29 พ.ย. 2019 เวลา 05:19 • กีฬา
EP.081 - Book Review The Mixer เจาะลึกแท็กติกพรีเมียร์ลีก
หนังสือเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์และพัฒนาการทางด้านแท็กติกต่างๆตั้งแต่เริ่มเปลี่ยนระบบจากดิวิชั่น 1 แยกออกมาเป็นพรีเมียร์ลีกในปี 1992 จนถึงปัจจุบัน เหมือนคำจำกัดความที่ระบุไว้ที่ปกว่า “จากโยนมั่วไร้จุดหมาย สู่ ฟอลส์ไนน์อัจฉริยะ”
หนังสือแบ่งเรื่องราวไว้คร่าวๆ 8 ส่วน
1. จุดเริ่มต้น ยุคตั้งไข่ของพรีเมียร์ลีก
ก่อนหน้านี้ เกมฟุตบอลมีความน่าเบื่อ เพราะสมัยนั้นในช่วงท้ายๆเกม ทีมนำมักจะถ่วงเวลาโดยการส่งคืนหลังให้ผู้รักษาประตู โดยผู้รักษาประตูจะใช้มือจับลูกบอลได้ ซึ่งในปี 1992 นั่น พรีเมียร์ลีกได้ออกกฏ Back Pass ขึ้นมา โดยห้ามไม่ให้ผู้รักษาประตูใช้มือจับลูกที่ฝ่ายเดียวกันส่งคืน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกฟุตบอล การถ่วงเวลาทำได้ยากขึ้น เกมดำเนินไปด้วยความเร็วขึ้น มีความสนุกมากขึ้น และนอกจากนั้น ผู้รักษาประตูของอังกฤษเจอความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่โดยโดนบังคับให้มีส่วนกับการต่อบอลของทีมมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้รักษาประตูยุคเก่า(โดบเฉพาะชาวอังกฤษ) ที่ใช้เท้าได้ไม่ดีค่อยๆโดนกลืนหายไปกับกาลเวลา
2. ความก้าวหน้าด้านเทคนิค
เอริก คันโตน่า เมื่อย้ายเข้ามาสู่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ทำให้การเล่นของทีมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากทีมที่เล่นกันไม่เป็นทรง กลับเล่นกันได้อย่างมีรูปแบบที่ลงตัว แท็กติกของอเล็ก เฟอร์กูสัน จาก 4-4-2 กลางมาเป็น 4-4-1-1 โดยใช้คันโตน่าเป็นหน้าต่ำนั้นมีประสิทธิภาพมาก และยังส่งผลกระทบต่อไปให้ทีมอื่นๆมองหานักเตะแบบนี้เข้ามาสู่ทีมด้วย ตัวอย่างเด่นๆได้แก่ อาเซนอลซื้อเดนนิส เบิร์กแคมป์ เชลซีซื้อจิอันฟรังโก้ โซล่า (สังเกตได้ชัดว่า สามทีมนี้คือทีมที่ประสบความสำเร็จอันดับต้นๆในช่วง 10 ปีแรกของพรีเมียร์ลีก) เนื่องจากสไตล์หน้าต่ำแบบนี้ มักจะยืนอยู่ในตำแหน่งระหว่างไลน์กองหลังและกองกลางของคู่ต่อสู้ ทำให้มันสร้างความมึนงงในการประกบให้กับฝั่งตรงข้ามเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ เมื่ออาเซนอลได้ตัวอาร์เเซน เวนเกอร์เข้ามาคุมทีม นับว่าเป็นผู้จัดการทีมชาวต่างชาติยุคเเรกๆที่เข้ามาคุมทีมในพรีเมียร์ลีก และได้นำพัฒนาการต่างๆเข้ามาสู่ลีกอย่างมหาศาล เช่น ในเรื่องของโภชนาการ เวนเกอร์ได้เปลี่ยนเรื่องราวของโภชนาการใหม่ทั้งหมด ทำให้ร่างกายของนักเตะอาเซนอลดูดีขึ้นผิดหูผิดตา จนทีมต่างๆในลีกได้นำเอาไปใช้กันอย่างแพร่หลาย รวมไปถึงการลดการดื่มแอลกอฮอร์ของนักเตะอังกฤษโดยมีโทนี่ อดัมส์ กัปตันทีมที่ตอนนั้นออกมายอมรับว่า เป็นโรคติดเหล้า ช่วยเป็นกระบอกเสียงในการลดละอีกด้วย นอกจากนี้ เวนเกอร์ยังซื้อนักเตะต่างชาติเข้ามาร่วมทีมมากมาย ทำให้เป็นการเปิดโลกพรีเมียร์ลีกของนักเตะต่างชาติอีกด้วย
