Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เล่า withptns
•
ติดตาม
29 พ.ย. 2019 เวลา 12:00 • ปรัชญา
ความแตกต่างระหว่าง Open-Mindedness กับ Closed-Mindedness จากหนังสือ Principles by Ray Dalio
หนึ่งในหลักการใช้ชีวิตที่สำคัญของ Ray Dalio คือการเปิดใจให้กว้าง ยอมรับในความคิดเห็นที่แตกต่าง (Opem-Mindedness) แล้วตอนนี้เราเป็นคนแบบนั้นกันรึยัง ? หรือว่ายังเป็นคนใจแคบไม่ยอมรับฟังความคิดเห็น(Closed-Mindedness)อยู่ ? สามารถหาคำตอบได้จากเรื่องนี้ครับ
ช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมานี้ผมกำลังอ่านหนังสือ Principles อยู่ครับ จนถึงตอนนี้ก็อ่านไปได้เกือบครึ่งเล่มแล้ว
ตอนแรกคิดว่าจะเล่าให้ฟังทีเดียวตอนจบเล่มเลย แต่ระหว่างทางก็เจอหลักการหลายๆอย่างที่น่าสนใจ เลยคิดว่าจะตัดเอาเรื่องน่าสนใจๆมา”เล่า”ให้ฟังเป็นน้ำจิ้มก่อนจะจัดเนื้อหาทั้งเล่มแบบยาวๆละกันครับ
วันนี้ก็เลยนำประเด็นเรื่องของ Open-Mindedness และ Closed-Mindedness ที่น่าจะเข้า Theme กับเพจ”เล่า”ในช่วงนี้พอดี เพราะคนเริ่มเยอะขึ้น แอดมินก็อยากให้เพจนี้เป็นสังคมของการแบ่งปันและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่มีประโยชน์ต่อกัน
หรือก็คืออยากให้ทุกคนเป็น Open-Mindedness คนที่เปิดใจกว้างยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างนั่นเองครับ คือเห็นต่างได้ แต่ควรติเพื่อก่อ ไม่ชวนทะเลาะกันในเพจ เพราะนอกจากจะทำให้เพจนี้เป็นสังคมที่น่าอยู่มากขึ้นแล้ว ยังทำให้แต่ละคนได้นำทักษะตรงนี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันกันมากขึ้นด้วย
❓❓ ทำไมต้อง Open-Mindedness ❓❓
การเปิดใจให้กว้างเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากคนรอบข้างเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่จะทำให้เราพัฒนาตนเองไปได้ไกลมากขึ้น
ถ้าคุณยังเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง และยืนกรานที่จะไม่รับฟังความคิดเห็นจากคนอื่น ความคิดของคุณอาจจะดีก็จริง แต่มันก็จะเป็นเพียง”ความคิดที่ดีแต่หยุดพัฒนา”
จะดีกว่ามั้ย ถ้าความคิดของคุณถูกเปิดกว้างเพื่อรับความคิดเห็นจากหลายๆฝ่ายและพัฒนาให้มันเป็นความคิดที่ดียิ่งขึ้นไป
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องมีความ Open-Mindedness ทั้งในการทำงานและการใช้ชีวิต
เพราะฉะนั้นวันนี้ผมจะมาเปรียบเทียบให้ดูว่า คนแบบไหนเรียกว่า Open-Minded (ฝั่งขวา) คนแบบไหนเรียกว่า Closed-Minded (ฝั่งซ้าย) ถ้าใครรู้ตัวว่าตัวเองยังอยู่ฝั่งซ้ายอยู่ในบางข้อ จะได้รีบก้าวข้ามมาในฝั่งขวาได้ทันครับ
ในส่วนของหลักการใช้ชีวิตของ Ray นั้นได้ระบุไว้ว่าคนที่ Closed-Mindedness กับ Open-Mindedness จะมีความแตกต่างกันแบบสุดขั้วที่สามารถแบ่งออกมาได้หลายข้อครับ แต่วันนี้จะนำมาเล่าให้ฟัง 5 ข้อตามฝั่งซ้าย-ขวาในรูปได้ดังนี้
Don’t want their idea challenged ⚔️ Understand that they might be wrong
คนที่ Closed-Mind จะไม่ชอบให้คนท้าทายความคิดของตัวเอง หรือก็คือคิดว่าความคิดของตนนั้นถูกต้อง 100% ถ้าใครมาท้ายทายหรือตั้งคำถามก็จะไม่พอใจ
ในขณะที่คน Open-Minded จะเข้าใจว่าตนมีโอกาสผิดพลาดได้เสมอ ดังนั้นจึงเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น และนำมาปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นได้ต่อไป
Focus on being understood ⚔️ Focus on understanding others
ส่วนนี้ชัดเจนมากครับ คนที่ Closed-Minded นั้นจะมองตนเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล (Center of Universe) ต้องการให้คนมาเข้าใจ โดยไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่น
