16 ธ.ค. 2019 เวลา 08:00 • กีฬา
2 IN 1 : 'จาวาริส คริทเทนตัน’ นักบาสที่หลอก 'คิงเจมส์' หัวทิ่มและเอาปืนจ่อหัวเพื่อนร่วมทีม
จาวาริส คริทเทนตัน คือนักบาสที่ทำให้ เลบรอน เจมส์ ต้องหงายท้องมาแล้วตอนเล่นในระดับไฮสคูล
เขาเติบโตขึ้นจากการเป็นนักเรียนประเภทเรียนดีกีฬาเด่น ทว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าของดราฟต์รอบแรกของ แอลเอ เลเกอร์ส ในปี 2007 ที่หลังจากนั้นแค่ 4 ปี เขาเอาปืนยิงคนบริสุทธิ์ที่เป็น “คุณแม่ลูกสี่” เสียชีวิต
เหตุใดเขาถึงกระโดดเข้าใส่ขุมนรกอีกครั้ง ทั้งๆ ที่เดินหนีจากมันได้สำเร็จ และชีวิตมีพร้อมทุกอย่างแล้วแท้ๆ
ผลผลิตจากความไม่พร้อม...ใช่ว่าจะเลวร้ายเสมอไป
ความรักไม่ใช่เรื่องผิด มันอยู่ที่คนจะเลือกใช้มันให้เกิดประโยชน์หรือทำให้มันเกิดปัญหาเท่านั้นเอง
ซอนย่า ดิ๊กสัน สาวมัธยมต้นจาก แอตแลนต้า เชื่อใจความรักมากเกินไปจนไม่ทันระแวดระวังให้ดี เธอคบหากับชายรุ่นพี่และตั้งท้องตั้งแต่อายุไม่ถึง 17 ปี และเรื่องมันคล้ายๆ กับที่เกิดอยู่ทั่วทุกมุมโลก เด็กสองคนเชื่อมั่นในความรักและมองสิ่งนั้นแค่ด้านเดียว เมื่อเธอให้กำเนิดลูกชาย จาวาริส คริทเทนตัน ได้ไม่นาน สามีของเธอที่หวังจะสร้างอนาคตด้วยกันก็ป่วยเป็นโรคตับ และเสียชีวิตไปแบบไม่ทันได้ทรมาน ... สำหรับคนตาย การทรมานน้อยที่สุดก่อนจากโลกนี้ไปคือเรื่องที่ดีในช่วงเวลาที่มีทางเลือกไม่มากนัก แต่สำหรับคนที่ยังต้องอยู่ต่อไปและคนๆ นั้นคือเด็กอายุ 17 ปี ที่มีลูกทารกติดตัว มันคือความยากลำบากในแบบที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้
Photo : www.cbsnews.com
ซอนย่า พยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เรี่ยวแรงของแม่วัยรุ่นเพียงคนเดียวที่ต้องทำงานหาเงินไปด้วย และเลี้ยงลูกน้อยไปด้วยมันจึงยากมากที่จะทำให้ จาวาริส เติบโตพร้อมกับความอบอุ่นเหมือนกับครอบครัวอื่นๆ ได้ จาวาริส จึงมีนิสัยที่ค่อนข้างฉุนเฉียว ใจร้อน และควบคุมยากบ้าง ซึ่งแม่ของเขาพยายามจะช่วยทำให้ลูกของเธอเดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้องให้มากที่สุด
ตอน จาวาริส อายุ 7-8 ขวบ ละแวกบ้านของเธอมีโรงยิมที่ใช้ไว้เล่นบาสเกตบอลสำหรับเด็กๆ อยู่ 1 แห่ง ฝึกสอนโดย ทอมมี่ สลอตเตอร์ ที่เด็กๆ แถวนั้นมักจะเรียกเขาว่า "พีเจ"
ตัวของ "พีเจ" นั้นเมื่อเห็น จาวาริส ก็รู้ว่าเด็กคนนี้มีพลังในตัวเยอะ แต่สิ่งที่สำคัญคือจะทำอย่างไรให้เอาสิ่งที่มีมาใช้ให้ถูกทาง แรงของเขาควรจะเอามาใช้ในการออกกำลังกายและกลายเป็นนักบาสที่มีชื่อเสียงเงินทอง นั่นคือสิ่งที่ "พีเจ" คิด