จากนั้น การแจ้งเกิดของ นิโกล่า อเนลก้า และ ไมเคิล โอเว่น ที่มีความเร็วจัดนั้น ได้เปลี่ยนแนวคิดของการใช้งานกองหลังไปอย่างสิ้นเชิง จากเมื่อก่อนนิยมใช้กองหลังตัวใหญ่ไว้ชนกับกองหน้าจอมโหม่ง กลายมาเป็นกองหลังที่มีความไวเพื่อรับมือกองหน้าความเร็วสูงมากยิ่งขึ้น (ถ้าจำกันได้ ยุคก่อนหน้านั้น กองหลังตัวหลักของเเมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดยังเป็น เเกรี่ พัลลิสเตอร์ อยู่เลย)
3. ความนิยมออกสู่วงกว้าง
ในช่วงนี้ ทีมจากพรีเมียร์ลีกเริ่มที่จะสร้างความสำเร็จในเวทียุโรปแล้ว สิ่งที่เป็นส่วนสำคัญมากๆ คือ ระบบการโรเตชั่นนักเตะ เห็นชัดในยุคทริปเบิ้ลเเชมป์ของเเมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดปี 1999 นั่น มีการหมุนเวียนผู้เล่นกันเป็นจำนวนมาก เพื่อรักษาความฟิต และ เปลี่ยนแท็กติกให้สามารถสู้กับทีมจากยุโรปในแต่ละนัดได้ รวมถึงการเข้ามาของนักเตะต่างชาติจำนวนมาก ถึงขนาดว่าในช่วงนั้น มีบางเกมที่เชลซี และ อาเซนอล ส่งผู้เล่นตัวจริง 11 คน ไม่มีนักเตะอังกฤษแม้แต่คนเดียว
4. เข้าสู่ความเป็นสากล
ตั้งแต่ปี 2000 แผนยอดนิยม 4-4-2 ได้ถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากความล้มเหลวของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในเวทียุโรป เพราะ อเล็ก เฟอร์กูสันเห็นว่า ทีมผลงานไม่ดีเลย เมื่อต้องเจอกับทีมยุโรปที่ใช้กองกลางตรงกลาง 3 ตัว เช่น 4-3-3 หรือ 4-4-2 แบบ diamond ทำให้ทีมครองบอลสู้ทีมอื่นไม่ได้ ส่งผลให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นทีมแรกในอังกฤษที่เริ่มเปลี่ยนมาใช้แผน 4-5-1 หรือกองหน้าตัวเดียว (ตอนนั้นจำได้ว่า อเล็ก เฟอร์กูสันโดนด่ามากกว่าเพี้ยน) โดยในตอนนั้น ทีมได้นำเข้านักเตะอย่าง รุด ฟาน นิสเตอร์รอย และ ฮวน เซบาลเตียน เวรอน เข้ามาสู่ทีม (เวรอนนี้ นักเตะขวัญใจผมเลย โตตรชอบ)
หรือแม้แต่ อาเซนอล ที่ถึงแม้จะเล่นระบบ 4-4-2 แต่กองหน้าทั้งสองคนอย่างเดนนิส เบิร์กแคมป์ และ เธียร์รี่ อองรี ก็ไม่มีใครยืนอยู่ในกรอบเขตโทษเลย โดนจะลงมาช่วยกองกลางและปีกต่อบอลเสมอ ทำให้กองหลังฝั่งตรงข้ามต้องปรับวิธีการรับมือกันให้วุ่น
รวมไปถึงการพัฒนาการของนักเตะอังกฤษ คนที่สร้างผลกระทบได้เยอะที่สุด คือ กองหลังอย่าง ริโอ เฟอร์ดินาน เนื่องจากในช่วงก่อนหน้านั้น กองหลังส่วนใหญ่มักจะมีแต่พลัง แต่ริโอ กลับเป็นกองหลังสไตล์ยุโรป ที่มีความเร็ว และ มีการจ่ายบอลและเลี้ยงบอลได้ดี ทำให้มันได้เปลี่ยนมุมมองของกองหลังอังกฤษไปโดยสิ้นเชิง มีส่วนในเกมรุกของทีมมากยิ่งขึ้น
แต่ที่ส่งผลกระทบมากที่สุด คือ โคล้ด มาเกเลเล่ มันทำให้เกิดนักเตะสไตล์มาเกเลเล่ขึ้นเป็นจำนวนมาก คือ จ่ายบอลสั้น เน้นปลอดภัย ไม่เติมสูงและปักหลักอยู่หน้ากองหลัง เปลี่ยนจากยุคที่ลีกเล่นเปิดหน้าเเลกกันสนุกมาสู่ยุคเล่นเน้นความปลอดภัยมากที่สุดเลย
5. กลยุทธิ์ตอบโต้
ในช่วงกลางทศวรรษ 2000 นั้น พรีเมียร์ลีกโดนอิทธิพลจากคาบสมุทรไอบีเรียเข้ามาครอบงำ ได้แก่ ผู้จัดการทีมอย่าง โชเซ่ มูริญโญ่ และ ราฟาเอล เบนิเตซ โดนการเข้ามาของทั้งสองคนนี้ ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้พรีเมียร์ลีกอย่างมหาศาล เพราะ ในยุคของอเล็ก เฟอร์กูสัน และ อาร์แซน เวนเกอร์นั้น ทักษะของนักเตะมีความสำคัญมาก แต่ในมูริญโญ่และเบนิเตซนั้น แท็กติกของผู้จัดการทีมมีความสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เกมรับมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ดูได้จากปี 2004 นั้น กรีซคว้าเเชมป์ยูโร 2004 ได้ รวมถึง ปอร์โต้คว้าแชมป์ UCL และ ลิเวอร์พูลก็ทำได้เช่นกันในปีต่อมา รวมถึงสไตล์ 4-3-3 โดยการใช้มิดฟิล 3 ตัวตรงกลาง เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในลีก
6. การโจมตีแบบรวดเร็วฉับไว
ยุคนี้ว่าไว้ถึงเกมโต้กลับที่มีประสิทธิภาพสูงของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยการนำของโรนัลโด้ และ เวนย์ รูย์นี่ ที่ทำให้ทีมประสบความสำเร็จสูงมากในยุคนั้นทั้งในลีกและบอลยุโรป
นอกจากนั้น การเเจ้งเกิดของ รอรี ดีแลป นั้น สร้างความปั่นป่วนให้กับลีกได้อย่างมหาศาล อาวุธอันทรงพลังอย่างการทุ่มไกลนั้นมีประโยชน์มาก และการคุมทีมของโทนี พูลิส (รวมถึงแซม อัลลาไดซ์ ในยุค ก่อนหน้านี้) เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับทีมเล็กๆที่จะใช้ในการสู้กับทีมใหญ่ทุนหนาได้
ยิ่งไปกว่านั้น ยุคนี้ เกิดการเล่นแบบใหม่ของตำแหน่งปีก กล่าวคือ ในยุคเก่านั้น ถนัดขวาเล่นปีกขวา ถนัดซ้ายเล่นปีกซ้าย แต่ยุคนี้ ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านแท็กติก ทำให้เกิด ปีกสลับด้าน คือ ปีกซ้ายถนัดขวา ว่ากันว่า สาเหตุเกิดจากการเกิดขึ้นมาของแบ็คจอมลุย ทำให้ปีกไม่จำเป็นต้องเล่นสไตล์เดียวกันเพราะไม่มีประโยชน์อะไร รวมถึงทีมใหญ่ๆชอบที่จะต่อบอลสั้น นั้นทำให้เมื่อปีกเลือกที่จะเลี้ยงตัดเข้าในแล้ว สามารถยิง หรือ จ่ายบอลให้กองหน้ายิงได้ด้วยขาที่ถนัดได้
7. ยุคแห่งการครองบอล
ยุคนี้ นำโดยกุนซือจอมแท็กติกที่เน้นผลการเเข่งขันเป็นหลัก เน้นการครองบอลและเล่นอย่างรัดกุมยิ่งขึ้น ผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในยุคนี้ ส่วนใหญ่เป็นชาวอิตาลี เช่น อัลเชล็อตติ และ ดิ มัตเตโอ ของเชลซี, มันชินี่ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้, รวมถึง ฟาบิโอ คาเปลโล่ ก็มาเป็นผู้จัดการทีมชาติอังกฤษอีก แต่เนื่องจากสไตล์ที่ถึงแม้ว่าจะครองบอลเยอะแต่ก็ยังไม่มีสไตล์ที่เด่นชัดมาก ทำให้ทีมต่างๆเริ่มมองหาเป้าหมายใหม่ คือ ผู้จัดการทีมจากลีกสเปน
