจะเริ่มฝ้าฟางไปหน่อย เด็กๆ ที่เขาดันขึ้นมาจึงไม่ค่อยถูกตาถูกใจแฟนๆซักเท่าไหร่ จากที่เคยปั้นเด็กส่งช่องได้ปีละหลายๆคน ก็แทบจะไม่ปั้นเด็กคนไหนขึ้นมาอีก ได้แต่ตามดูแลดูน้องๆ ที่มีอยู่ในมือ
จากผู้จัดการก็เปลี่ยนเป็นนายหน้า คอยตามงาน หางาม อัพเดทความคืบหน้าของดาราส่งให้เอเจนชี่สินค้าคอยเรียกใช้ และแบ่งเวลาไปทำธุรกิจร้านอาหารที่มีอยู่ 108 ของตัวเองอีก
นอกจากปัจจัยที่ว่าเด็กของ “เอ ศุภชัย” ไม่ถูกจริตคนดูอีกต่อไปแล้วนั้น อีกอย่างหนึ่งต้องยอมรับว่าปัจจุบันนี้ การที่ใครซักคนจะเข้ามาแจ้งเกิดในวงการบันเทิงนั้นไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
บางคนก็เข้าวงการด้วยการสร้างชื่อจากโซเชียลมีเดียบ้าง ประกวดรายการต่างๆ บ้าง แถมบางทีทางสถานีโทรทัศน์เองก็เลิกจ้างเด็กจากนักปั้นฟรีแลนซ์ แล้วหันมาแคสต์เด็กเอง ดันเด็กตัวเอง ให้เงินทองไม่รั่วไหลไปจากช่อง
ถึงตอนนี้อาจจะเรียกว่าเป็นยุคแห่งความระส่ำระสายของอาชีพ “ผู้จัดการนักปั้น” ก็ว่าได้
ส่วนอาชีพ “ผู้จัดการ” ทั่วไป ที่คอยดูแลสารทุกสุกดิบ คิวงานต่างๆให้กับเหล่าดารา ก็ถึงคราวร้อนๆ หนาวๆ เช่นกัน เพราะด้วยยุคนี้ที่การติดต่อสื่อสาร หรือคอนเน็คชั่นไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ดาราหลายคนจึงเลือกจะเป็นอิสระจากผู้จัดการดารา ขอมาดูแลตัวเองแบบไม่ต้องคอยแบ่งเปอร์เซ็นต์ค่าตัวให้ใครอีกต่อไป ดูแลคิวเอง รับงานจ้างเอง โดยให้คนใกล้ชิดหรือคนในครอบครัวมาทำงานด้วย เงินทองก็ไม่รั่วไหลอีกเช่นกัน
ยกตัวอย่างดาราที่ดังได้ตัวเอง และยังมี “คุณแม่” เป็นผู้จัดการดูแลให้ทุกๆ อย่าง ตั้งแต่เรื่องเงิน ยันเสื้อผ้าหน้าผม หรือคิวงาน เห็นดาราเมื่อไหร่ต้องเห็นแม่ที่นั่นก็มีอยู่หลายคนเลยทีเดียว
ไม่ว่าจะเป็นสาว “ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์” ที่มักจะออกงานคู่ “คุณแม่ปลา” หรือพี่สาวอยู่เสมอ หรือสาว “มิว-นิษฐา จิรยั่งยืน” ก็มี “คุณแม่ปู” รับงาน เช็คคิวงานให้อยู่ในสายตาตลอด
“แพนเค้ก-เขมนิจ จามิกรณ์” ที่ก็มี “คุณแม่หน่อย” คอยออกหน้ารับงานให้ ทั้งดูแลให้ทุกเรื่อง สาว “มิ้นต์-ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง” ก็มีคุณแม่ที่คอยเป็นคู่หูออกงานด้วยตั้งแต่เล็กจนโต จนเคยมีประเด็นดราม่าเพราะแม่มาแล้ว
หรือสาว “วิว-วรรณรท สนธิไชย” ก็มีคุณแม่คอยประกบไปด้วยทุกๆงาน จนแทบไม่เคยจ้างให้ใครมาดูแล แถมล่าสุดยังแอดวานซ์ไม่ต้องจ้างช่างแต่งหน้าแล้ว เพราะเธอสามารถแต่งหน้าตัวเองออกงานได้ด้วย
ฝ่ายชายที่ส่วนมากจะไม่ค่อยให้คนในครอบครัวมาหยุมหยิมเรื่องงานในวงการ แต่ก็มีหลายคนที่มีแม่เป็นผู้จัดการ ก็คือหนุ่ม “นาย-ณภัทร เสียงสมบุญ” ที่ “คุณแม่หมู” ดูแลตั้งแต่พาเข้าวงการ ไปไหนไปด้วยเป็นคู่แม่ลูกรับงานรับทรัพย์สองคน
หนุ่ม “เก้า-จิรายุ ละอองมณี” ก็ไม่เคยมีผู้จัดการส่วนตัวเลย เพราะมีคุณแม่เป็นทัพหน้าดูแลให้ตลอดเวลา
ซึ่งการให้คนในครอบครัวมาทำงานด้วยนั้นแน่นอนว่าข้อดีนั้นมีสารพัด แต่ในขณะเดียวกันก็มีข้อเสียตรงที่พอเป็นคนในครอบครัว หลายเสียงที่ต้องติดต่องานด้วยจะรู้สึกว่าการต้องดีลงานกับแม่ๆ นั้นยากกว่าการคุยกับผู้จัดการดารา
เพราะความมากเรื่องนั้นจะเพิ่มพูนเป็น 2 เท่า ถึงตัวดาราจะทำงานออกมาดี แต่เอเจนซี่บางเจ้าก็เข็ดกับแม่ดารามาแล้วหลายคน
เหรียญยังมี 2 ด้าน ฉะนั้นการจะมีหรือไม่มีผู้จัดการดาราก็ถือว่ามีทั้งข้อดีข้อเสีย เพราะถึงอย่างไร 2 อาชีพนี้ก็ยังคงเป็นอาชีพที่ขาดกันไม่ได้ ต้องคอยเกื้อหนุนกันตลอดเวลาอยู่ดี
โฆษณา