22 ธ.ค. 2019 เวลา 07:40 • ธุรกิจ
International Man
Like So Much Mulberry Bar
ช่างเหมือนกับเปลือกต้นหม่อนเหลือเกิน
Jeff Thomas
ปี 1260 กุบไลข่านออกใช้เงินเฟียตเป็นครั้งแรก jiaochao ที่ทำจากเปลือกชั้นในของลำต้นหม่อน ต้นหม่อนมีอยู่มากมายในมองโกเลีย ...แต่มีการจัดทำให้เป็นขนาดเดียวและมีลายเซ็นต์ตราประทับของเจ้าหน้าที่หลายระดับ และเพื่อให้เกิดความมั่นใจในหมู่ผู้ใช้ การทำปลอมมีโทษตายสถานเดียว
ทำไมผู้คนถึงยินดีรับเปลือกต้นไม้ว่ามีค่าเท่ากับทองคำหรือซิลเวอร์ ..ซึ่งเป็น money ที่แท้จริงมาก่อนหน้านั้นนับเป็นพันปี ....เพราะมันสามารถแลกคืนเป็นทองหรือซิลเวอร์ได้นั่นเอง แต่เพื่อให้มั่นใจว่าจะต้องมีผู้ยอมรับ กุบไลข่านมีปกาศิตว่าการปฏิเสธไม่รับชำระหนี้ด้วย jiaochao ก็จะมีโทษตายเหมือนกัน
มาทุกวันนี้ มีความซับซ้อนมากขึ้น รัฐบาลไม่ต้องขู่ที่จะฆ่าใครต่อใครที่คิดจะปฏิเสธการใช้เงินเฟียต พวกเขาเพียงแค่ทำให้เกิดความยุ่งยากในการดีลธุรกรรมทุกชนิด..ถ้าไม่ใช้เงินเฟียต
กุบไลข่านทำสงครามยืดเยื้อกับแผ่นดินของพวกราชวงศ์ซ้อง ...สงครามครั้งนี้ดูดเอาเงินในคลังของกุบไลข่านเกือบเกลี้ยง จนไม่อาจ finance สงครามต่อไปได้ ....ดังนั้น ในปี 1273 เขาจึงมีการตราสกุลเงินซีรี่ส์ใหม่โดยไม่มีการเพิ่มทองคำในคลังเลย
พอปี 1287 รัฐมนตรีของกุบไลข่าน Sangha (ออกเสียงไม่ถูกจ้า) ได้ตราสกุลเงินเวอร์ชั่นใหม่ Zhiyuan chao ออกมา bail-out เงินรุ่นก่อนหน้าเพื่อจัดการกับการขาดเงินงบประมาณ มันไม่อาจใช้แลกคืน redeem เป็นอะไรได้ทั้งนั้น และกำหนดใหม่เป็นเหรียญทองแดง
มีภาษิตโบราณกล่าวว่า ถ้าคุณตกลงไปในหลุม ให้หยุดขุดหลุมต่อไปอีก ....แต่เท่าที่ผ่านๆมาในประวัติศาสตร์ พวกผู้นำทั้งหลายสร้างแชร์ลูกโซ่เงินเฟียต และค้นพบว่าตัวเองลงมาอยู่ในหลุมแล้ว แต่ก็ยังเพิ่มความเร็วในการขุดต่อไปเรื่อยๆไม่สิ้นสุด
ในกรณีของกุบไลข่าน..ที่เหมือนๆกับกรณีอื่นๆหลังจากนั้น เงินเฟ้อมาเป็นตัวทำให้เศรษฐกิจพังทลายลง
ทุกวันนี้ ดิกชั่นนารี่นิยาม inflation ไว้ว่า "ราคาสินค้าที่สูงขึ้น" ..ที่จริงควรจะนิยามว่า "การเพิ่มของปริมาณเงินหมุนเวียน" มันคือการเพิ่มขึ้นของต้นทุนสินค้าจากปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้น .....ความต่างกันของนิยามนี่แหละที่สำคัญ เพราะมันทำให้เราโฟกัสไปที่รากของปัญหาแทนที่จะเป็นผลของมัน
ตอนที่มาร์โคโปโลเดินทางมาเอเซีย เป็นช่วงที่เงินเฟียตกำลังประสบความสำเร็จ ..เมื่อกลับไปเวนิซ เขาได้นำคอนเซ็ปต์ของเงินเฟียตไปเผยแพร่ที่ยุโรป ถึงแม้เขาจะอยู่ที่เอเซียนานพอที่จะได้เห็นการล่มสลายของสกุลเงิน แต่ยุโรปก็ยังโดดงับเอาหลักการของเงินเฟียตไปใช้ในโลกตะวันตกมาตั้งแต่นั้น
มันก็จึงไม่แปลกที่เงินเฟียตของยุโรปประสบผลแบบเดียวกันกับ jiaochao ....พอผ่านไปสักระยะหนึ่ง เงินเฟียตทุกๆสกุลที่ตราขึ้นมาก็จะล้มเหลวด้วยเหตุผลเดียวกัน นั่นคือรัฐบาลเริ่มจะขยายไปเกินตัว (ส่วนมากจากค่าใช้จ่ายการสงคราม) มีการพิมพ์เงินไปมากเกินไปเพื่อการใช้จ่ายภาครัฐ ผลสุดท้ายก็เกิดเงินเฟ้อ และการล่มสลายของสกุลเงิน
Fast-forward มาที่ปี 1971 ...ที่สหรัฐ ประธานาธิบดีนิกสันเริ่มประสบปัญหา ทองคำของกระทรวงการคลังถูกเรียกร้องแลกคืนดอลล่าร์จากคู่ค้าเช่น ฝรั่งเศส ..สหรัฐตอนนั้นกำลังติดพันในสงครามเวียตนาม ซึ่งก็ดูดเงินไปไม่ใช่น้อย ..รมว.คลัง John Connally พร้อมกับที่ปรึกษาปธน. อีกหลายคน ได้แนะนำ ปธน.นิกสันให้ขุดหลุมลึกลงไปอีกสักหน่อย โดยการยกเลิกมาตรฐานทองคำและพิมพ์ดอลล่าร์เพิ่มไปเรื่อยๆ
ฟังดูดีมั้ยล่ะ
ดูเหมือนนิกสันก็จะขาดสำนึกในแบบเดียวกับกุบไลข่านเคยเป็นเลย ..ทำผิดแบบเดียวกับเมื่อ 700 ปีก่อน ด้วยเหตุผลเดียวกันเปี๊ยบ และด้วยคำแนะนำของพวกที่ปรึกษาเหมือนกันอีก
สหรัฐผู้เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่เป็นประวัติการณ์ของโลกตอนนั้น กำลังจะเดินไต่บนปากเหว
นั่นน่ะมันเกือบ 50 ปีมาแล้ว ในอดีตเงินเฟียตไม่ใช้เวลานานอย่างนี้หรอกก่อนที่จะพัง แล้วทำไมดอลล่าร์ถึงทนทานใช้เวลานานขนาดนี้นะ
มาดูเรื่องของ money กัน : gold and silver
สหรัฐเข้าร่วมสงครามโลกทั้งสองครั้งตอนที่คู่สงครามบอบช้ำไปมากแล้ว ในปีแรกๆ สหรัฐเป็นผู้ซัพพลายยุทธภัณท์ต่างๆทั้งกระสุนและยานพาหนะในสงครามทั้งสองครั้ง ...ประเด็นคือ สหรัฐยืนยันว่าจะต้องจ่ายค่ายุทธภัณท์เป็นทองคำเท่านั้น
สังเกตุว่า บ่อยครั้งที่ทั้งรัฐบาลสหรัฐและ Federal Resrve บอกกับชาวอเมริกันว่าทองคำไม่ใช่ money ..แต่ในช่วงสงคราม สหรัฐกลับเรียกร้องการชำระค่าสินค้าเป็นทองคำ
ในตอนสิ้นสุดของสงครามโลกทั้งสองครั้ง สหรัฐมีอัตราส่วนของทองคำมากที่สุดในโลก จึงสามารถบงการโลกหลังสงคราม..กำหนดทิศทางมาตรฐานทางเศรษฐกิจของโลกได้เลย
เริ่มจาก คอนเซ็ปท์ที่ว่าโลกจะต้องใช้ดอลล่าร์เป็นสกุลหลัก และหลังจากนั้นก็..เปโตรดอลล่าร์ สกุลเงินที่ใช้ในการชำระธุรกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน
นั่นทำให้สหรัฐขึ้นไปอยู่บนแท่น ..หลังปี 1971 สหรัฐพิมพ์เงินดอลล่าร์ออกมาตามใจชอบโดยที่ทั้งโลกต้องยอมรับมัน ..และมันทำให้เกิดฟองสบู่หนี้สินขนาดใหญ่แบบที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน สหรัฐกลายเป็นประเทศลูกหนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
แต่ในระหว่างทาง รอยร้าวเริ่มปรากฏในฟองสบู่ ผู้ผลิตน้ำมันเช่นอิรัก และลิเบียประกาศว่าพวกเขาจะดีลธุรกิจน้ำมันของพวกเขาในสกุลเงินที่ไม่ใช่ดอลล่าร์ ...ปฏิกิริยาของสหรัฐคือ ฆ่าผู้นำและทำลายรัฐบาลของทั้งสองประเทศแม่งเลย...ง่ายๆแค่นั้น
ไม่นานจากนั้น อิหร่านก็ตัดสินใจในแบบเดียวกัน คราวนี้มีผู้สนับสนุนคือ อินเดีย จีน รัสเซีย และแม้กระทั่งอียู .. นอกจากนี้ จีนและอียูมีการสร้างระบบการโอนเงินเป็นของตนเอง (CIPS และ INSTEX) เป็นการก้าวข้ามสกุลดอลล่าร์
หลายๆประเทศเริ่มที่จะดั๊มพ์พันธบัตรสหรัฐให้กลับไประบบของสหรัฐเอง
ปัจจุบันดอลล่าร์ยังคงมีความเสถียร แต่ก็มีอาการป่วยไม่น้อยเลย มันเกิดขึ้นเมื่อตอนที่สหรัฐทำสงครามในตะวันออกกลางเกือบยี่สิบปีโดยทุ่มเงินนับพันๆล้านดอลลาร์ต่อปี ...Federal Reserve ก็เคยประกาศมาตั้งแต่ปี 2004 แล้วว่า ถ้าเกิดเงินฝืดในประเทศ ก็จะพิมพ์เงินเพิ่มมากเท่าที่จำเป็นเพื่อแก้ปัญหา ....เหมือนเป็นการให้คำสัญญาถึงเงินเฟ้อรุนแรงเลย
และแล้ว ประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอย ถึงแม้จะใช้เวลาที่นานขึ้นเพราะดอลล่าร์ได้เปรียบเงินเฟียตสกุลอื่นๆ ...แต่ก็กำลังจะไปสู่จุดเดียวกับเปลือกลำต้นหม่อนและเงินเฟียตในอดีต ...คือความไร้ค่า
เมื่อมันเกิดขึ้น เราก็คงได้พบกับสิ่งที่กุบไลข่านได้พบมาแล้วเมื่อศตวรรษที่สิบสาม ...คือการกลับคืนสู่ money แท้จริง : ซิลเวอร์และทองคำ
ถ้าคิดจะปกป้องตนเอง ก็รีบเปลี่ยนสกุลเงินที่อันตรายนี้ไปสู่ real money
Editor’s Note: เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า การพิมพ์เงินของ Fed กำลังเข้าสู่เกียร์ overdrive ....Fed ได้ปั๊มพ์เงินมากพอที่จะบิดเบือนเศรษฐกิจและสร้างฟองสบู่ everything bubble ไว้แล้ว ยกต่อไปก็เป็นการพิมพ์เงินออกมาเพื่อทำให้สถานการณ์ไปสู่ breaking point
โลกกำลังเผชิญกับวิกฤติที่ร้ายแรงหลายแนวหน้า
ทองคำเป็นที่หลบภัยเพียงหนึ่งเดียว
โฆษณา