8 ธ.ค. 2019 เวลา 10:02 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
ต่อมากับบุคคลที่มีความสำคัญต่อวงการคณิตศาสตร์นั่นคือ
ปิทากอรัส (Pythagoras : 582 - 497 B.C.)
เกิด : ซามอส (SAMOS) กรีซ (Greece) ประมาณ 582 ปีก่อนคริสตกาล
เสียชีวิต : ไม่ปรากฏ ประมาณ 497 ปีก่อนคริสตกาล
โดยมีทฤษฎีเรขาคณิตบทหนึ่งของยูคลิด เล่ม 1.47 กล่าวว่า..
“พื้นที่ของสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่สร้างขค้นบนด้านทแยงของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ย่อมเท่ากับผลบวกของพื้นที่ของสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่สร้างขึ้น”
ทฤษฎีเราขาคณิตบทนี้ แต่เดิมได้แพร่หลายในประเทศอียิปต์ ต่อมาก็กระจายไปทั่วโลก
ทฤษฎีนี้แต่เดิมก็เชื่อว่าดป็นความจริงโดยไม่มีใครคัดค้าน ต่อมาในสมัยหลังๆ เจมส์ อบรัม การ์ฟิลด์ (James Abram Garfield : 1831 - 1881) ประธานาธิบดีคนที่ 20 แห่งสหรัฐได้ทำการพิสูจน์ยืนยันว่าทฤษฎีนี้เป็นความจริง
โดยทดลองง่ายๆ โดยการสร้างรูปสามเหลี่ยมมุมฉากแล้วสร้างรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขุ้นบนด้านทั้งสามของสามเหลี่ยม
ก็จะสรุปได้ว่า ผลบวกพื้นที่ของสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่สร้างบนด้านประกอบมุมฉากเท่ากับพื้นที่ของสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่สร้างบนด้านทแยงของสามเหลี่ยมมุมฉากจริง และผู้ที่ค้นพบความจริงดังกล่าวคือ ปิทากอรัส (Pythagoras) นักปราชญ์ชาวกรีก
ปิทากอรัส นั้นเกิดที่เมืองซามอส ประเทศกรีก ไม่มีใครรู้รายละเอียดเกี่ยวกับชีวประวัติชีวิตของเขา คนส่วนมากรู้แค่ว่า เขาเป็นนักท่องเที่ยวที่หาตัวจับได้ยากคนหนึ่ง
ปิทากอรัส ถูกเนรเทศออกจากประเทศกรีกไปอยู่ทางตอนใต้ของอิตาลี เขาจึงตั้งรกรากอยู่ที่นั่นขณะนั้นทางตอนใต้ของอิตาลีเป็นเมืองขึ้นของกรีกอยู่
ปิทากอรัสเป็นคนที่สนใจเกี่ยวกับวิชาคณิตศาสตร์มาก เขาศึกษาเกี่ยวกับวิชานี้อยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเรื่องของตัวเลข เขาคิดว่าตัวเลขนั้นมีความเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์แขนงอื่นอย่างมาก
เหตุนี้เองที่ปิทากอรัสมีความรู้อย่างกว้างขว้างทางคณิตศาสตร์ จึงทำให้พวกขุนนางและผู้ดีมีตระกูลทั้งหลายส่งบุตรหลานมาเรียนวิชาคณิตศาสตร์กับเขา
การสอนของปิทากอรัสส่วนมากก็เน้นไปทางตัวเลข เขาเคยกล่าวว่า “เลขเป็นสิ่งควบคุมความเป็นระเบียบของโลก” และผู้ที่รู้เรื่องราวของตัวเลขดีก็คือ ผู้ที่เรียนรู้เรื่องราวของธรรมชาติโดยตลอด ซึ่งถ้าเราพิจารณาดูแล้วก็จะเป็นความจริง ยกตัวอย่างเช่น การใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน การก่อสร้าง การเงิน ล้วนเกี่ยวข้องกับตัวเลขและคณิตศาสตร์ทั้งสิ้น
ต่อมาเมื่อมีผู้มาเล่าเรียนมากขึ้นปละต่างมีความซาบซึ้งในวิชาคณิตศาสตร์อย่างจริงจัง
ปิทากอรัสจึงได้รวบรวบรรดาพรรคพวกเหล่านี้ตั้งเป็นชุมนุมขึ้นโดยใช้ชื่อว่า ชุมนุมปิทากอเรียน (Pythagorean)
บรรดาสมาชิกเหล่านี้ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะเก็บเรื่องราวทั้งหมดไว้เป็นความลับ ไม่ยอมเผยแพร่ให้ใครรู้ นอกจากพวกที่เข้ามาศึกษาอยู่ในชุมนุมนี้เท่านั้น
ปิทากอรัสและบรรดาสามชิกเชื่กันว่า คนกับสัตว์มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด คนเราเมื่อตายไปแล้ววิญญาณจะกลับมาเกิดใหม่ได้ แต่จะเกิดเป็นคนหรือสัตว์ก็แล้วแต่กรรมที่ทำไว้ ถ้าทำดีก็ไม่เกิดเป็นสัตว์ ความคิดเช่นนี้เรียกว่า “Transmigration of soul” ดังนั้นชุมนุมนี้จึงมุ่งให้คนเป็นคนดี
ปิทากอรัสเชื่อว่าโลกมีลักษณะเป็นรูปทรงกลมหมุนรอบตัวเอง และเชื่อว่าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวเคราะห์ต่างไป มีลักษณะเป็นทรงกลมและหมุนรอบตัวเองด้วย การโคจรของบรรดาดาวเคราะห์ทั้งหลายในจักรวาลนั้นเป็นวงรี
ตามที่กล่าวไปนั้นว่าปฏิมาโอรัสไม่ได้สนใจแต่วิชาคณิตศาสตร์อย่างเดียว เขายังสนใจในปสงอีกด้วย
เมื่อปิทากอรัสได้ศึกษาในด้านแสงแล้วจึงสรุปออกมาว่า แสงสว่างเป็นอนุภาคเล็กๆ ออกมากระทบประสาทตาเรา
ในด้านของเสียงนั้น ปิทากอรัสคเนพบว่า เสัยงเกิดจากการสั่นสะเทือนของเส้นลวดและวัตถุต่างไป ครั้งหนึ่งเขาเดินผ่านร้านช่างตีเหล็ก ได้ยินเสียงค้อนกระทบกับแผ่นเหล็กกังวานเหมือนเสียงเพลง
จึงกลับมาทดลองโดยใช้เส้นลวดขนาดต่างๆ ในที่สุดเขาก็พบว่าลวดสั้นจะให้เสียงสูงกว่าลวดยาว และเสียงจะผสมกลมกลืนกันได้จะต้องอาศัยอัตราส่วนความยาวของลวดเหล่านั้นให้มีความสัมพันธ์พอเหมาะกัน
ถึงแม้ว่าปิทากอรัสและพรรคพวกจะไม่ได้บันทึกผลงานส่วนใหญ่ของตัวเองไว้ ปราชญ์รุ่นหลัง เช่น ยูคลิด ได้เป็นผู้รวบรวมผลงานของปิทากอรัสไว้ จึงทำให้โลกรู้จักเขามาจนทุกวันนี้
reference : หนังสือนักวิทยาศาสตร์เอกของโลก
โฆษณา