"พีเจ" สั่งให้ จาวาริส ฝึกหนักกว่าใครเพื่อน หากอย่างน้อยคนอื่นได้ฝึก เลย์-อัพ วันละ 5 ครั้ง จาวาริส จะถูกจับคูณเข้าไปอีกอย่างน้อย 2-3 เท่า จากนั้นจะต่อด้วยการฝึกชู้ตอีกหลายลูก วินัยที่ "พีเจ" ใส่เข้าไปในตัว จาวาริส ทำให้ทั้งคู่เข้ากันได้ดีมากขึ้นเรื่อย และตัวของ "พีเจ" ก็เห็นว่าเด็กคนนี้เป็นเหมือนลูกชายของเขา
นอกจากวิชาบาสเกตบอลที่ "พีเจ" มอบให้แล้ว จาวาริส ยังได้สิ่งที่มีค่ามากกว่านั้นคือ "วิชาชีวิต" เพราะตัวของ "พีเจ" รู้ว่า จาวาริส เป็นเด็กที่ก้าวร้าวแต่ก็มีความอ่อนแออยู่ในตัว เขาจะเชื่อคนง่ายมากหากไว้ใจใครสักคน "พีเจ" สอนให้ จาวาริส ตั้งใจทำในทุกสิ่งที่มีโอกาสไม่ว่าเป็นเรื่องบาส, การเรียน และกิจกรรม ซึ่ง จาวาริส ก็เปลี่ยนไปเยอะมากตั้งแต่ช่วง จูเนียร์สคูล (ม.ต้น) เพราะนอกจากจะเป็นนักบาสที่มีวินัยแล้ว เขายังเป็นเด็กเรียนดี และได้เป็นหนึ่งในทีมประธานนักเรียนของโรงเรียนด้วย
เวลาผ่านไปหลายปีทั้งคู่ยังคงตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ "พีเจ" ทำให้ จาวาริส กลายเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดของทีมโรงเรียนคริสต์แห่งแอตแลนต้า ซึ่งตอนนั้นมีผู้เล่นอย่าง ดไวท์ ฮาเวิร์ด (ผู้ติดทีม ออลสตาร์ของ NBA 8 สมัยในเวลาต่อมา) … จาวาริส แอนด์ ดไวท์ คือคู่หูขวางนรกของจริง ทั้งคู่เป็นตัวแทนของโรงเรียนคริสต์แห่งแอตแลนต้าไปแข่งขันที่เมืองฮิวสตัน และต้องเจอกับทีมโรงเรียน เซนต์ วินเซนต์-เซนต์ แมรี่ ซึ่งตอนนั้นมีผู้เล่นว่าที่ "ราชา" แห่ง NBA ในอนาคตอย่าง เลบรอน เจมส์ นำทัพ
ในช่วงที่ จาวาริส กำลังไปได้ดีบนเส้นทางบาสเกตบอลเหมือนกับที่ "พีเจ" ผู้ที่เขานับถือเป็นพ่อคาดหวังไว้ กลับเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเพราะในเวลาเดียวกับ "พีเจ" ถูกตรวจพบว่าเป็นโรคมะเร็งลำไส้และทวารหนัก เขาอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยดีนัก ซึ่งตัวของ จาวาริส เองก็ไม่ทราบเรื่องนี้เพราะ ณ เวลานั้นเขาวุ่นวายกับการฝึกซ้อมสำหรับการแข่งใหญ่ ทำให้ทั้งคู่ได้ติดต่อกันผ่านโทรศัพท์เท่านั้น ไม่ต้องเดาเลยว่าบทสนทนาในวันที่ จาวาริส ได้ไปแข่งเป็นแบบไหน "พีเจ" คงกระโดดตัวลอย เพราะอย่างน้อยสิ่งที่เขาหวังก็เริ่มใกล้เป็นความจริงเข้ามาทุกทีแล้ว
"พีเจ" ตอบรับการเดินทางไปฮิวสตัน ทั้งๆ ที่ร่างกายของเขาไม่แข็งแรงนัก แต่นี่คือโอกาสที่เขาจะพลาดไม่ได้ มันเหมือนแม่นกที่จะเห็นลูกน้อยหัดบินสู่โลกกว้างครั้งแรก หาก จาวาริส ทำได้ดี เขาจะเป็นที่ยอมรับของสังคมและสามารถใช้ชีวิตแบบพึ่งพาเลี้ยงดูทั้งตัวเองและครอบครัวได้ในอนาคต ดังนั้นงานนี้ไม่มีคำว่าไม่ไหวสำหรับ "พีเจ"
ในเกมระหว่าง แอตแลนต้า กับ เซนต์ วินเซนต์ฯ จาวาริส ที่ตอนนั้นอยู่เกรด 8 (ม.2) ยังไม่ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง ซึ่งในเกมนั้น เลบรอน เจมส์ ฉายแววเป็นปีศาจแห่งวงการยัดห่วง เขาฉีกผู้เล่นของ แอตแลนต้า เป็นชิ้นๆ และแทบไม่มีใครผ่านการประกบของเขาได้เลย ... จาวาริส นั่งจับตาดูอยู่ทุกวินาทีอย่างตั้งใจ เขารอและรอ ทำใจให้พร้อม เผื่อว่าโอกาสจะมาถึง
"จาวาริส แกลงไปได้แล้ว" คอร์ทนี่ย์ บรูคส์ โค้ชของแอตแลนต้า สั่งให้ จาวาริส ลงไปเล่นในเวลาที่ทีมหมดแววชนะ การส่งเขาลงในสถานการณ์นี้เหมือนเป็นการบอกใบ้กับ จาวาริส ว่า "อยากทำอะไรก็ทำ โชว์ให้ทุกคนเห็นหน่อยว่าแกมีดีอะไรบ้าง" ... จาวาริส ยกมือเรียกบอลจากเพื่อนร่วมทีมทันที แม้คู่ประกบของเขาคือ เลบรอน เจมส์
"หมับ!" บอลอยู่ที่มือเขาแล้ว ...
จาวาริส เลี้ยงไปทางซ้ายและหลอกดึงกลับมาทางเดิม แต่ เลบรอน ไม่หลงทางง่ายๆ มีทางเดียวจะผ่าน "ราชา" ได้คือต้องลุยเข้าไปวัดดวงซึ่งๆ หน้า ซึ่ง จาวาริส เองก็เลือกแบบนั้น เขาพุ่งเข้าใส่ เลบรอน ก่อนที่จะกระโดดขึ้นทำแต้ม แต่ เลบรอน ยังตามติดและกระแทก จาวาริส อย่างแรงในจังหวะลอยตัว
จาวาริส เซจนเกือบจะเสียหลัก 100% และเสี้ยววินาทีนั้นเขาสลับมือในการทำแต้มทำให้การพุ่งมาปัดบอลของ เลบรอน พลาดแบบจังเบอร์ จากนั้น จาวาริส ก็ใช้สิ่งที่เขาเรียนจาก "พีเจ" เป็นอันดับแรกนั่นคือการ เลย์-อัพ ทำแต้มได้สำเร็จ แม้มันจะมีค่าแค่ 2 แต้ม แต่การเอาชนะ เลบรอน เจมส์ ได้เรียกเสียงฮือฮาจากแฟนบาสในวันนั้นสนั่นฮอลล์
จะเสียงดังแค่ไหน จาวาริส ไม่สน เขามองไปที่ที่นั่งของ "พีเจ" ทั้งสองคนตะโกนใส่กันแม้จะอยู่ห่างกันคนละฝากสนาม ผู้เป็นพ่อชูกำปั้นแบบสะใจสุดๆ และนั่นคือสัญญาณว่า จาวาริส พร้อมจะลุยชีวิตในแบบที่ควรจะเป็น
หลังจากจบไฮสคูล ดไวท์ ฮาเวิร์ด ซีเนียร์ (พ่อของ ดไวท์ ฮาเวิร์ด) ที่มีตำแหน่งใหญ่โตในมหาวิทยาลัย จอร์เจีย เทค ได้ผลักดันให้ จาวาริส เข้าเป็นนักเรียนทุนของมหาวิทยาลัย และด้วยความสามารถในทางกีฬาและการเรียนทำให้ จาวาริส สอบผ่านสำหรับทุนเรียนฟรีนั้น เขาลงเล่นให้ทีมบาสของ จอร์เจีย เทค ได้เพียงปีเดียวและกลายเป็นเด็กระเบิดของที่นั่น สถิติทำ 29 แต้มโดยเฉลี่ย คือความโดดเด่นเกินใคร ซึ่งมันทำให้ จาวาริส เลือกจะลาออกจากมหาวิทยาลัย และเดินหน้าเข้าสู่การทดสอบแห่งมือโปร นั่นคือการเข้า ดราฟต์ NBA
ฝันเป็นจริงแล้วลูกชาย
ปี 2007 จาวาริส คริทเทนตัน เข้าทดสอบและเข้าสู่ระบบดราฟต์สำหรับ NBA ตอนนั้นชื่อเสียงของเขาดังพอตัวและถูกคาดว่าจะอยู่ในดราฟต์ที่ไม่เกินรอบที่ 3 แม้ว่าหลายคนจะบอกว่าเขาออกจากระบบมหาวิทยาลัยไวไป (แม้ก่อนหน้านั้น 3 ปี หนึ่งในเพื่อนซี้อย่าง ดไวท์ ฮาเวิร์ด ตัดสินใจไม่เรียนระดับคอลเลจและเข้า NBA เลยก็ตาม) แต่เขาไม่คิดแบบนั้น เขาพร้อมแล้วและคิดว่าตัวเองดีพอ
Photo : lakers.newssurge.com
"หลายคนคิดว่า พอยต์การ์ด ควรจะเล่นในแบบนักศึกษาสัก 2 ปี แต่ผมไม่คิดงั้นนะ ผมพร้อมและนี่คือเวลาที่ใช่ที่สุด ผมจะสวดภาวนา เชื่อมั่น และทำงานให้หนักที่สุด ผมพร้อมจะฟังทุกคำชี้แนะเพื่อทำให้ผมเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในสิ่งที่ทำ ชีวิตนักบาสของผมเริ่มต้นมาตั้งนานแล้วไม่ใช่เริ่มในวันนี้เสียเมื่อไหร่" เขาพูดถึงเสียงวิจารณ์ที่มีต่อตนเอง
เมื่อถึงวันดราฟต์ มีเซอร์ไพรส์นิดหน่อยที่ จาวาริส ถูกเรียกออกชื่อตั้งแต่รอบแรก แอลเอ เลเกอร์ส เรียกชื่อเขาเป็นผู้เล่นดราฟต์คนที่ 19 ของทั้งลีก เขาได้บ้านหลังใหม่จากการเซ็นสัญญานั้น เขาพาแม่และหลานไปอยู่ด้วย นั่นคือชีวิตที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จมากๆแล้ว
"มันก็ต้องดีใจที่สุดเลยน่ะสิ เพราะ จาวาริส เขาเป็นเหมือนลูกชายของผม การได้เห็นเขาถูกดราฟต์คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่สุดๆ สำหรับผม ผมคิดว่าสิ่งต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่กว่านี้จะตามมา และมันคือช็อตเปลี่ยนชีวิตเขาเลย ในช่วงที่เขาจะออกห่างจากผม ผมอยากให้เขาค้นหาตัวเองให้เจอ ขณะที่ผมเองก็ต้องทำไม่ต่างกันกับเขาเลย" "พีเจ" พูดถึงความสำเร็จของ จาวาริส และสิ่งที่เขาต้องสู้นั่นคือ โรคมะเร็ง
จาวาริส ไม่ได้ลงเล่นมากมายนักเพราะยังถือว่าเป็นดาวรุ่งที่ต้องรอการพัฒนาเพื่อให้พร้อมที่สุด ... แต่นั่นแค่ส่วนเดียวเท่านั้น
โหยหาครอบครัว
"เขาต้องอดทนกว่านี้สิ นี่ไม่ใช่เลย จาวาริส ไม่ใช่คนที่มีน้ำอดน้ำทนแบบที่ผมหวัง" ฟิล แจ็คสัน โค้ชของ เลเกอร์ส ให้สัมภาษณ์กับ ลอส แอนเจลิส ไทม์ส ถึงผู้เล่นหนุ่มของเขา โดยตำหนิไปที่ "วินัย" ของ จาวาริส ที่ลดน้อยถอยลงทุกวันต่างจากตอนที่เขาเข้ามามาก ซึ่ง ฟิล ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร?
Photo : bleacherreport.com
เรื่องนี้มันเป็นเหมือนการที่ จาวาริส สร้างโลกไว้ 2 ใบ เขามีโลกที่ต้องแบ่งเวลาชีวิต 2 ส่วนเพื่อเข้าไปอยู่ โลกใบแรกคือ บาสเกตบอล และโลกใบที่ 2 คือ "แก๊งสเตอร์" ... ใช่ เขาอาจจะเคยเป็นเด็กดี แต่ตอนนี้เขาเคว้งคว้าง เขาไม่ดังแบบที่หวัง ได้ลงเล่นน้อยแถมอยู่ห่างไกลจาก "พีเจ" ที่เหมือนครูชีวิต เขาจึงเริ่มทำในสิ่งที่ผิดไปจากเดิม
เรื่องดังกล่าวต้องย้อนไปสืบสาวราวเรื่องถึงช่วงกลางยุค 1990s ในยุคที่เพลงแนวฮิปฮอปและอาร์แอนด์บีเข้าสู่การเป็นกระแสหลัก เมืองแอตแลนต้าซึ่งเป็นเมืองใหญ่และมีสภาพเศรษฐกิจดีเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศได้กลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางแห่งใหม่ของเพลงแนวนี้ สมาชิกกลุ่ม "แมนส์ฟิลด์ คริปส์" จากย่านแอลเอตะวันตก จึงเดินทางเข้ามาที่เมืองนี้เพื่อเป็นเพื่อนคู่คิดของเหล่านักร้องที่เป็นสมาชิกแก๊ง และเริ่มหยั่งรากแห่งความสัมพันธ์ที่เชื่อมสองเมืองต่างฟากประเทศไว้
กาลเวลาผ่านไปกว่า 10 ปี คืนหนึ่ง จาวาริส ในฐานะผู้มาใหม่ในแอลเอ ตัดสินใจไปเที่ยวผับ ที่นั่นเขาได้พบกับ อาสฟาว อเบเบ หรือ "K-Swiss" ... ด้วยความที่น้องชายของ K-Swiss อาศัยอยู่ที่แอตแลนต้า จาวาริสกับอเบเบจึงสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกที จาวาริส ก็เข้าไปพัวพันในแก๊งแมนส์ฟิลด์ ที่ค้ายาและขยายกิจการเจริญเติบโตมาตั้งแต่ยุค '90 ครองฝั่งตะวันออกของ แอลเอ เรียบร้อยแล้ว (แม้ K-Swiss จะออกมาปฏิเสธว่าจาวาริสยังไม่เดินสู่เส้นทางดังกล่าวแต่แรกเริ่ม
"เราคือแก๊งที่ฉลาดที่สุดในเมือง ตำรวจกลัวเรา เราทำทุกอย่างด้วยความแม่นยำ, ถูกต้อง และคิดหน้าคิดหลังเสมอ" T-Locc หนึ่งในสมาชิกแก๊งผู้ไม่เปิดเผยชื่อจริงเล่าให้กับนักเขียนของ ฟ็อกซ์ สปอร์ตส์ ฟังถึงความหลังครั้งอดีต
"จาวาริส เห็นสิ่งที่ยั่วยวนใจในแบบที่เขาห้ามตัวเองไม่ได้ วิธีการเดินหน้าของเราคือการไปด้วยกันทั้งหมดเหมือนกับเป็นครอบครัว เรามีสมาชิกมากมายรักกันแบบบพี่น้องร่วมสาบาน ใครๆ จะเรียกเราว่า 'ไอ้พวกสารเลวแก๊งสเตอร์' แต่สำหรับสมาชิกทุกคนเรียกพวกเรากันเองว่า 'ครอบครัว'"
Photo : Cassy Atheno | www.truthaboutit.net
และครอบครัวนี่แหละที่เป็นจุดอ่อนของ จาวาริส เขาห้ามตัวเองไม่ได้เหมือนที่ T-Locc พูด จากคนไม่กินเหล้าไม่เตร็ดเตร่ เขาเริ่มเอนเอียงมากขึ้น แม้จะยังไม่ใช่สมาชิกแก๊งเต็มตัวแต่เขาก็ได้รับการยอมรับจากคนอื่นๆ และจากนั้นพรสวรรค์ที่มีก็เริ่มหายไปทีละนิดๆ และสุดท้ายก็เละเทะไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลยในระดับอาชีพ
จาวาริส อยู่กับ เลเกอร์ส ได้ปีเดียว ฟิล แจ็คสัน ก็ทนไม่ไหว เทรดไปให้ เมมฟิส กริซลี่ย์ส ... "พีเจ" ที่กำลังรักษาตัวจากโรคมะเร็งที่ลุกลามเป็นครั้งที่ 2 ได้ยินเรื่องดังกล่าวเขารีบเปิดใจคุยกับ จาวาริส ทันที และดูเหมือนว่าลูกชายของเขาจะสำนึกอะไรขึ้นมาได้บ้าง
"เขา (จาวาริส) รู้สึกแย่มาก เขาเขียนจดหมายที่ยาว 13 หน้ามาถึงผม เขาบอกเล่าถึงความเสียใจที่เขาทำลงไป เขารักผมมากและสัญญาว่าจะทำให้ผมภูมิและไม่ให้ผมต้องผิดหวังอีกซ้ำสอง" พีเจ เล่าถึงช่วงเวลาที่เขาพยายามเปลี่ยน จาวาริส อีกครั้ง เขายืนยันว่าโดยเนื้อแท้แล้วเด็กคนนี้ไม่ได้เป็นคนที่มีจิตใจเลวร้ายอะไร
จาวาริส เล่นให้กับ เมมฟิส ได้แค่ไม่ถึงปีเขาถูกเทรดไปต่อที่ วอชิงตัน วิซาร์ดส์ ในปี 2009 ซึ่งตอนนั้น จาวาริส ได้เจอกับ กิลเบิร์ต อารีนาส ผู้เล่นตัวท็อปแถมยังเป็นตัวแรงตัวแสบของทีม ทั้งคู่ไม่ชอบหน้ากันตั้งแต่แรก และสุดท้ายยังไม่ทันได้เริ่มฤดูกาลดีก็มีเรื่องถึงขั้นเอาปืนมาจะยิงกันเลยทีเดียว เหตุผลเริ่มจากน้ำผึ้งหยดเดียวนั่นคือการเล่นไพ่กันบนเครื่องบินระหว่างไฟลต์ ต้นเรื่องคือ จาวาริส เสียเงินหมดหน้าตักให้กับ จาวาล แม็กกี เพื่อนร่วมทีมอีกคน แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เรื่องเงิน แต่มันอยู่ที่ จาวาริส โดน อารีนาส หัวเราะใส่แบบยั่วโมโห
Photo : www.actionnetwork.com
"ผมบอกว่าเอาละโว้ยไอ้จาวาริส ย้ายตูดแกออกมาจากที่นั่งได้แล้ว ไม่งั้นฉันจะเผารถแกแน่ๆ คนอย่างแกนี่มันต้องรอให้กู้ภัยมาลากศพออกจากรถจริงๆ ไอ้ผีพนันเอ๊ย" อารีนาส เล่าเรื่องนี้ในภายหลัง ซึ่งสุดเสียงนั้น จาวาริส สติขาดผุงและบอกว่า "เออ แต่ถ้ากูออกมาได้กูจะเอาปืนยิงอุดปากมึงก่อนเลย"
อารีนาส ไม่กลัวเหมือนกันเขายังกวนประสาท จาวาริส ไม่เลิก "กล้าเหรอวะ เอาปืนมึงมาดีกว่าเดี๋ยวกูจะยิงตัวเองให้ดูว่าเขายิงกันยังไง" เหตุการณ์นั้นเกือบบานปลายแต่ก็ถูกจับแยกไปเสียก่อน ทว่า 2 วันหลังจากนั้น อารีนาส ยังไม่เลิก เขาวางกระสุนปืนไว้หน้าล็อกเกอร์ของ จาวาริส 3 นัด และเมื่อ จาวาริส มาถึง อารีนาส จึงเริ่มเปิดฉาก
"เห้ย ไอ้หนูเลือกมาสักเม็ดสิ อยากจะกินเม็ดไหนวะ?"
จาวาริส ไม่ตอบแต่กลับเอามือล้วงไปที่ด้านหลังและควักปืนออกมา ... ปืนของเขาเอง เขาเอาปืนจ่อไปที่ อารีนาส และ อารีนาส เล่านาทีชีวิตนั้นว่า "ไอ้บ้านั่นมันโหลดกระสุนพร้อมเหนี่ยวไกจะยิงผมทิ้งจริงๆ" นาทีนั้นเขายอมรับว่าเขาซ่าไม่ออกแล้ว
Photo : nypost.com
เรื่องนี้รู้ไปถึงหูผู้บริหาร แม้ไม่มีการยิงกันตายจริงๆ แต่กฎหมายการครอบครองอาวุธปืนในกรุงวอชิงตันถือว่าเข้มงวดที่สุดในสหรัฐอเมริกา ... และพวกเขาทั้งคู่ถูกจับส่งดำเนินคดีแบบไม่มีการช่วยเหลือจากทีมเลยแม้แต่น้อย อารีนาส ถูกตัดสินฐานมีอาวุธปืนโดยไม่รับอนุญาต ทำให้เขาโดนจำคุก 30 วันและควบคุมพฤติกรรม 2 ปี ส่วน จาวาริส นั้นหนักหน่อย เขาถูกตัดสินจำคุก 1 ปี จากความผิด 2 กระทงทั้งการพกปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตและฐานพยายามฆ่า ซึ่งจุดนั้นเองทำให้เส้นทางนักบาสของ NBA จบลงอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะฝั่ง จาวาริส ที่เตลิดไปจนไม่สามารถกลับทางเดิมได้แล้ว
ไม่ขาว ไม่เทา แต่ดำสนิท
จาวาริส ไปเล่นบาสที่จีน และกลับมาเล่นใน ดี-ลีก ในอีกปี 2 ปี แต่ไม่ประสบความสำเร็จเลยสักที คราวนี้เงินทองที่มีเริ่มหมดไป คนที่ปรึกษาก็มีน้อยลงโดยเฉพาะ "พีเจ" ที่ต้องรักษาตัวเองอยู่เสมอ จนไม่มีเวลามาดูแลกัน อีกทั้งต่างคนก็ต่างมีชีวิตเป็นของตัวเองโดยสิ้นเชิงแล้ว
Photo : graneyandthepig.wordpress.com
เมื่อเลือกทางขาวไม่ได้ และเลือกทางเทาไม่ได้ (เหยียบเรือสองแคม เล่นบาสไปด้วยทำงานแก๊งไปด้วย) จาวาริส จึงเลือกเดินทางสายดำเต็มพิกัด เขากลายเป็นสมาชิกแก๊ง แมนส์ฟิลด์ คริปส์ เต็มตัวแล้ว จากนี้ปืนจะอยู่ในมือของเขาตลอดเวลา เพื่อปกป้องแก๊งอาชญากรที่เรียกกันเองว่า "ครอบครัวที่แท้จริง"
จาวาริส กลายเป็นคนสำคัญของแก๊ง เพราะก่อนหน้านี้เขามีเงิน มีเครดิต จึงทำให้สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ ดังนั้นเมื่อกิจของแก๊งข้องเกี่ยวกับเรื่องเงินๆ ทองๆ จาวาริส จะเป็นฝ่ายเดินหน้าเข้าเจรจาเป็นคนแรก ซึ่งตัวเลขจากบัตรเครดิตของเขานี่เองที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจแห่งลอส แอนเจลิส (LAPD)รู้ตัวว่าอดีตนักบาส NBA รายนี้เป็นหนึ่งในสมาชิกแก๊งคนสำคัญ
1 ปีหลังจากเข้าแก๊ง ศพแรกจากน้ำมือของ จาวาริส ก็มาถึง เขาถูกตั้งข้อหาคดีฆาตกรรม จูเลี่ยน โจนส์ แม่ลูกสี่ วัย 22 ปี เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2011 ซึ่งเหตุเกิดจากความไม่ตั้งใจ เขาพยายามจะยิงคนที่ก่อเหตุปล้นเขาเมื่อเดือนเมษายน แต่กระสุนพลาดไปโดนขาของ โจนส์ จนเสียชีวิตระหว่างผ่าตัด
หลังจากนั้นไม่กี่วัน จาวาริส ก็ถูกตำรวจจับที่สนามบินแอลเอในขณะที่รอขึ้นเครื่องกลับไปยังเมืองแอตแลนต้าบ้านเกิด เขาและ ดั๊กลาส แกมเบิล ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องผู้อยู่ในเหตุการณ์วันดังกล่าวถูกฟ้องอย่างเป็นทางการถึง 12 ข้อหา ซึ่งเป็นความผิดทางอาญาร้ายแรง คดีนี้ทำให้ จาวาริส เสียศูนย์หนักมาก เขาต้องจ่ายเงินมากมายเพื่อทนายสำหรับวิ่งเต้นเรื่องดังกล่าว ซึ่งมันก็ทำให้เขาสามารถยืนสู้คดีมาได้ถึง 3 ปี
Photo : www.si.com
แต่ช่วงเวลาแห่งอิสระกลับไม่ถูกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ หนนี้ จาวาริส เดินหน้าทำสิ่งที่เลวร้ายพอๆ กันนั่นคือการขาย โคเคน "หลาย" กิโลกรัม และกัญชาหนักอีก 100 ปอนด์ ซึ่งสุดท้ายก็ถูกจับในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด และละเมิด พ.ร.บ. ยาเสพติดของรัฐจอร์เจีย
แน่นอน การถูกจับอีกครั้งโดยละเมิดทัณฑ์บน ทำให้เขาหมดสิทธิ์กลับมาใช้ชีวิตแบบคนปกติทันที
END GAME…
ศาลตัดสินว่าเขามีความผิดฐานฆาตกรรมโดยตั้งใจและทำร้ายผู้อื่นด้วยอาวุธปืน หลักๆ 2 กระทง และรวมกับคดียาเสพติดเข้าไปอีก จาวาริส โดนโทษเบ็ดเสร็จทั้งหมด 23 ปี ที่เรือนจำ ฟูลตัส เคาน์ตี้ ... โอกาสครั้งที่ 2 ของเขาปิดลงโดยปริยาย อิสระที่เคยมีหมดสิ้น และครอบครัวแก๊ง แมนส์ฟิลด์ คริปส์ ที่เขาบอกว่าเป็นครอบครัวไม่เคยมีสมาชิกคนไหนโผล่หัวมาเยี่ยมเขาสักครั้ง มีแต่ ซอนนี่ ดิ๊กสัน ผู้ให้กำเนิดเพียงคนเดียวที่เดินทางมาที่ ฟูลตัน เคาน์ตี้ ทุกครั้งที่เธอมีเวลาว่าง
Photo : www.businessinsider.com
"ผมรู้สึกเจ็บปวดที่สุด มากจริงๆ มากกว่าที่ใครจะจินตนาการและรู้สึกได้ สิ่งเดียวที่ผมเชื่อเสมอมาคือผมเชื่อในตัวของ จาวาริส คริทเทนตัน แล้วผมก็ทำได้แค่นั้นแหละ" ... "พีเจ" กล่าวทิ้งท้ายถึงลูกชายของเขา
น่าเสียดายที่ จาวาริส ได้โอกาสที่จะฉีกยิ้มทุกคนที่เกี่ยวข้องให้กว้างที่สุดแล้วแท้ๆ ในวันที่เขาได้เข้าสู่ NBA เขาอุตส่าห์หลีกหนีชะตากรรมการเป็นอาชญากรในวัยเด็กได้แล้วแต่เขาก็วนกลับมาหามันอยู่ดี ... สิ่งที่เกิดขึ้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะนี่คือชีวิตจริงไม่ใช่ภาพยนตร์ ถึงเขาจะเป็นคนดีของครอบครัวและเป็นลูกชายที่น่ารักเสมอของ "พีเจ" แต่สิ่งที่คนอีก 95% มองเขาคือ อาชญากร ที่เป็นภัยต่อผู้คนบนท้องถนนจากสิ่งที่เขาทำ
แม้จะคิดได้ แต่ตอนนี้มันก็สายไปแล้ว เขามีเวลาทบทวนหลังลูกกรงอีกราวๆ 20 ปี และเมื่อถึงวันที่เขาเดินออกมาอย่างอิสระในวันที่ 13 ธันวาคม 2036 หากโชคยังดี เขาอาจจะกลับมาแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้บ้าง ... อย่างน้อยๆ ก็ใช้ชีวิตที่เหลือแบบมีค่าโดยนำบทเรียนร้ายๆ ที่ผ่านมาเป็นกุญแจนำทาง
บทความโดย ชยันธร ใจมูล
โฆษณา