ในขณะที่ Open-Minded นั้นจะพยายามทำความเข้าใจคนอื่นๆอยู่เสมอ
“I could be wrong BUT....” ⚔️ “I could be wrong, let hear others opinions”
นี่คือคำพูดติดปากของคนทั้งสองประเภทครับ ที่อาจจะแตกต่างกันแค่นิดเดียว แต่แสดงถึงลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“ผมอาจจะผิดก็ได้นะ แต่...” นี่คือคำพูดติดปากของ Closed-Minded ที่เหมือนจะยอมรับผิด แต่มักจะตามด้วยข้อแก้ตัวต่างๆ ตลอดเวลา
“ผมอาจจะผิดก็ได้นะ งั้นลองมาฟังความคิดเห็นของคนอื่นดูบ้าง” นี่คือสัญญาณของความ Open-Minded อย่างชัดเจน ยอมรับว่าตัวเองอาจจะผิดพลาดได้ และพร้อมจะฟังความคิดเห็นของคนอื่นเสมอโดยไม่แก้ตัวมากมาย
Block others from speaking ⚔️ More interesting in listening than in speaking
Closed-Minded จะพยายามกีดกันไม่ให้คนอื่นได้พูด ลองนึกถึงเวลาประชุมงานแล้วมีคนพูดอยู่คนเดียว ไม่เปิดช่องให้คนอื่นได้พูด แบบนั้นเลยครับ
แต่คนที่ Open-Minded นั้นมักจะชอบฟังมากกว่าชอบพูด จะเป็นคนที่ตกผลึกความคิดของคนอื่นก่อนที่จะเสนอความคิดของตนเองออกมา หรือถ้าเป็นคนที่พูดก่อน ก็มักจะรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นๆอยู่ตลอด
Lack a deep sense of humulity ⚔️ Approach everything knowing that they might be wrong
Humility นั้นหมายถึงความถ่อมเนื้อถ่อมตัว ดังนั้น Closed-Minded คือคนที่ไม่ค่อยมีความถ่อมเนื้อถ่อมตัวเท่าไหร่นัก หรือออกจะเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองสูง Ego สูง
ซึ่งไม่ได้หมายความว่าไม่ดีนะครับ การมั่นใจในตัวเองนั้นดี แต่ถ้ามั่นใจในเรื่องที่ตัวเอง
ไม่ได้รู้จริง เช่นป่วยแล้วไปเถียงกับหมอ แบบนี้ก็คงไม่ดีเท่าไหร่เนอะ
ในขณะที่ Open-Minded นั้นมักจะทำทุกอย่างโดยรู้ตัวเองอยู่เสมอว่าตัวเองนั้นสามารถผิดพลาดได้ตลอดเวลา เพราะรู้ดีว่าต่อให้คุณเชี่ยวชาญในบางเรื่องมากๆ แต่คุณไม่สามารถรู้ทุกเรื่องได้หรอกครับ
หรือพูดง่ายๆก็คือ เป็นคนเก่ง แต่ถ่อมตัวว่าตัวเองไม่ได้รู้ทั้งหมดนั่นเองครับ
ก็ครบแล้วกับความแตกต่างทั้ง 5 ข้อ ของ Closed-Mindedness และ Open-Mindedness ครับ
ถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้ก็คงจะเข้าใจตรงกันว่าการเปิดใจให้กว้างรับฟังความคิดของคนอื่นๆนั้นเป็นคุณสมบัติที่ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ก็อยากให้ทุกคนขยับมาอยู่ในฝั่งขวามือกันให้ได้เยอะๆนะครับ ถ้าใครที่ Open-Minded อยู่แล้วก็ดีมาก เพราะน่าจะทำให้การใช้ชีวิตและการทำงานของแต่ละคนดีขึ้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ผมเองก็พยายามทำเพจ”เล่า”นี้โดยเปิดใจให้กว้างมากที่สุดเนอะ ถ้าเจอ Comment ที่ดีก็ดีไป บางทีเจอ Comment ที่ไม่ดีก็จะพยายามตอบดีๆและหลีกเลี่ยงการโต้เถียงให้มากที่สุดนะครับ 🤓🤓
สำหรับหนังสือ Principles เองยังมีเนื้อหาที่น่าสนใจอีกมากมายที่ผมจะหยิบมา”เล่า”ให้ฟังกันเรื่อยๆ รวมไปถึงเรื่องน่าสนใจของหนังสือเล่มอื่นๆ และเกร็ดความรู้ต่างๆ ด้วย สนใจก็กดติดตามเพจ “เล่า” ไว้เพื่อที่จะไม่พลาดเนื้อหาดีๆในอนาคต
ส่วนถ้าใครไม่อยากพลาดทุกโพสต์ของเพจ “เล่า” แอดมินแนะนำให้กด See First เอาไว้ด้วยครับ :)
ติดตามเรื่อง “เล่า” ผ่าน facebook ได้ที่
https://www.facebook.com/lao.unfold
#เล่า #เล่าหนังสือ #เล่าความรู้ #unfold #ส่งเสริมการอ่าน #ส่งเสริมการเรียนรู้ #Principles #RayDalio #OpenMindedness #ClosedMindedness
7 บันทึก
14
2
14
7
14
2
14
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย