19 ธ.ค. 2019 เวลา 00:27 • ธุรกิจ
^^^ ลงทุนอะไรดี...ในปี 2020 ^^^
1. ฝากประจำ
เป็นการลงทุนแบบออมเงินไปในตัว และได้ดอกเบี้ย พร้อมกับได้รับการยกเว้นภาษีด้วย ถึงแม้ดอกเบี้ยจะไม่สูงเท่าการลงทุนแบบอื่น แต่ก็ถือเป็นการเก็บเงินแบบระยะยาว และช่วยสร้างวินัยในการเก็บเงินได้ดีด้วย ซึ่งการฝากประจำ คุณต้องฝากเงินในจำนวนเท่ากันทุกเดือน และต้องมีการกำหนดระยะเวลาในการฝาก โดยคุณสามารถเลือกได้ว่าจะฝาก 24 เดือน / 48 เดือน / 60 เดือน (ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคาร) โดยแต่ละธนาคารจะกำหนดให้ฝากขั้นต่ำตั้งแต่ 500-1,000 บาท และสูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับ จะมีตั้งแต่ 2.25%-2.75% หรือไม่เกิน 3%
เมื่อครบกำหนดแล้ว คุณถึงจะได้รับดอกเบี้ยตามที่ธนาคารได้แจ้งไว้ แต่หากมีการถอนหรือปิดบัญชีก่อน 3 เดือน คุณก็จะไม่ได้รับดอกเบี้ยเลย
1
2. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
เป็นการลงทุนในแบบฉบับมนุษย์เงินเดือน ที่ทางนายจ้างและลูกจ้างร่วมกันจัดตั้งขึ้น เพื่อมีจุดประสงค์ให้ลูกจ้างได้มีเงินออมไว้ใช้จ่ายตอนเกษียณอายุงาน ออกจากงาน ทุพพลภาพ หรือกรณีที่เสียชีวิต โดยเงินทุนสำรองเลี้ยงชีพจะมาจาก เงินของลูกจ้างที่ถูกหักส่วนหนึ่งจากเงินเดือน ในอัตราไม่ต่ำกว่า 3%-15% ของเงินเดือน ซึ่งเรียกว่า “เงินสะสม” สำหรับส่วนของนายจ้าง ที่จะต้องจ่ายเงินอีกส่วนหนึ่งเข้ากองทุนเป็นประจำทุกเดือน เรียกว่า “เงินสมทบ” จะต้องสมทบในอัตราที่ไม่ต่ำกว่าเงินสะสมของลูกจ้าง กล่าวได้ว่า หากลูกจ้าง หักเงินลงกองทุน 10% นายจ้างก็ต้องสมทบให้อีก 10% นั่นเอง
3. ตราสารหนี้
เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ได้ผลตอบแทนแน่นอน และสม่ำเสมอ โดยผู้ลงทุนจะได้รับดอกเบี้ยเป็นงวดๆ เช่น 2 ครั้ง/ปี หรือ 4 ครั้ง/ปี และเมื่อถึงวันครบกำหนด ผู้ลงทุนก็จะได้รับเงินต้นคืนด้วย สำหรับบุคคลทั่วไป สามารถซื้อขายตราสารหนี้ได้โดยการติดต่อธนาคารที่เราสนใจ เตรียมเอกสารในการเปิดบัญชี และการตรวจสอบราคาก่อนซื้อขาย ซึ่งตราสารหนี้จะแบ่งประเภทตามผู้ออก ได้แก่
1. หน่วยงานรัฐบาล ได้แก่ การออกพันธบัตร ที่มี
อายุตั้งแต่ 1 ปี และตั๋วเงินคลัง ที่มีอายุไม่เกิน 1 ปี
ี2. หน่วยงานเอกชน คือ การออกหุ้นกู้ ที่มีอายุไม่เกิน 270 วัน หรือตั้งแต่ 270 ก็ได้
3. ต่างประเทศ คือ การออกตราสารหนี้ต่างประเทศ สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้ โดยไม่ต้องรอให้ถึงวันครบกำหนดอายุด้วย
4.  กองทุนรวม
เป็นการลงทุนของนักลงทุนมือใหม่ ที่ไม่มีประสบการณ์ ความรู้ หรือความชำนาญในการลงทุน และไม่มีแม้แต่เวลาที่จะศึกษาข้อมูลการลงทุน จึงต้องนำเงินมาลงทุนให้กับผู้เชี่ยวชาญ ผ่านบริษัทจัดการกองทุน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด และคุ้มค่าที่สุด อย่างไรก็ตาม แม้จะมีผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้บริหารจัดการเงินให้ แต่กองทุนรวมก็ถือว่ามีความเสี่ยงเช่นกัน เพราะหากลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนน้อย หรือไม่ได้เลย
4
5. หุ้น
เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงมาก และได้ผลตอบแทนค่อนข้างสูง เพราะการลงทุนในหุ้น คือการไปซื้อสิทธิความเป็นเจ้าของของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เปรียบสเหมือนคุณเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้นๆ ทำให้มีส่วนในการได้รับกำไรและส่วนที่ต้องขาดทุน ซึ่งการเลือกซื้อหุ้นของบริษัท คุณจะต้องศึกษาหาข้อมูล โดยการมองภาพรวมของบริษัทนั้นๆ ว่ามีทิศทางไปในทางใด มีการเติบโตในอนาคตอย่างไร ดูผลประกอบการของบริษัทในแต่ละปี  ดูสัดส่วนผู้ถือหุ้น ผู้บริหาร ราคาหุ้น รวมถึงวิเคราะห์เศรษฐกิจด้วย การลงทุนในหุ้นนั้นมีกำไรจาก 2 ทาง คือ
1. กำไรจากการซื้อขาย เป็นกำไรที่ได้จากราคาหุ้นที่เราขายสูงกว่าราคาหุ้นตอนที่เราซื้อมา
2. กำไรจากเงินปันผล เป็นกำไรจากบริษัท ที่แบ่งให้กับผู้ถือหุ้น
1
6. อสังหาริมทรัพย์
เป็นการลงทุนที่ได้รับความนิยมสูงในปัจจุบัน เพราะไม่ว่าจะเป็น ที่ดิน บ้าน คอนโด ทาวน์โฮม อาคารพาณิชย์ หรืออาคารสำนักงาน ก็สามารถสร้างกำไรให้คุณได้อย่างดีทีเดียว โดยรูปแบบในการลงทุน สรุปได้ดังนี้
1. แบบเก็งกำไร
2. แบบปล่อยเช่ารายเดือน 
3. แบบปล่อยเช่ารายวัน
4. แบบซ่อมแล้วขาย
5. แบบเป็นนายหน้า 
6. แบบกองทุนรวมอสังหาฯ
7. ทองคำ
ทองคำ เป็นอีกการลงทุนที่ได้รับความนิยมมาทุกยุคทุกสมัย เพราะเป็นสินทรัพย์ที่แสดงถึงความมั่งคั่งร่ำรวย ซื้อขายง่าย แต่จะขายให้ได้กำไรอย่างไรนั้น ก็ต้องมีการศึกษาราคาทองคำในตลาด แนวโน้มราคา ความผันผวนของค่าเงิน ซึ่งจังหวะการขายทองคำให้ได้กำไรก็ต่อเมื่อ ทองคำมีราคาสูงกว่าราคาปกติในตลาดประมาณ 2-5% โดยการซื้อทองคำเพื่อการลงทุน ควรซื้อเป็นทองคำแท่งมากกว่าทองรูปพรรณ เพราะมีค่ากำเหน็จน้อยกว่าและราคารับซื้อจะถูกหักน้อยกว่าหรือไม่ถูกหักเลย
8. ของสะสม
เป็นการลงทุนสำหรับคนที่มีความชอบส่วนตัวในการสะสมสิ่งของต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ของใช้เก่า นาฬิกา กระเป๋า พระเครื่อง กล้องถ่ายรูป เฟอร์นิเจอร์ ภาพวาด เป็นต้น ซึ่งของสะสมเหล่านี้ ยิ่งนานวัน ยิ่งมีราคา โดยเฉพาะของเก่าหายาก และสำหรับนักสะสม ที่ลงทุนเพื่อนำมาขายต่อ ก็จำเป็นต้องทราบแหล่งขาย ราคาตลาด กลุ่มลูกค้า และที่สำคัญคือความรู้ในของเหล่านั้น อีกทั้งความรู้ในการแยกระหว่างของแท้กับของปลอม
สำหรับการลงทุนในของสะสม ก็ใช่ว่าจะไม่มีความเสี่ยง เพราะหากคุณดูแลรักษาไม่ถูกวิธี หรือไม่ดีพอ จากที่จะขายได้กำไร ก็อาจขาดทุน หรือขายไม่ได้เลยก็ได้ หรือหากไม่มีความรู้ในของสิ่งนั้นมากพอ รวมถึงไม่รู้ราคาตลาด ก็อาจทำให้มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนได้เช่นกัน
โฆษณา