21 มี.ค. 2020 เวลา 17:31
เรื่องเล่าของคนบ้า-1.3
ก้าวที่สามของคนบ้า... มีคำพูดที่ว่าสิ่งที่ยากที่สุดของการเริ่มต้นคือกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะความคิด วิธีปฏิบัติ แม้แต่ความเป็นอยู่และเหนือสิ่งอื่นไดที่เป็นกำแพงใหญ่คือก้าวผ่านคำพูดของคนรอบข้าง เมื่อคุณผ่านโจทย์นี้มาได้ก้าวแรกมักจะสวยหรูเสมอ เพราะกำแพงแต่ละชั้นที่ว่ามาก็ไม่ต่างจากประตูเปิดรับโอกาสนั่นเอง และเพื่อนร่วมทางที่ก้าวเข้ามาพร้อมก็บโอกาสก็คือความโชคดี และก็เป็นอีกครั้งที่ทุกอย่างช่างเป็นใจกับผมเหลือเกินเหมือนว่าผมคงจะเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ก็ไม่รู้เสียเวลา เสียเงินไปเรียนทำไมตั้งนาน 555+ หลังจากไม่ผ่านบททดสอบการเป็นโฟแมนในอังกฤษก็ต้องกลับมาสู่ก้าวแรกข้องการล่าฝันอีกครั้งก็เป็นชาวนา แบบเกษตรอินทรีย์นั่นเอง
ผมจำได้แม่นเหมือนมันเกิดขึ้นเมื่อวานเลย เป็นปีที่น้ำท่าดีตลอดปีเลย สำหรับที่โคราชนะ เพราะเป็นที่ดอน(คำเรียกสำหรับที่นาสูง พึ่งน้ำฝนอย่างเดียวไม่มี ระบบกักเก็บน้ำหรือแม่น้ำไหลผ่าน) แต่ปีนั้นน้ำท่วมใหญ่ทั้งประเทศ แต่น้ำพอดีเปะกับนาข้าวผม ถึงไม่เน้นปุ๋ยเคมี ไม่ใชสารเคมี แค่น้ำเพียงพอข้าวก็งามพอจะให้ผลผลิตเต็มที่ ผมได้ข้าวเยอะเท่าคนที่ใช้ปุ๋ยและสารเคมีคนอื่น ถ้าเทียบพื้นที่เท่ากัน เฉลี่ย 600กิโลกรัมต่อไร่
โอ้โห ทำนามันง่ายๆงี้เลยนะ รู้งี้ทำนานแล้ว ต้นทุนต่ำกำไรสูง เป็นปีที่มีการประกันราคาข้าวด้วย ครบสูตรเลยต้นทุนต่ำ ราคาสูง มีกำไรเหลือซักแสนนิดๆ แบ่งกับเจ้าของนาคนละครึ่ง ผมเหลือประมาณ 50,000.-(เจ้าของนาก็คุณแม่ผมนั่นแหละ ผมไม่รู้รายละเอียดหรอกว่าขายข้าวได้เท่าไร แม่ให้เท่าไรก็ได้หมด) เข้าทางเลยเริ่มต้นทำฝันซิ มีทุนแล้ว รีบไปธนาคารเปิดบัญชีหุ้นทันที รอประมาณ 1 เดือน ไอดี และรหัสการลอคอิน ใช้งานโปรแกรมเทรด(stream) ก็อนุมัติทุนพร้อม บัญชีพร้อม รออะไรล่ะจัดเต็ม
ปีนั้นอินเตอเนตยังเข้าไม่ถึงบ้านผมนะ มีใช้ก็แค่ที่วัดผมก็ไม่รอช้า หอบผ้าหอบผ่อนไปขอเป็นศิษวัด นอนเล่นเน็ต หาความรู้ใส่หัว และเทรดหุ้นทันทีช่วงโลกสวยก็คิดแต่เรื่องอายุน้อยร้อยล้านล่ะนะ 555+
หุ้นส่วนใหญ่ในพอตก็ไม่พ้นหุ้นปัญผล ไสตล์เน้นลงทุนถือนาน ตามหลักสิ่งมหัสจรรย์ที่ 8 ของโลก ก็คือการลงทุนแบบดอกทบต้น ปัญผลซื้อเพิ่มสามปี ห้าปี เจ็ดปี พอตจะโตอย่างนั้นอย่างนี้ ว่าไปนั่น อันนั้นมันทฤษฎีเงินต้องเย็น ใจต้องเย็น ซื้อลืมเหมือนเก็บออม แต่เอาเข้าจริงมันไม่ใช่จริตผมน่ะสิ เช้าส่อง เย็นส่อง นอนกลิ้งไปกลิ้งมา ดูราคา ดูเซต ขยับไปขยับมาทั้งวัน เงินทุนในพอตก็ลดบ้างเพิ่มบ้างในแต่ละวันตามข่าว ตามกระแสเศรษฐกิจ ผ่านไป 1 เดือน เงินทุยในพอตไม่ไปใหน เดี๋ยวเหลือ 48,000 เดี๋ยวเพิ่ม 51,000 อยู่แค่นี้ทั้งเดือน แล้วถ้าเราทำกำไรส่วนต่างนี้ได้ เดือนละ 1,000-2,000 แล้วเอากำไรมาซื้อเพิ่มจะดีกว่าใหมน้าจะลดเวลาได้ไวขนาดใหน ไม่ต้องรอ 3ปี 5ปี 7ปี
เอาละซิเริ่มคิดนอกกรอบแล้วซิ ก็เริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับเทคนิคคอล การใช้เครื่องมือ การอ่าน trend แหล่งข้อมูลหลักก็ไม่พ้นห้องสินธร ในพันทิพนั่นแหละ แล้วก็ได้มีโอกาสเห็นตารางการเกร็งกำไรหุ้นของอาจารย์โชคแห่งห้องสินธร และมีโอกาสได้เข้ากลุ่มไลน์ไปเรียนรู้และแบ่งปัญความรู้ในห้อง ซึ่งจุแประกายและเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของผมมากเลย ทุกท่านแบ่งปัญความรู้ ให้คำแนะนำ ปรึกษา วิเคราะห์ รายละเอียดต่างๆ จนผมพูดได้เต็มปากเลยว่าพื้นฐาน วิธีคิด แนวทางเรีบนรู้ผมเริ่มจากตรงนั้นเลย จนผมทำกำไรได้สม่ำเสมอ เริ่มอ่าน trend ออก หารอบการเทรดได้ จนเงินในกอตค่อยๆโตทีละนิด ความมั่นใจก็มาทีละหน่อย ในที่สุดความโลภก็ครอบงำ
หลังจากผ่านช่วงโชคดีและโลกสวยมาได้ เกือบปีตอนนี้ก็เข้าสู่ปลายปีที่สอง ข้าวก็กำลังจะได้เกี่ยว ทุนในหุ้นจาก 50,000 ตอนนี้ก็เพิ่มมูลค่ามาเป็น 70,000 ทำกำไรเกือบ 50% ในเวลาไม่ถึงปี พย. ปีนั้นผมทำนาเพิ่มจาก 20ไร่เป็น 50 ไร่ ขายข้าวได้กำไรอีก 80,000 ก็รีบเอาไปใส่บัญชีหุ้นทันที ตอนนี้มี 150,000 นิดๆแบบนี้ไม่เกินสามปี ได้จับเงินล้านแน่เว้ยเฮ้ย ออกไปตามหาตัวเองตั้งไกล เสียเวลาก็นาน บ่อทองมันอยู่ในบ้านนี่เองไม่น่ารู้ตัวช้าเลยเรา ไม่งั้นได้เป็นอายุน้อยร้อยล้านไปแล้ว จากผมเอากำไรไปสะสมหุ้นปัญผลทีละพันสองพัน คราวนี้ผมขายหมดไม่สนปัญผลละรวมเงินเป็นกองเดียวเลยจะได้ทำกำไรเน้นๆ ว่างั้นไม่มีคำว่ากระจายความเสี่ยงโฟกัสหุ้นทีละตัวเลย ชื้อขายทั้งหมดในหุ้นเดียวเลย
บททดสอบที่ 2 หลังจากการได้รับโชค คือการประคับประคองอาชีพให้เกิดความสม่ำเสมอและยั่งยืนนั่นเอง และทุกคนทุกอาชีพ จะต้องเจอข้อสอบชีวิตคล้ายๆกันแน่นอน ปลายปีนั้นก่อนตลาดปิดปีใหม่ มีการโยกย้ายทรัพย์ทั้งกองทุน และต่างชาติถอนทุนทำกำไรน่ะซิ มือใหม่ที่เข้าตลาดไม่ครบปีไม่ทันเห็นรอบธุรกิจทุกด้านอย่างผมเปลี่ยนโอกาสเป็นวิกฤติทันที หุ้นไม่เคยร่วงเกิน 20-40 จุดซักครั้ง วันนั้น เกิดแพนิค หุ้นร่วงกว่า 150 จุด ผมน่ะเหรอก็มือใหม่ที่เห็นแต่โอกาสซื้อของถูกไม่ได้รู้ถึงอันตรายตรงหน้าเลย ร่วงไป 20จุด ผมทะยอยซื้อละ 40 จุดซื้อหนักขึ้น 60 จุดซื้อเกือบหมดพอตละ 100จุดนี่ กำไรเละวันนี้ ได้เงินเที่ยวปีใหม่ละเว้ย เทหน้าตักซื้อหมดมือ ผ่านไปมีลงต่อเป็น 120 จุดเอาละซิทุนหมด เริ่มหาข่าวละเกิดอะไรกับจลาดก็ไม่มีเหตุผลอะไร ข่าวนิ่ง ยังฝันถึงกำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำอยู่ เดี๋ยวก็เด้งกลับ ลงไป140 จุด ขาดทุนเกือบจากหุ้นที่ถือเกือบ 40% ตอนนี้เริ่มใจคอไม่ละ สุดท้าย 160 จุดหรือเท่าไรเริ่มกลัวละทีนี้ ตอนนั้นขาดทุน 55% ทนไม่ไหวละ เริ่มทะยอยตัดขาดทุนละ
จนสุดทางที่ 170 จุด ผมคัททิ้งไป ครึ่งพอต เงิน 70,000เหลือ 30,000 นิสๆ เหลือขาดทุนอีก ที่ทนถืออีกครึ่งนึง 70,000 เท่านั้นล่ะ ตลาดกลับสภาพ หุ้นเริ่มดีดราคากลับ มาหยุดเท่าไรไม่แน่ใจละ สมองว่างเปล่าละตอนนั้น แล้วตลาดก็ปิดปีใหม่ เป็นปีที่กินเหล้าก็จืด ร้อนหนาวก็ไม่รับรู้ละ ในหัวคิดแต่หุ้นหลังปีใหม่มันจะลงต่อจะทำไง ถ้าฟื้นตัวแต่ราคาหุ้นไม่ฟื้นจะคัทหรือจะถัว หรือจะแก้ยังไง หรือจะหาเงินใหนมาเพิ่ม หรือ....หรือ....มีแต่คำว่าหรือ....อยู่ใหนหัว
หลังปีใฟม่ตลาดก็ค่อยๆฟื้นตัวกลับมา แต่ก็ฟื้นเพราะหุ้นปัญผล หรือกลุ่มบลูชิพหรอกนะ เหล่าหุ้นปั่นที่หมดรอบน่ะเหรอ ราคาแค่เด้งและย่อ และย่อลงเหวไปเรื่อยๆ สุดท้ายผมก็ทำได้แค่เด้งแล้สคัท เด้งแล้วคัท จากพอต 150,000 กลับไปจุดเริ่มต้น เหลือ 70,000 เท่ากับกำไรทำนาปีนั้นผม บริจาคให้ตลาดหมดเลย ทุกวันนี้หุ้นตัวนั้น ยังเหลือ หมื่นหุ้นสุดท้ายไว้เตือนใจ จากวันที่ตัดสินใจตัดขาดทุนไปกว่า 60% จนวันนี้ผ่านมา 6 ปีราคาติดฟลอ ติดลบ 95% สมบูรณ์แบบ ถือเป็นบทเรียนชั้นเลิศสำหรับการหวังรวยทางลัด โดยไม่ประเมินทุกอย่างให้รอบด้าน และคำพูดแสนจะโลกสวยของคนเทรดหุ้นที่ว่า "ไม่ขายไม่ขาดทุน" ผมบอกได้เลยคนที่เชื่อคำนี้คือคนที่ไม่รู้จักโลกธุรกิจ ที่สนแค่กำไร กับขาดทุน คนไม่ขาดทุนมันไม่มีอยู่จริงในโลกธุรกิจแน่นอน ถ้าผมยังทนถือนะตอนนี้ดงิน 150,000ผมคงเหลือ แค่ 7,500.- นั่นคือค่าเทอมในปีแรกของผมในโลกธุรกิจ
จากนั้นผมเริ่มเทาดอย่างระวังตัวแต่ก็เพิ่มความโลภ หรือมีอารมร่วมกับตลาดมากขึ้น คือคิดแต่จะทำกำไรคืนการเทรดยิ่งโฟกัสไปที่หุ้นปั่นล้วนๆ และจากการเทรดก็เข้าสู่การพนันอย่างเต็มรูปแบบ ก็ไม่ต้องสงสัยนะผลลัพจะเป็นอย่างไร ทุนค่อยๆลดลง ลดลง จนเหลือแค่ 50,000 ไม่นานผมก็มองหาวิธีการเทรดใหม่ๆ ที่ไวขึ้น จากเดย์เทรดแทบจะเป็นนาทีเทรด และความคิดนั้นดึงดูดหรือนำพาโอกาสใหม่เข้ามาหาผม ทำให้ผมรู้จักกับ ตลาด forex อื้อหือ กราฟมันไว ดุดันกว่าหุ้นหลายขุมด้วยความโลภ และพื้นฐานที่มีในหุ้นคิดว่าจัดการได้ก็ย้ายการลงทุนมาที่ฟอเร็ก ด้วยความไม่มีความรู้แต่ก็ออกไม้ตาม trend ถือของวันแรกกราฟวิ่งเกิน 30% ผมก็ยิ่งได้ใจซื้อเพิ่มแต่ไม่ได้ขายนะ ยังเข้าใจว่าไม่ขายไม่ขาดทุนเหมืนหุ้น ผทก็เล่นตาม trend เหมืนหุ้นมันยังไม่สุดทางก็ถือก่อน กำไรไม่หยุดเงิน 50,000 ประมาณ 1650$ แต่ผมออก lot ไปแล้วเกิน 1 lot กำไรตอนนั้น เกือบ 2,500$ ใช้เวลาแค่ สามวะนเท่านั้นเอง เอาละซิเริ่มมโนว่าเกิดมาเพื่อสิ่งนี้อีกแล้ว
จากวันจันทร์ ถึงวันพฤหัสบดี กำไรเกือบเท่าตัวจะสามพันเหรียญอยู่แล้วโอโห ฟ้าหลังฝนมันเป็นอย่างนี้นี่เอง ถ้าไม่เสียหะนคงไม่ได้รู้จักกับโฟเร็กแน่เลยว่าไปนั่น มันเป็นวันศุกร์แรกของเดือนที่มีการประกาศผลการจ้างงานเวลา 20.30 น. ตอนนั้นผมมีแต่ใจกับโลกที่สวยงาม ตีเส้น หาtrend แบะจุดทำกำไรว่างั้น จนถึงเวลาประกาศผลตัวเลขการจ้างงานในสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลโดยตรงกับราคาทองอย่างมาก มันเป็นอีกวันหลังจากผ่านแพนิคสุดโหดในตลาดหุ้นมา ความรถยแรงของมัยและความไม่รู้จักการลงทุนในตลาดนี้มาก่อน หรือจะพูดให้ชัดก็คือ ความเสี่ยงที่สุดไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตลาด ไม่ใช่สถานที่ ไม่ใช่ประเภทหรือชนิดของการลงทุน แต่ความเสี่ยงที่สุดมันคือ ความไม่รู้ เพราะฉะนั้นวิธีจัดการความเสี่ยงที่ดีที่สุดคือการเรียนรู้ให้มากที่สุด
ผลการประกาศตัวเลขจ้างงานวันนั้นออกมาแย่ แต่กราฟก็ขึ้นอย่างแรงมากกว่าพันจุด ทำให้ในตอนนั้นพอตผมมีกำไรเกิน 4000$ หรือมากกว่าสองเท่า ถ้าผมมีความรู้พอคงยายทำกำไรไปแล้วแต่เพราะ ไร้ความรู้ ความเสี่ยงจีงเกิดหลังจากกราฟพุ่งไปถึงจุดสูงสุดในเวลาไม่ถึงหนึ่งหรือสองนาที มันก็ทิ้งตัวลงเหวแดงเถือกแบบเกินพอตผมจะรับไหว เงินสี่พันกว่าเหรียญที่ผมนั่งยิ้มกริ่มคิดถึงวันพรุ่งนี้แค่ระยะเวลาไม่ถึงสองนาที มันลดลงอย่างรวดเร็วเหลือ 3,000 2,000 1,000 กระนั้นผมยังไม้รู้สึกตัวอีก นั่งคิดว่าไม่ขายไม่ขาดทุน รอก่อนยังไงราคามันต้องกลับมา ผ่านไป 5 นาที ตัวเลขในพอตแดงเถือกติดลบ และไม้ล่องหนหายไปจากพอตอย่งไร้ร่องรอย แล้วอีกสิบนาทีหลังจากนั้นกราฟก็ค่อยๆเซ็ตตัวกลับมาที่เดิม แต่พอตผมสะอาด
ผมยังไม่รู้ตัวว่าพอตแตก ยังนั่งจ้องแต่กราฟว่ากลัยที่เดิมแล้ว ถอนทุนออกมั่งดีกว่า เอาไปสะสมหุ้นปัญผลแทน แล้วเกร็งกำไรโฟเร็กแทนไม่เทรดละหุ้นปั่น พอเข้าหน้าเวปไปกดถอนเงินกดกี่ทีก็ไม่มีเงินในเวป นั่นล่ะเริ่มตกใจ เริ่มตื่นตัวละ หยิบโทรสัพหาเพื่อนให้วุ่นมันเกิดอะไรเงินมันไปใหน ราคาก็กำไรอยู่ทำไมถอนเงินไม่ได้ ก็จึงได้คำอธิบายว่าตลาดนี้ไม่มีระบบปัญผล การถือไม้นานยังไงก็ได้ถ้ามีทุนประกันตัวอยู่ถ้าหน้าตักหมดถือว่าเจ๊ง หรือคำเรียกคลาสสิค พอตแตก นั่นเอง โอ้โห เท่านั้นแหละนั่งไม่ติด ยืนเฉยๆไม่ได้ อารมมันเดือดระอุเลย เตะเสาไฟขาดไปหลายต้นได้ 5555 นี่แหละจึงเรียกความเสี่ยงอย่างแท้จริง เสี่ยงเพราะไม่รู้
บทสรุปของการลงทุนของผม บทสรุทของบทเรียนชีวิต ผมเจอเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำๆในอีกหลายการลงทุนในอาชีพใหม่เสมอๆ จนมั่นใจว่าทุกคนเองก็คงจะไม่ต่างกัน มันเหมือนการไปเข้าเรียน ช่วงเรียนอะไรก็ง่ายๆ เจอเพื่อนใหม่ ความรู้ใหม่ วิชาใหม่ อาจารย์ใหม่ ชีวิตราบรื้นสนุกสนาน เมื่อผ่านช่วงโชคดีหรืเรื่วราบรื่นไปแล้ว ก็ได้เวลาทำข้อสอบเพื่อย้ายชั้นเรียน หรืช่วงหมดโชค คนที่ผ่านได้ก็จะได้ไปต่อ และก็จะเห็นโอกาสใหม่ๆมากขึ้น มีแรงสนับสนุนสูงขึ้น ธุรกิจโตขึ้น ส่วนคนที่ประมาทหรือขาดการเรียนรู้ หรือคนหมดโชคก็ต้องตกชั้นทำข้อสอบไม่ผ่าน แต่ข้อสอบชีวืตผลลัพมันกระทบเราโดยตรง ไม่ตกงาน ก็ธุรกิจเจ๊ง ไม่มีสิทธิ์ซ่อม ไม่มีแก้ตัว หวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการหาโอกาสใหม่ๆให้ตัวเองนะครับ
โฆษณา