11 ธ.ค. 2019 เวลา 05:00 • ประวัติศาสตร์
“เจงกิสข่าน (Genghis Khan) ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิมองโกล” ตอนที่ 7 (ตอนจบ)
1
อวสานเจงกิสข่าน
ค.ศ.1219 (พ.ศ.1762) เจงกิสข่านซึ่งเริ่มจะมีอายุมากแล้ว ได้ตัดสินใจจะเลือกผู้สืบทอดตำแหน่ง
เจงกิสข่านเรียกลูกชายทั้งสี่มาพบ โดยให้โจชิ ลูกชายคนโตเป็นคนพูดก่อน ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่ลูกคนอื่นๆ เนื่องจากโจชินั้น เกิดหลังจากที่บอร์เต ได้ถูกลักพาตัวไปและถูกช่วยเหลือกลับมาได้ไม่นาน (ดูรายละเอียดส่วนนี้ได้ในตอนก่อนๆ ครับ) ทำให้หลายคนไม่มั่นใจว่าโจชิเป็นลูกของเจงกิสข่านจริงๆ แต่อาจจะเป็นลูกของเผ่าที่ลักพาตัวบอร์เตไป
เมื่อลูกคนอื่นๆ ไม่พอใจ ต่างก็พูดประท้วง ทำให้โจชิไม่พอใจ และพี่น้องต่างก็ทะเลาะกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือ
เจงกิสข่านได้พูดเตือนสติให้เห็นถึงผลเสียของความแตกแยก และกว่าจะรวบรวมเผ่าต่างๆ ให้เป็นปึกแผ่นนั้นยากแค่ไหน
เจงกิสข่านรู้ได้ทันทีว่าหากปล่อยให้ลูกคนใดคนหนึ่งเป็นใหญ่ จะต้องเกิดสงครามตามมาแน่ พี่น้องต้องฆ่ากันเองแน่
เจงกิสข่านจึงได้แบ่งดินแดนให้ลูกแต่ละคนครอบครอง แต่ละคนนั้นมีอำนาจต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่
1
เมื่อตัดสินใจเรื่องทายาทลงตัว เจงกิสข่านก็ได้เดินหน้าสิ่งที่ตนเองคิดอยู่ในใจ
นั่นคือการพุ่งเป้าไปยัง “จักรวรรดิควาริซึม”
จักรวรรดิควาริซึม (Khwarizm Empire) คือพื้นที่ที่เป็นประเทศอิหร่าน อัฟกานิสถาน เติร์กเมนิสถาน อุซเบกิสถาน และประเทศในแถบนั้น
จักรวรรดิควาริซึมเป็นอาณาจักรที่มีอายุไล่เลี่ยกับมองโกล และมีพื้นที่กว้างใหญ่ และผู้คนก็ยังถนัดในการทำกระจก แก้ว เหล็ก รวมทั้งยังเชี่ยวชาญการทอผ้า
เจงกิสข่านได้ส่งม้าเร็วไปเข้าเฝ้าผู้นำควาริซึม นั่นคือ “สุลต่านมูฮัมหมัดที่ 2 (Muhammad II of Khwarazm)”
สุลต่านมูฮัมหมัดที่ 2 (Muhammad II of Khwarazm)
สาส์นจากเจงกิสข่านนั้นมีเนื้อความว่า เจงกิสข่านไม่ได้ต้องการจะรุกรานจักรวรรดิควาริซึม เพียงแค่ต้องการติดต่อค้าขายอย่างสันติ
ท่านสุลต่านทรงคิดว่าพวกมองโกลนั้นเป็นคนเถื่อน ไร้อารยธรรม และไม่ต้องการให้พวกมองโกลเข้ามา
1
แต่ถึงอย่างนั้นท่านสุลต่านก็ทรงเกรงอำนาจของกองทัพมองโกล ท่านสุลต่านจึงทรงตอบตกลง แต่ก็ทรงเตรียมทำศึกกับพวกมองโกลอย่างลับๆ
เจงกิสข่านได้ส่งคาราวานพ่อค้ากว่า 450 นายไปยังเมืองโอทราร์ ซึ่งปัจจุบันคือภาคใต้ของคาซัคสถาน โดยเตรียมที่จะทำการค้า มีทั้งเครื่องเงินและหยก
แต่เจ้าเมืองโอทราร์กลับกล่าวหาว่าพวกพ่อค้าที่เข้ามานั้นเป็นสายลับ จึงสั่งให้ประหารชีวิต
เมื่อเจงกิสข่านทราบก็โกรธ และเรียกร้องให้ท่านสุลต่านแสดงความรับผิดชอบและสั่งให้ลงโทษเจ้าเมืองโอทราร์
แต่แทนที่ท่านสุลต่านจะทำตาม กลับสั่งประหารทูตมองโกลและกรีดหน้าพวกที่ปล่อยให้รอดชีวิต
1
เมื่อเจงกิสข่านทราบก็โมโหมาก เจงกิสข่านได้ขึ้นไปบนเขาพร้อมทั้งสวดมนต์ต่อท้องฟ้า
“โปรดมอบพลังให้ข้าได้ล้างแค้นด้วย”
เจงกิสข่านยกทัพกว่า 100,000 นายบุกไปยังเมืองโอทราร์ และชนะ สามารถตีเมืองโอทราร์และประหารเจ้าเมืองโอทราร์
จากนั้นเจงกิสข่านก็ได้บุกเมืองอื่นต่อ จนในที่สุด ค.ศ.1220 (พ.ศ.1763) จักรวรรดิควาริซึมก็ตกเป็นของเจงกิสข่าน และท่านสุลต่านก็ต้องเสด็จหนีไปที่อื่นจนสิ้นพระชนม์
5
ในเวลานี้ อาณาจักรมองโกลได้ขยายอาณาเขตไปกว้างใหญ่ไพศาล ตั้งแต่ตะวันออกถึงตะวันตก
ค.ศ.1226 (พ.ศ.1769) เจงกิสข่านได้เดินทางกลับไปปราบกบฎที่ตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ซึ่งในระหว่างเดินทางกลับ ม้าของเจงกิสข่านเกิดพยศ และเหวี่ยงเจงกิสข่านลงจากหลังม้า
1
เจงกิสข่านได้รับบาดเจ็บ
เจงกิสข่านนั้นมีไข้สูง และเสียชีวิตในอีกหกเดือนต่อมา
ภายหลังจากเจงกิสข่านเสียชีวิต ลูกหลานของเจงกิสข่านก็ได้ขยายอาณาจักร และขยายอาณาเขตไปค่อนโลก สร้างความเกรียงไกรให้มองโกล
เจงกิสข่านนั้นได้ก่อสงคราม ฆ่าคนจำนวนมาก บุกยึดเมืองต่างๆ
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจงกิสข่านนั้นนำพาความรุ่งเรืองมาสู่อาณาจักรมองโกลจริงๆ
จบลงแล้วสำหรับซีรีย์ชุดนี้ ฝากติดตามซีรีย์ชุดต่อไปด้วยนะครับ
โฆษณา