Tiki Taka เป็นสไตล์การจ่ายบอลสั้นๆไปๆมาๆของสเปน และ บาเซโลน่า ได้เริ่มที่จะนำเข้ามาเเพร่หลายในพรีเมียร์ลีกมากขึ้น ไม่ได้เป็นเฉพาะทีมใหญ่เท่านั้น ทีมเล็กก็เอากับเค้าด้วย สังเกตได้จากเปอเซ็นต์การจ่ายบอลเข้าเป้านั้น สูงขึ้นเป็นอย่างมาก (จ่ายสั้นเข้าเป้าได้มากกว่า) เรียกได้ว่า ทุกคนให้ความสำคัญกับการครองบอลเหนือสิ่งอื่นใด
ยุคนี้ ได้เกิด Playmaker จอมเทคนิคจำนวนมากจากสเปนและทั่วโลกหลั่งไหลเข้ามาลีก เช่น ฮวน มาต้า, ดาวิด ซิลบา, ซานติ กาซอล่า, เฆซุต โอซิล, คริสเตียน อีริคเซ่น, ดูซาน ทาดิช
ยิ่งไปกว่านั้น การเกิดขึ้นของ False Nine ในยูโร 2012 ของทีมชาติสเปน ทำให้เกิดกระเเสของการใช้วิธีนี้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยการไม่มีกองหน้าอยู่ในกรอบเขตโทษ แต่จะให้ลงมาทำเกมร่วมกับนักเตะคนอื่นๆ นักเตะอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ น่าจะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด
8. ยุคหลังจากยุคการครองบอล
เมื่อทีมส่วนใหญ่ เลือกที่จะครองบอล ทำให้ทีมคู่ต่อสู้ต้องปรับตัว ทำให้ยุคต่อมาเกิดการเพรสซิ่งขึ้นมาเป็นจำนวนมากในลีก การกดดันเเย่งบอลให้ได้ไม่ว่าจะอยู่ในส่วนใดของสนามมีความสำคัญมาก ไม่งั้น ก็จะไม่สามารถเเย่งบอลมาครองได้ ผู้จัดการทีมที่ใช้การเพรสซิ่งได้ดีมากๆในลีก คือ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ทั้งตอนที่คุมเซาท์แธมตัน และ สเปอร์ จากนั้นก็ต่อด้วย เจอร์เก้น คล็อปป์ที่ใช้สไตล์เพรสซิ่งดุดันกับทั้งดอร์ทมุนและลิเวอร์พูล แม้แต่เลสเตอร์ในปีที่คว้าเเชมป์ปาฎิหารได้นั้น ก็ใช้เกมเพรสซิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก
ในยุคนี้ สิ่งที่เหมือนกันของทีมที่ประสบความสำเร็จอีกอย่างคือ เริ่มมีการเปลี่ยนกลับมาใช้ระบบเซ็นเตอร์เเบ็ค 3 ตัวอีกครั้ง นำโดยอันโตนิโอ คอนเต้ของเซลซี ระบบ 3-4-3 ในตอนนั้น แพร่หลายมากโดยเฉพาะในอิตาลีที่ทีมที่ทำผลงานดีๆทั้งหลายเลือกใช้ระบบนี้ ระบบนี้ เวลาเล่นเกมรุก จะมีผู้เล่นอย่างน้อย 5 ตัว (หน้า 3 กับ ปีก 2) ทำให้ฝั่งตรงข้ามที่มีหลัง 4 มีปัญหาทันที ส่วนกองกลาง 2 ตัวนั้น จะพร้อมลงมาช่วยเกมรับและยืนแทนตำแหน่งของเซ็นเตอร์แบ็คทั้ง 3 ตัวได้ทันที
…..
ยอมรับว่า ผมอ่านหนังสือเล่นนี้ไปด้วยความเมามันมาก แนะนำสำหรับคนชอบอ่านหนังสือ และ คลั่งไคล้ฟุตบอลอังกฤษ ได้เห็นประวัติความเป็นมา ได้เห็นพัฒนาการ ได้ย้อนรอยความทรงจำในวัยเด็กที่เริ่มดูฟุตบอลใหม่ๆด้วย

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา