ปัจจุบันมีการแบ่งกลุ่ม Internet of Things ออกตามตลาดการใช้งานเป็น 2 กลุ่มได้แก่
Commercial IoT
คือแบ่งจาก local network ที่มีหลายเทคโนโลยีที่แตกต่างกันในโครงข่าย Sensor nodes โดยตัวอุปกรณ์ IoT Device ในกลุ่มนี้จะเชื่อมต่อแบบ IP network เพื่อเข้าสู่อินเทอร์เน็ต
Industrial IoT
คือแบ่งจาก local communication ที่เป็น Bluetooth หรือ Ethernet (wired or wireless) โดยตัวอุปกรณ์ IoT Device ในกลุ่มนี้จะสื่อสารภายในกลุ่ม Sensor nodes เดียวกันเท่านั้นหรือเป็นแบบ local devices เพียงอย่างเดียวอาจไม่ได้เชื่อมสู่อินเทอร์เน็ต
แนวคิดเรื่อง IoT (Internet of Things)
จริง ๆ แล้วแนวคิดนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 1999 เดิมทีแนวคิดนี้เริ่มมาจาก บิดาแห่ง Internet of Things นั้นคือ Kevin Ashton ในตอนที่เขาได้ทำงานวิจัยอยู่ที่มหาวิทยาลัย Massachusetts Institute of Technology หรือ เรียกสั้น ๆ ว่า MIT เขานั้นได้ถูกเชิญให้ไปบรรยายเรื่องนี้ให้กับบริษัท Procter & Gamble (P&G) เป็นบริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภค ซึ่งเขาได้นำเสนอโครงการที่มีชื่อว่า Auto-ID Center ซึ่งเป็นโครงการที่มีเทคโนโลยีต่อยอดมาจาก Radio frequency identification (RFID) เป็นเทคโนโลยีที่ระบุสิ่งต่าง ๆ โดยอาศัยคลื่นวิทยุ ที่ในตอนนั้นเทคโนโลยีนี้นับเป็นมาตรฐานของโลกเลยก็ว่าได้ สำหรับการจับเซนเซอร์ต่าง ๆ (RFID Sensors) ซึ่งเขาบอกว่า เขาสามารถทำให้ตัวเซนเซอร์เหล่านี้พูดคุย และเชื่อมต่อกันผ่านระบบ Auto-ID ของเขาได้ โดยการบรรยายให้กับ P&G ครั้งนั้น Kevin ได้พูดถึง Internet of Things ในสไลด์การบรรยายของเขาในครั้งแรก แต่ในตอนนั้น Kevin ได้นิยามเอาไว้ว่า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใด ๆ ก็ตาม ที่สามารถสื่อสารกันได้ถือเป็น Internet-like ทั้งหมดหรือง่าย ๆ คือ เชื่อมต่อสื่อสารกันผ่านระบบสื่อสารแบบเดียวกันกับระบบอินเทอร์เน็ตนั้นเอง โดยคำว่า Things คำสุดท้าย ก็คือคำใช้แทนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านั้นนั่นเอง
ซึ่งปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับการเชื่อมต่อ Internet of Things
เพราะแต่ละอุปกรณ์ หรือ Device เอง การเชื่อมต่อต้องมีที่อยู่เฉพาะตัวเหมือนเลขที่บ้านเวลาเราจะส่งของ อุปกรณ์ก็ต้องการเหมือนกัน ดังนั้นแต่ละอุปกรณ์จะมีเลขของตัวเองเพื่อเชื่อมต่อในระหว่างกัน โดยจำเป็นจะต้องใช้ IP Address version 6 หรือ IPv6 มาเพื่อกำกับหมายเลขให้ไม่ซ้ำกัน ดังนั้น สิ่งนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญของ Internet of Things
Internet of Things ในปัจจุบัน
จริง ๆ แล้วมีอย่างหนึ่งที่บางคนอาจจะคิดไม่ถึงคือ Cloud Storage หรือเรียกว่าบริการฝากไฟล์และประมวลผลข้อมูลผ่านโลกออนไลน์ หรือบางคนอาจจะเรียกว่า ข้อมูลบนก้อนเมฆก็ได้ ถ้าให้ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ ก็จะมีหลายเจ้าที่เปิดให้บริการอย่าง Google Drive, Mega, Dropbox คุณอาจจะพอนึกภาพออกแล้ว ซึ่งสมัยนี้คนนิยมใช้กันมากขึ้น เพราะว่ามันสะดวกมาก ๆ และไม่ต้องกลัวข้อมูลสูญหาย หรือถูกโจรกรรม และยังสามารถกำหนดให้เป็นแบบส่วนตัวหรือสาธารณะก็ได้ และคุณสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา ด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไหนก็ได้ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และมีพื้นที่ใช้สอยมาก แต่ถ้าคุณต้องการมากกว่านี้ คุณสามารถเสียเงินเป็นรายปีได้ และไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้ออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลมากมาย อย่าง Hard Drive หรือ Flash Drive ต่าง ๆ อีก ซึ่งสิ่งจำพวกนี้ก็เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของ Internet of Things จริง ๆ แล้วมันใกล้ตัวคุณกว่าที่คิดมาก ๆ เลย ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้พวกนี้ จะเรียกว่าคุณคือผู้ใช้ส่วนหนึ่งของมันก็ว่าได้
Cloud storage คือการเก็บข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต
ถ้าให้ยกตัวอย่าง Internet of Things ให้เข้าใจง่ายมากขึ้น และคนหลายคนรู้จักก็คงจะเป็น “Google’ s — Driverless Cars” หรือรถไร้คนขับของกูเกิลนั่นเอง รถนี้จะตรวจจับสัญญาณเซนเซอร์รอบคัน เพื่อวิเคราะห์ว่ามีรถใกล้ ๆ หรือไม่ เพื่อกันอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นหรือเลนไหนถึงจะถูกต้องในการขับขี่ประเทศนั้น ๆ เพราะแต่ละประเทศมีกฎจราจรการขับขี่ที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ยังมีความสามารถเพิ่มเข้ามาอีก คือการวิเคราะห์การจราจร ว่าถ้าถนนเส้นนี้ติดขัด จะแสดงผลบอกให้รถอีกคันรู้ เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงเส้นทางนี้ ซึ่งในอนาคตรถยนต์ไร้คนขับพร้อมให้บริการเป็นรถโดยสาร ซึ่งสามารถใช้แอปพลิเคชันเรียกรถยนต์ไร้คนขับเพื่อไปส่งในสถานที่ที่ต้องการได้
รถยนต์ไร้คนขับ( Google self-driving car) ของ Waymo