16 ธ.ค. 2019 เวลา 04:55 • ธุรกิจ
วันหนึ่งที่สนาม เวมบลีย์ มีชายคนหนึ่งพกความหงุดหงิดอย่างแรงแล้วบุกเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยผู้สื่อข่าวหลายคนที่ต่างมาทำหน้าที่ในการรายงานความเคลื่อนไหวในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ
ที่แมนเชสเตอร์ซิตี้ได้ทำสิ่งที่น้อยทีมจะทำได้ในประวัตศาสตร์ฟุตบอลร้อยกว่าปี คือการเอาชนะวัตฟอร์ดคว้า 3 แชมป์รวดภายในประเทศ!!!
ชายผู้นี้บอกถึงจุดหมายการมาของเค้าอย่างรวบรัดชัดเจนก่อนจะถูก “เชิญตัว”ออกไป
“ทีมเราเพิ่งได้ 3 แชมป์ในประเทศที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน แต่เดี๋ยวมึงก็คงลงเรื่องของซาล่าห์ตรงปกหลังหนังสือพิมพ์เหมือนเดิมแหละ ไอ้.......(ไม่กล้าเขียนว่าเหี้ยกลัวบทความจะดูไม่สุภาพ..)
เหตุการณ์นี้บอกอะไรเราหลายๆอย่าง...
เพื่อที่จะเขียนบทความนี้ เฮียได้ไปขอคำปรึกษาจากรุ่นพี่ท่านหนึ่งซึ่งเฮียคิดว่าเป็นหนึ่งในกูรูด้านการตลาดที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในนาทีนี้ว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้เราจะมองมันแบบไหนได้บ้างจากมุมมองด้านการตลาด
รุ่นพี่เฮียแนะนำว่า “มึงไปดูเรื่อง Customer Experience สิไอ้........(ไม่กล้าเขียนว่า..สัตว์...กลัวบทความจะดูไม่น่าเชื่อถือ)
เรื่องนี้แปลเป็นไทยตรงๆว่าการสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้า ยกตัวอย่างง่ายๆเหมือนใครเคยไปกินกาแฟเงือกน้อยบ่อยๆจะสังเกตว่า บางทีเวลาเราเข้าไปสั่งเครื่องดื่ม บางที บาริสต้า น่าตาน่ารักจิ้มลิ้มก็จะถามชื่อเรา เช่น อ๋อ... ชื่อพี่อั้นนะคะ วันนี้ทานอะไรดีคะ อ๋อไม่ลองตัวนี้เหรอคะ วันนี้พี่อั้นมาดูหนังเหรอคะ อ๋อ...220 ค่ะ ก่อนที่เราจะได้กาแฟที่บางทีก็เขียนชื่อเราถูกบ้างผิดบ้างพอให้มีเรื่องคุยในเฟสบุ๊ค
จะสังเกตว่าช่วงเวลาที่เราใช้ไปในร้านนอกจากเราจะได้กาแฟเรายังได้ประสบการณ์ และ ความรู้สึกดีๆที่ไม่เคยได้จากเมีย เอ้ย ไม่เคยได้จากกาแฟร้านอื่นมาเต็มเปี่ยม
การจะทำอะไรแบบนี้ได้ความใส่ใจเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งบอกได้เลยว่าสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลก็ให้ความใส่ใจตรงนี้มากๆ
แน่นอนว่าถ้ามองในมุมการสร้างแบรนด์ธุรกิจทีมฟุตบอลมีลักษณะพิเศษกว่าธุรกิจอื่นๆคือ แฟนๆจะมีความจงรักภักดีกับแบรนด์สูงมาก
เช่นในชีวิตเราอาจจะเปลี่ยนโทรศัพท์ไปหลายยี่ห้อ แต่ สำหรับการเชียร์บอลแฟนบอลตัวจริงส่วนใหญ่จะเชียร์ไปตลอดชีวิต
ดังนั้นในแต่ละเจเนอเรชั่นเราจะเลือกทีมเชียร์ที่ต่างกันขึ้นอยู่กับผลงานของทีมในวันที่เราเริ่มเชียร์ เช่นเราอาจยังไม่ค่อยเห็นแฟนแมนซิตี้ที่มีอายุมากๆในเมืองไทย แต่ เราจะเห็นเด็กรุ่นใหม่หลายๆคนเชียร์แมนซิตี้กันเยอะ
ในส่วนของลิเวอร์พูลความภักดีต่อแบรนด์ยิ่งน่าสนใจ เพราะเด็กรุ่นใหม่ๆหลายคนที่เชียร์ลิเวอร์พูลแทบไม่เคยเห็นเราเป็นแชมป์เลยด้วยซ้ำแต่ก็ยังเชียร์อยู่แบบเหนียวแน่นไม่เคยเปลี่ยน
ดังนั้นประสบการณ์ของแฟนบอลลิเวอร์พูลที่มีต่อแบรนด์อาจจะไม่ได้มาจากความประสบผลสำเร็จในแง่ถ้วยรางวัลไปซะทั้งหมด แต่บางทีเกิดจากความผูกพันอะไรบางอย่าง หรือ เหตุการณ์ในชีวิตของแต่ละคน (จากที่เฮียเคยคุยกับแฟนหงส์หลายคนล้วนมีเหตุผลที่เริ่มเชียร์มีหลากหลายมาก)
ดังนั้นจากที่เขียนมาเราจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผลงานหรือ “เรื่องราว”ที่เกิดขึ้นในสนามมีผลอย่างแน่นอนต่อความสำเร็จด้านการตลาดของทีม
ทีมที่เลือกสไตล์การเล่นแบบเกมรุกเลือดสาด ย่อมสร้างความสนุกสนานและมีเรื่องให้พูดถึงตลอดเก้าสิบนาทีในสนาม และ ตลอดสัปดาห์ที่ชนะ
ในขณะที่โค้ช หรือ ทีมที่เน้นผลการแข่งขัน โดยใช้สไตล์รัดกุม ถ้าผลการแข่งขันดีจะรอดตัว แต่ถ้าแพ้ขึ้นมาจะถูกด่าเป็นสองเท่าทั้งจากทางสื่อและแฟนๆ
ดังจะเห็นได้จาก ช่วงมูรินโญ่ หรือ ฟานกัลที่ผลงานไม่ได้ขี้เหร่แต่พอมาปะกับทีมแมนยูที่แฟนๆคาดหวังถึงฟุตบอลที่สนุกสนาน และต้องมีความสำเร็จด้วย เพราะแบรนด์ของแมนยูเป็นแบบนั้นมาอย่างยาวนานตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นความคาดหวังกับทีมที่สูงมากนั่นเป็นเหตุผลที่ทั้งคู่ต้องไป
เราจะมองเห็นภาพชัดขึ้นถ้าเรามองการชมฟุตบอลให้เหมือนการดูละครหรือดูซีรี่ย์
ถ้าเราดู “เรื่องราว”ของแมนซิตี้ เราก็จะเห็นทีมที่มีพระเอกรวยมีเงินไม่จำกัด ซื้อนักฟุตบอลที่เก่งที่สุด ชนะฝ่ายตรงข้ามอย่างขาดลอย สุดท้ายได้แชมป์ไปตามความคาดหมาย เอ่อ...ก็ไม่มีพล็อตอะไรให้ตกใจนี่หว่า....
ถ้ามองมุมนี้เราจะรู้เลยว่าสิ่งที่เป็นจุดอ่อนของแมนซิตี้ในแง่การตลาดก็คือ ความสมบูรณ์แบบ(จนเกินไป)นั่นเอง
พูดง่ายๆว่าดูแมนซิตี้ เหมือน ดูซีรี่ย์บ้านทรายทองพระเอกหล่อรวย ถึงจะมีปัญหานางอิจฉามาบ้างแต่สุดท้ายแม่งก็ได้กับนางเอกคือทุกคนเดาตอนจบได้ไม่มีอะไรต้องประหลาดใจ
แต่พอมาดูลิเวอร์พูลนี่เหมือนซีรี่ย์เกมออฟโทรน ซึ่งพระเอกอาจจะถูกตัดหัวโดยไม่รู้ตัว แล้วเอาหัวหมามาเย็บต่อแทนหัวตัวเอง ด้วยแผนการจากตัวประกอบกากๆที่ไหนก็ไม่รู้
เรียกได้ว่าเดาตอนจบไม่ได้ ผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า จะได้แชมป์ก็ลื่น ได้ 97 คะแนนก็แห้ว แต่พอทุกคนหมดหวังไปหมดกลับเกิดปาฎิหารย์แบบไม่น่าเกิดขึ้นบนโลกมนุษย์เสียอย่างนั้น
ทีมอะไรตาม 3-0 ยังกลับมาชนะโคตรทีมอย่างมิลานที่อิสตันบูล ทีมอะไรดันมาชนะทีมที่เก่งที่สุดในกาแล็กซี่ ได้ 4-0 ทั้งๆที่แพ้มา 3-0 เรียกได้ว่าทีมลิเวอร์พูลนี่ไม่ต่างอะไรจากจอน สโนว์ที่ทุกคนคิดว่าตายไปแล้วแต่อยู่ๆคนเขียนที่ใจอำมหิตต่อคนดูมาตลอดเรื่องเสือกลิขิตให้ฟื้นจากความตายมาซะอย่างนั้น
หลังจากเหตุการณ์เอาชนะบาร์เซโลน่า กระแสลิเวอร์พูลขึ้นถึงขีดสุดในโลกโซเชี่ยลเกือบเต็มไปด้วยเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังที่แอนฟิลด์ไปเป็นเดือน
นี่แหละ ความพิเศษของ Customer Experience ประสบการณ์ของแฟนบอลลิเวอร์พูลเป็นอะไรที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นง่ายๆด้วยเงิน หรือ การวางแผน
นี่กลายเป็นสิ่งที่ทำให้เรา “คว้าแชมป์”ด้านการตลาดตัวจริงเสียงจริง
ในยูทูบเราเป็นสโมสรฟุตบอลที่ทำรายได้เป็นอันดับ 1 ในขณะที่เราเป็นที่ 3 ในหมวดช่องฟุตบอลที่แพ้เพียง สกายสปอร์ต และ F2Freestyler เท่านั้น
ข้อมูลจากนิตยสาร Forbes ฉบับเดือนมกราคม 2019 บอกเราว่ามูลค่าสโมสรเราคือ 1,944 ล้านเหรียญสหรัฐสังคปรีชา เพิ่มขึ้นจากเดิม 30% ซึ่งเรียกได้ว่าโคตรเยอะ ไม่นับว่าตอนนั้นเรายังไม่ได้แชมป์ยุโรป6สมัยนะ
สปอนเซอร์ชุดแข่งที่(น่าจะ)เปลี่ยนจากนิวบาลานซ์เป็นไนกี้ค่อนข้างแน่นอนแล้ว (นิวบาลานซ์ยังพยายามอุทธรณ์อยู่แต่ไม่น่ามีปัญหา) ซึ่งจะทำให้ลิเวอร์พูลเข้าตีตลาดปริศนาอย่างจีนง่ายขึ้น
ลองนึกภาพประชากรจีนที่ดู NBA มายาวนานจะกรี๊ดแค่ไหนเมื่อเห็นเลอบรอน เจมส์ใส่เสื้อลิเวอร์พูลในแอดโฆษณา นี่ยังไม่นับความเป็นไปได้ถึงการท้าชิงพื้นที่ความนิยมจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่อเมริกา
ส่วนถ้าจะสู้กันเรื่องสไตล์เมื่อก่อนแมนยูมีแบ็คแฮม วันนี้เราก็มีมาเน่...กลัวที่ไหน
ในอียิปต์ความนิยมของลิเวอร์พูลชนะทุกทีมขาดลอยแน่นอนว่าคงเพราะซาล่าห์ แถมความนิยมยังเพิ่มขึ้นไปทั้งแถบตะวันออกกลาง
ในประเทศไทยข้อมูลจากกูเกิลเทรนด์บอกเราว่าตอนนี้คนค้นหาลิเวอร์พูล 53% แมนยู 42% แมนซิตี้ 5%
ผู้ติดตามในเฟสบุ๊คนับเฉพาะประเทศไทยก็แล้วกันนะครับต้นปีมีคนติดตามราวๆ 32 ล้าน ตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 35 ล้านคนเรียบร้อยแล้ยว นี่ยังไม่นับทวิตเตอร์ที่มีผู้ติดตามราวๆหกแสนหกหมื่นคน ถ้าเทียบกับแมนยูยังถือว่าเป็นรองแต่ถ้าเทียบกับตัวเองจะถือได้ว่ามีการเจริญเติบโตที่สูงมาก
ไม่เพียงเฉพาะประสบการณ์ออนไลน์ แต่ยังรวมถึงประสบการณ์ที่สัมผัสได้จริงด้วย อันนี้ไม่ได้ขิงแต่ถ้าใครที่เคยไปทัวร์สนามแอนฟิลด์ และ โอลด์แทรฟฟอร์ด อาจจะพบถึงความแตกต่างเล็กๆบางอย่าง ในขณะที่ โอลด์แทรฟฟอร์ดดูขลังอลังการณ์ แต่การเยี่ยมชมสนามดูเป็นงานเป็นการมีไกด์ที่ลักษณะคล้ายอาจารย์ใหญ่โรงเรียนฮอกวอร์ดแนะนำเล่าเรื่องราวต่างๆเป็นภาษาอังกฤษ
แต่ถ้าใครที่เคยไปทัวร์แอนฟิลด์นอกจากจะมีไกด์ที่แกดูเป็นคนแก่ติสต์ๆ อยู่ๆก็ร้องเพลงให้เราฟังเหมือนขับลำนำเนื้อเพลงที่เราสัมผัสได้ด้วยใจอารมณ์เหมือนอยู่ในโรงเหล้ายุคกลางฟังกวีขับลำนำแบบในเกมสกายริม แล้วยังมีการแจกเครื่องบันทึกเสียงและหูฟังติดโลโก้ลิเวอร์พูล(ที่ให้เอากลับบ้านได้ด้วย) ที่สำคัญมีภาษาไทยให้เราเลือกฟังด้วยครับ!!!
นี่เป็นความใส่ใจเล็กๆน้อยๆที่น่าประทับใจ ไม่นับถึง ร้านขายของที่ระลึก ความสะอาด และความกระตือรือร้นของสตาฟนอกสนามของลิเวอร์พูลที่มีพลังงานมากมายไม่ต่างจากผู้เล่นในสนามที่วิ่งเพรซซิ่งตลอดเวลาเลย
และบุคคลผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้ แต่ละคนก็ล้วนแต่เป็น “ของจริง”ในอาชีพของตัวเอง ถ้าเจอร์เก้นคล็อปเป็นสุดยอดแม่ทัพที่นำพานักรบลงสู่สนามรบอย่างห้าวหาญ เชื่อเถอะว่า เหล่าเสนาธิการ เหล่าผู้บริหารเบื้องบน ก็ล้วนแต่สุดยอดไม่ต่างกัน
คนแรกที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยคือปีเตอร์มัวร์ที่ล่าสุดได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล CEO of the year ของนิตยสาร FC Business ประจำปี 2019 ไปแล้ว
มัวร์เกิดที่ Merseyside และถูกวินิจฉัยว่ามีความเป็น The Kop อยู่ในสายเลือดตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อเค้าได้ไปดูลิเวอร์พูลเอาชนะเลย์ตันโอเรี้ยนได้ 4-3 จบเกมเค้ากลายเป็นแฟนลิเวอร์พูลตลอดชีวิต ดังนั้นโดยพื้นฐานมัวร์จึงมีความเข้าใจความต้องการของแฟนบอลเป็นอย่างดี
ด้วยพื้นเพเช่นนี้ไม่แปลกที่เค้าจะพูดเสมอว่าเป้าหมายของเค้าคือการพาลิเวอร์พูลไปสู่ความยอดเยี่ยมเหมือนในยุค เซเว่นตี้ และ เอ้ดจ์ตี้ ซึ่งตอนนี้ก็น่าจะใกล้ความจริงแล้ว เหมือนดังที่ใครสักคนเคยว่าไว้ว่า ถ้าโลกเคยรู้จักลิเวอร์พูลจาก เดอะบีทเทิ้ล สำหรับสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลก็มาถึงจุดนั้นเรียบร้อยแล้ว
ประวัติการทำงานก่อนที่จะมารับตำแหน่งที่ลิเวอร์พูล มัวร์เคยมีประสบการณ์ทำงานที่ ไมโครซอฟท์มาก่อนในหน้าที่ดูแลด้านธุรกิจให้กับเกมคอนโซลอย่าง X BOX และ XBOX 360 เคยทำงานที่ Sega รีบอค เคยเป็นประธานของ EA บริษัทเกมชื่อดัง สมัยทำงานที่อีเอแกเคยจัดแข่ง เกมฟีฟ่า อีสปอร์ตด้วย ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่ช่วงนี้เราจะได้เห็นนักเตะลิเวอร์พูลไทอินเกมฟีฟ่ากันรัวๆ ค่าพลังขึ้นกันพรวดๆ เพราะมัวร์มีความเข้าใจทั้งแฟนบอลและเกมเมอร์เป็นอย่างดี
และใครที่ติดตามวงการอีสปอร์ตจะรู้ว่า ตอนนี้การถ่ายทอดสดเกมฟอร์ทไนท์คนดูเยอะกว่าซุปเปอร์โบลว์อีก ดังนั้นในการที่จะเกาะไปกับคลื่นลูกนี้มันคงดีถ้าจะเราจะมีคนแบบปีเตอร์มัวร์คอยกุมบังเหียนทิศทางของสโมสร
มัวร์เคยเล่าวิสัยทัศน์ของเค้าว่า น่าจะมีโอกาสสำหรับฟุตบอลที่จะก้าวไปอีกระดับด้วยความช่วยเหลือจากเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น VR หรือ AR ที่สามารถทำให้เรา “รู้สึก”เหมือนอยู่ในสนามจริงๆ ด้วยเทคโนโลยีดังกล่าว เราอาจจะได้รับประสบการณ์ร้องเพลงยูเนฟเวอร์วอร์คอโลนและดูเกมร่วมกับทุกๆคนสนาม เราอาจจะทำให้คนเป็นร้อยล้านคนมาอยู่ในแอนฟิลด์ในวันที่มีการแข่งขันได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง เสียค่าตัวแพงๆ และไม่ต้องลงทุนขยายสนามด้วยซ้ำ
ถ้าพูดถึงความสำคัญของมัวร์ในแง่ผลงานในสนาม มัวร์อาจไม่ได้มีส่วนร่วมในการเลือกนักเตะ หรือ ซื้อนักเตะ เหมือนเอ็ดวู้ดเวิร์ด เพราะหน้าที่ดังกล่าวมีคล็อป และ ไมเคิลเอดเวิร์ด กับทีมข้อมูลระดับทวยเทพคอยดูแลอยู่แล้ว แต่หน้าที่หาเงินมาซื้อนักเตะที่ทีมเราต้องการนั้นแหละคือหน้าที่ของเค้าโดยตรง
การหาพาร์ทเนอร์ใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนความก้าวหน้าของสโมสร ไม่ว่าจะนิวบาลานซ์เมื่อวันวานและไนกี้ในวันนี้รวมถึงพาร์ทเนอร์รายอื่นๆเช่นคารล์เบิร์ก หรือ สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ที่มีความผูกพันกันยาวนาน การใช้แอนฟิลด์ในการจัดงานคอนเสิร์ต และ อีเวนท์ต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการทำงานร่วมกับชาวเมืองและชุมชนมากมาย
นอกจากปีเตอร์มัวร์ที่ดูแลรับผิดชอบในด้านใหญ่ บิลลี่ โฮแกน Chief Commercial Officer หรือน่าจะแปลเป็นไทยได้ว่า หัวหน้าแผนกธุรกิจการค้าของลิเวอร์พูล ที่มีหน้าที่เปลี่ยนความสำเร็จในสนามให้เป็นความสำเร็จทางรายได้และทางธุรกิจด้วยก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน
หลังจากชนะแชมเปี้ยนลีคสมัยที่ 6 มูลค่าของสโมสรลิเวอร์พูลโตถึง 12 เปอร์เซ็นต์ ไปอยู่ที่ 2.2 พันล้านดอลล่าสหรัฐ จากการประเมิณของฟอร์บแมกกาซีน ลิเวอร์พูลทำรายได้ปี 2018 ได้ 613 ล้านดอลล่าห์ถ้านับเฉพาะรายการแชมเปี้ยนลีคอย่างเดียวรายได้มากถึง 117 ล้านหรือเกือบ 20 เปอร์เซนเลยทีเดียว
ซึ่งโฮแกนบอกว่าก่อนยุคแฟนเวย์ ลิเวอร์พูลมีการจัดการที่ผิดพลาดทั้งในสนามบอลและสนามการค้า
หลังจากเค้ารับหน้าที่เค้าพยายามโฟกัสไปที่การเติบโตไปพร้อมๆกับหุ้นส่วนทางธุรกิจต่างๆ (ถ้าเสิรชกูเกิ้ลดูจะเห็นรูปโฮแกนไปจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจของทีมเราเยอะมากๆ)
ในแง่การขายตั๋วรายได้ส่วนนี้ก็เติบโตขึ้นทั้งๆที่ไม่มีการขึ้นราคาตั๋วมา 4 ฤดูกาลแล้ว แต่เป็นการลงทุนเพิ่มความจุที่นั่งแทน
ยอดสปอนเซอร์เติบโตขึ้นมากตลอด 5 ปีที่ผ่านมา
ยอดค้าปลีก(สินค้าของที่ระลึก)ของทีมเติบโตแบบ เอ็กซ์โปเนนเชี่ยล!!! หรือ ทวีคูณแบบยกกำลัง
มีความพยายามในการผลักดันสื่อของทีมไปสู่ระดับนานาชาติเช่น LFCTV
และที่นี่แอนฟิลด์ ยังมีรายได้จากงานอีเวนท์และคอนเสิร์ตต่างๆ ที่จัดในสนามไม่ว่าจะเป็น พิงค์ Take That หรือ พี่บองโจวี่
มีการจัดทัวร์ไปอเมริกาด้วยเพราะเรามีฐานที่มั่นอันแข็งแรงอยู่ที่บอสตัน เช่นการไปเจอเซบีญ่าที่แยงกี้สเตเดี้ยม ซึ่งแน่นอนว่าส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้เกิดโครงการเหล่านี้ก็มาจากฝีมือของบิลลี่ โฮแกน เจ้าของอัลบั้มบิลลี่เข้มตลอดผู้นี้นี่เอง (มุกยุค 80 อีกแล้ว)
นอกจากเบื้องหลังอันแข็งแกร่ง เราก็โชคดีไปอีก คือเราดันได้แบรนด์แอมบาสเดอร์ที่โคตรจะมีคลาสมาช่วยทีมอีกคน
เจอร์เก้น คล็อป...
เหมือนโชค 2 ชั้น นอกจากเราได้โค้ชที่ยอดเยี่ยมเรายังมีผู้จัดการทีมที่เหมาะมากที่จะพรีเซนท์แบรนด์ของเราอย่างเหมาะสมที่สุดถ้าไปเปิดตำราการตลาดเรื่องการเลือกแบรนด์แอมบาสเดอร์จะพบว่าเจอร์เก้นคล็อปนี่ไม่ใช่แค่ตรงเป็นส่วนใหญ่ แต่ตรงทุกข้อ!!!
ไม่ว่าจะเป็นความคิด บุคลิก รูปร่างหน้าตา นิสัยตรงกับคาแรคเตอร์ของสโมสรเรามากไม่รวมถึงแพสชั่นที่เพิ่มให้ทีมมากขึ้นไปอีก
นอกจากนี้คล็อปยังมีความเชื่อมั่นให้กับทีมมากที่สุด ในวันที่ทุกคนมีความสงสัยกับทีมเค้าบอกให้เรากลับมามีความเชื่อ
ยิ่งไปกว่านั้นการให้สัมภาษณ์สื่อมักจะมี “ท่อนฮุค” ที่ฮิตเป็นภาพจำติดตัวตลอดซึ่งเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะวลี The Normal One เฮฟวี่เมทัลฟุตบอล การให้สัมภาษณ์สื่อแต่ละครั้ง ความฉลาดในการตอบคำถามที่แทบไม่มีที่ติหรือไม่หลุดเลย หรือถ้าเคยมีก็น่าจะน้อยมาก
ประวัติความประพฤติก็ไม่เคยมีด้านเสื่อมเสีย มีด้านน่ารัก มีอารมณ์ขันแบบเป็นธรรมชาติ คุณสมบัติต่างๆเหล่านี้อย่าว่าแต่เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์เลย ให้สมัครเป็นนายก...เอ่อ....เทศมนตรีเมืองลิเวอร์พูลยังมีลุ้นเลยนะเฮียว่า
บทความนี้น่าจะเป็นบทความที่ทำลายสถิติบทความที่ยาวที่สุดของเฮียเลยครับ(ราวๆ 6 หน้าA4) และ ใช้เวลารวบรวมข้อมูลและเขียนนานที่สุด ถึงแม้ว่าจะมาไม่บ่อยด้วยข้อจำกัดต่างๆในชีวิตแต่อยากให้การใช้เวลาร่วมกันในเพจเราเป็นเวลาที่มีคุณภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ สุดท้ายนี้ขอลงท้ายคำเดิมแต่ยังคงมีความรู้สึกเดียวเหมือนที่เคยเป็นมา...
รักนะ
จากเฮีย
#YNWA
โฆษณา