21 ธ.ค. 2019 เวลา 15:51 • บันเทิง
MovieTalk หนังชนโรง: Special Series:
STAR WARS SAGA Part VI
Star Wars Episode IX: The Rise of Skywalker กำเนิดใหม่สกายวอล์คเกอร์
นานมาแล้ว ในหมู่ดาวอันไกลโพ้น...
สายของฝ่ายต่อต้านที่แฝงตัวในปฐมภาคี ได้แจ้งข่าวลือว่า จักรพรรดิพัลพาทีนอาจจะยังคงอยู่ และผู้นำสูงสุดไคโรเร็นพยายามตามหา เช่นเดียวกับที่ฝ่ายต่อต้านได้พยายามค้นหาความจริงจากข่าวลับนั้น ทางด้านเรย์ได้มุ่งมั่นฝึกฝนไปสู่วิถีแห่งการเป็นเจไดเพื่อให้เข้าถึงฟอร์ซแห่งเจได
เรย์ ฟินน์ โพ พร้อมกับ ชิวเบ็คก้า R-2D2 และ BB-8 ต้องร่วมกันออกตามหาเบาะแสเพื่อนำไปสู่หนทางแห่งการหยุดยั้งสงครามกาแล็กซี่อันยาวนาน
ยอมรับว่าเป็นการยากมากสำหรับการจะเขียนเรื่องย่อโดยไม่พาดพิงส่วนสำคัญของหนัง ซึ่งเท่าที่เล่ามาก็คือที่อยู่ในตัวอักษรสีเหลืองที่เคลื่อนหายไปในอวกาศหลังจากตัวอักษร STAR WARS ปรากฏพร้อมด้วยเสียงดนตรีกระหึ่มจาก จอห์น วิลเลี่ยมส์
ถ้าถามว่านี่คือหนังที่สามารถปิดฉากตำนานสงครามแห่งดวงดาว และบทสรุปของตระกูลสกายวอล์คเกอร์ตามที่เกริ่นไปแล้วในทีเซอร์ของ MovieTalk ก็ต้องตอบว่า “ใช่”
ก่อนที่จะไปดูหนัง ซึ่งจากที่เช็คกระแสแล้ว บรรดานักวิจารณ์เสียงแตกเป็นสองฝั่ง ที่ชังก็ชังสุด ที่ชอบก็ชอบไปเลย ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากเชื้อที่ ไรอัน จอห์นสัน ทิ้งไว้ใน The Last Jedi ที่พาหนัง (เหมือน) จะออกนอก ‘ขนบ’ แห่งวิถี Star Wars จนสาวกสตาร์ วอร์สออกมาด่ากันเละ จนถึงขั้นลงชื่อขอให้ดีสนีย์ถอดหนังเรื่องนี้ออกจาสารบบ Star Wars Saga กันเลยทีเดียว
แต่เดี๋ยวก่อน...แม้ผมจะไม่ใช่เป็นสาวกสตาร์ วอร์ส แต่ด้วยความที่ดู Star Wars มาแล้วทุกภาค และไม่รู้กี่รอบ โดยเฉพาะการดูครั้งล่าสุดที่ยาวไป ยาวไปกับการดูรวดเดียว Episode 1 – 8 + ภาคแยก Rogue One และดูแบบเรียงลำดับตาม Timeline เพื่อจะมาทำซีรีย์ส Star Wars Saga ให้ทุกท่านได้อ่านกัน ซึ่งมันเป็นข้อดีสำหรับการที่มีข้อมูลปลีกย่อยทั้งหมดตุนอยู่ในสมองก่อนไปดู Episode 9: The Rise of Skywalker ดังนั้นทุกอย่างที่เขียนถึงจะเป็นไปตามความรู้สึกของคนที่โตมากับมหากาพย์สงครามแห่งดวงดาวเรื่องนี้ ไม่ใช่ในฐานะนักวิจารณ์ หรือนักรีวิวหนังครับ
The Rise of Skywalker ของ เจ.เจ. เอบรัมส์ เสิร์ฟทุกอย่างที่แฟนสตาร์ วอร์สต้องการ อยากเห็น อยากให้มี เหมือนงานชุมนุมศิษย์เก่า ตัวละครจอมแสบจาก The Empire Strikes Back แลนโด คาลริซเซียน เจ้าของเดิมของยานมิเลนเนียมฟอลคอน ที่กลับมาขับยานร่วมกับชิววี่ ตามที่เห็นในหนังตัวอย่าง
หรือการได้เห็น แคร์รี่ ฟิชเชอร์ ในบท เจ้าหญิงเลอา ที่ปัจจุบันเป็นนายพลเลอา ซึ่งฟิชเชอร์ได้จากไปก่อนที่หนังภาคสุดท้ายจะเปิดกล้องเอบรัมส์ จึงเลือกใช้ฟุตเตจเดิมจาก The Force Awakens และ The Las Jedi มาใช้ โดยปฏิเสธที่จะใช้ซีจีสร้างภาพแบบที่เราเห็นกันในช่วงท้ายของ Rogue One ซึ่งสำหรับแฟนสตาร์ วอร์ส
แค่นี้ก็อุ่นใจแล้ว ว่าสามประสานที่ยังมีชีวิตเหลืออยู่ (ในหนัง) แลนโด ชิววี่ (ชิวเบ็คก้า) และ เลอา รวมไปถึง C-3PO, R-2D2 จะมาอยู่ในหนังภาคปิดนี้
ส่วนบรรดาตัวละครใหม่ ไม่ว่าจะเป็น เรย์, เบน โซโล หรือ ไคโล เร็น, ฟินน์, โพ ดาเมรอน ที่บทหนังตั้งใจเกลี่ยบทให้ทุกคนได้มีช่วงเวลาของตนเอง มากน้อยตามฐานะในหนัง ส่วนบรรดาตัวละครเหล่านี้จะกลายเป็นตำนานเหมือนที่ ลุค ฮาน เลอา เป็นมาแล้วหรือไม่ คงต้องปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์กันต่อไป แต่เท่าที่ดูในฐานะแคแร็กเตอร์เลือดใหม่ และหนังเลือกที่จะให้ทุกคนมีบทสรุปในทิศทางที่เห็นก็ถือว่ามันอยู่ถูกที่ถูกทางแล้ว
ส่วนในแง่อารมณ์ของหนัง The Rise of Skywalker ยังเดินตาม ‘ขนบ’ ที่สตาร์ วอร์สวางไว้ ซึ่งนั่นล่ะคือสิ่งที่ทำให้นักวิจารณ์ด่าว่ามันไม่มีอะไรแปลกใหม่ หรือสร้างสรรค์ เหมือนการพาหนังไปอยู่ในพื้นที่เซฟโซนเพื่อความสำเร็จให้มากที่สุด แต่มองกันดี ๆ คนสร้างเขาทำหนังมาเพื่อตอบสนองสาวกสตาร์ วอร์ส ไม่ใช่นักวิจารณ์
ดังนั้น จะเอาฉากสงครามอวกาศ ดวลไลท์เซเบอร์ หรืออารมณ์แบบด้านมืดด้านแสงสว่าง ตัวละครที่ไม่พร้อมจะเป็นอะไรบางอย่าง หรือตัวละครที่อยากจะเป็นบางอย่าง ฉากต่อปากต่อคำ หรืออารมณ์โรแมนติคก็มีให้เห็น ซึ่งมันเป็นการต่อยอดที่ถูกทิ้งไว้ใน The Last Jedi
The Rise of Skywalker ยังให้ความเป็น A New Hope และ Return of the Jedi เพียงแต่มันไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเท่ากับไตรภาคก่อน หลาย ๆ ฉากที่ถูกเซ็ทมาเพื่อรองรับหนัง และทำให้คนดูเกิดอาการเดจาวูไปกับสิ่งที่เห็นในอารมณ์ เฮ้ย...มันเหมือนฉากนี้ในภาคนี้นี่ ประมาณนั้น และไม่มีไม่ได้คือฉากช็อคคนดู แบบใน The Empire Strikes Back แต่ผลลัพธ์ทีเห็นก็ได้อยู่ แต่ไม่ทรงพลังเท่ากับประโยคทองคำ “I am your Father!”
มีบางแคแร็กเตอร์ที่โดนกระแสโซเชียลถล่มในภาคที่แล้ว จนในภาคนี้เธอก็แทบไม่มีที่ยืน ซึ่งมันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ Social Bully สามารถทำร้ายคนที่ตั้งใจทำงานได้ ตัวละครนั้นก็คือ โรส ช่างเครื่องสาวที่รับบทโดย เคลลี่ มาร์รี่ ทราน จาก The Last Jedi
และจากหนังตัวอย่างที่เราเห็น C-3PO ของ แอนโธนี แดเนียลส์ ที่แสดงมาทุกภาค คราวนี้จะไม่ได้เป็นไม้ประดับ และมีช่วงเวลาสำคัญกับเขาเสียที และไม่ใช่แบบที่น่ารำคาญกับการเป็นดรอยด์พล่ามไม่หยุดด้วย (ตัวละครพล่ามไม่หยุดแล้วนึกถึง จาร์ จาร์บิง ตัวละครขวัญใจเฮียไก่ก้อม ข้าซ่า...ที่สุดในมหากาพย์)
ส่วนที่รู้สึกแปลกแยกคือ การที่ให้บรรดาตัวละครสำคัญในหนังออกตามหาเบาะแส ซึ่งอารมณ์ไม่ต่างจากหนังขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า แต่เป็นสุดขอบจักรวาลแทนอยู่กลาย ๆ ซึ่งนั่นล่ะที่ทำให้มันเหมือนไม่ใช่หนัง Star Wars
แต่สุดท้าย หนังก็ทำให้สาวกสตาร์ วอร์ส และคนดูที่โตมากับ Star Wars Saga เกิดอาการ ‘จุก’ และน้ำใส ๆ เอ่อในตากับฉากหลายฉากอยู่เหมือนกัน
โดยรวมแล้วต้องบอกว่าถ้าผมคือคนดูที่โตมากับ Star Wars ดูมาแล้วทุกภาค จำมันได้ทุกเม็ด เจ.เจ. เอบรัมส์ ก็คือคนแบบเดียวกัน เรารู้ว่าจะต้องใส่อะไรในหนังเพื่อสาวกสตาร์ วอร์ส แม้จะถูกมองว่าไม่สร้างสรรค์ แต่เชื่อเถอะยังไงก็ได้ใจแฟนสตาร์ วอร์สทั่วโลกอยู่ดี
รอบที่ผมดูมีบรรดาคนรุ่นผมเดินเข้าไปดูหนัง บ้างเป็นครอบครัว บ้างไปเดี่ยว ถ้าจะถามหาหนังที่เป็นตำนานมากพอจะทำให้คนไม่ต่ำกว่า 2 Gen เข้าไปดูหนังด้วยกันได้ในอารมณ์ร่วมแบบเดียวกัน Star Wars Saga คือหนังเรื่องนั้นครับ และมันไม่ใช่อารมณ์แบบที่เราพาครอบครัวเข้าไปดู Avengers แน่นอน
สุดท้ายแล้ว คนอ่านหลายคนอาจเกิดความรู้สึกว่า โพสต์นี้มันไม่ได้เล่าอะไรที่เกี่ยวกับเนื้อหาในหนังเลย ก็ผมบอกแล้วว่า “อ่านได้ ไม่สปอยล์” หนทางเดียวที่คุณจะเก็ทกับสิ่งที่ผมเขียนคือ ไปดูหนังด้วยตาตนเองครับ และแน่นอนผมจะมีการเขียนรีวิวฉบับเต็มที่เปิดเผยเนื้อหาทั้งหมด ไปบรรจุอยู่ในสเปเชียลซีรีย์ส Star Wars Saga เพื่อให้ครบชุด แต่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นในอีก A long time a go far far away….
เหมือนที่แลนโด คาริซเซียนกล่าวไว้
“มีใครพร้อมบ้าง ลค เลอา ฮาน หรือฉัน ก็ไม่มีใครเคยพร้อม”
ก็เหมือนชีวิตคนเรา เมื่อสถานการณ์หนักหนาเกิดขึ้นโดยที่เราไม่ได้เตรียมตัว ไม่มีใครพร้อมหรอก แต่เราแค่ต้องหาวิธีรับมือกับสถานการณ์นั้นให้ได้
อย่าไปสนใจกับคำวิจารณ์ หรือเพจไหน กูรูคนไหนจะให้กี่ดาวกี่คะแนน ถ้าคุณเป็นแฟน Star Wars Saga คุณต้องไปดูหนังเรื่องนี้ เพราะนี่คือหนังทีปิดมหากาพย์สงครามแห่งดวงดาว และบทสรุปตระกูลสกายวอล์คเกอร์อย่างแท้จริง ส่วนใครที่ตามดูบ้างไม่ดูบ้าง อันนี้ขึ้นกับดุลยพินิจของท่านเลยครับ
สุดท้ายก่อนจะจบ ผมขอความร่วมมือในการแสดงความเห็น สำหรับท่านที่ไปดูมาแล้ว โปรดหลีกเลี่ยงแสดงความเห็นที่เปิดเผยเนื้อหาสำคัญของหนังนะครับ ซึ่งหากผมเห็นว่ามีความเห็นแบบนั้น ขออนุญาตลบความเห็นนั้นนะครับ ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาอรรถรสในการดูหนังของทุกท่านให้สนุกครับ
ขอพลังจงอยู่คู่ท่าน
Star Wars Episode IX: The Rise of Skywalker (2019)
Directed: J. J. Abrams/Starring: Carrie Fisher, Adam Driver, Daisy Ridley, John Boyega, Oscar Isaac, Anthony Daniels, Naomi Ackie, Domhnall Gleeson, Billy Dee Williams, Mark Hamill/Screenplay: J. J. Abrams, Chris Terrio/Story: Derek Connolly, Colin Trevorrow, J. J. Abrams, Chris Terrio/Based on Characters: George Lucas/Music: John Williams/Cinematography: Dan Mindel/Edited: Maryann Brandon, Stefan Grube/Distributed: Walt Disney Studios Motion Pictures/Running time: 142 Mins./Rated: PG-13
ขอบคุณที่มาข้อมูล: IMDb, Wikipedia, Rotten Tomatoes, Youtube,
ขอบคุณที่มาภาพประกอบ: IMDb

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา