ผมขอนำเอาบทความนี้มาโพสต์เก็บไว้ที่นี้อีกครั้งนะครับ หลังจากที่เคยแสดงความเห็นไว้ในกระทู้Pantip โดยในกระทู้นั้นได้มีผู้คนแสดงความคิดเห็นกันมากมายเกี่ยวกับ ช่วงเวลาแห่งความเสื่อมของพระพุทธศาสนาในกึ่งพุทธกาล อันเป็นกำหนดเวลาของการเสด็จมาอุบัติขึ้นของ “องค์พระศรีอริยเมตไตร” โดยผมเห็นว่าเนื้อหานั้นมันน่าจะมีประโยชน์กับใครบางคน แต่ที่ผมสนใจไม่ใช่ประเด็นการเสด็จมาอุบัติของพระองค์ แต่ผมสนใจเรื่องความเสื่อมของพระพุทธศาสนามากกว่าว่ามันเสื่อมแล้วจริงหรือไม่... ผมจะใช้วิธีการยกเรื่องราวบางส่วนของพุทธประวัติเพื่อเปรียบเทียบและเป็นการชวนให้ท่านขบคิดเกี่ยวกับประเด็นข้างต้นนี้ก็แล้วกันนะครับ
...
ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล หลังจากที่พระพุทธเจ้าของเราได้ตรัสรู้ธรรมะอันประเสริฐแล้ว พระองค์ได้เสด็จไปปฐมเทศนาแก่ ปัญจวัคคีย์ทั้ง5 อันได้แก่ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานมะ และอัสสชิ เป็นพวกแรก และหลังจากที่ท่านโกณฑัญญะ หัวหน้าคณะปัญจวัคคีย์ ได้ฟังพระธรรมเทศนานี้แล้ว ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในทันที จนพระพุทธเจ้าถึงกับทรงเปล่งอุทานว่า "โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ” จากนั้นอีกไม่นาน ปัญจวัคคีย์ทั้ง5 ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ทั้งหมด
...
พระอรหันต์ลำดับต่อมา คือ ยสะกุลบุตร ยสะกุลบุตรมีชีวิตที่รายล้อมไปด้วยโลกียสุข คืนหนึ่งท่านตื่นขึ้นมากลางดึก เห็นสตรีนอนกิริยาน่าเกลียด ท่านจึงเกิดความเบื่อหน่ายและเดินทางออกจากปราสาทไป(เรื่องราวคล้ายกับเจ้าชายสิทธัตถะ) พลางบ่นว่า "ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ" ตลอดทาง จนเขาไปถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวันและพบกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า "ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง เชิญมาที่นี่ เราจะแสดงธรรมแก่เธอ" เมื่อยสะกุลบุตรได้ยินดังนั้น จึงเข้าไปเฝ้า พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงธรรมเทศนาโปรดยสะกุลบุตรจนได้ดวงตาเห็นธรรม ภายหลังบิดาได้เดินทางออกตามหา ยสกุลบุตร และได้ไปพบกับพระพุทธเจ้า พระองค์ได้แสดงพระธรรมเทศนาแก่พระบิดา เมื่อยสะกุลบุตรได้ฟังพระธรรมเทศนาเป็นครั้งที่ 2 ก็สามารถบรรลุอรหัตผลในเวลานั้นเอง
...
จากนั้นพระพุทธเจ้าก็ได้ใช้วิธีแสดงธรรมเทศนาแก่สาวกที่เข้ามาบวชในพุทธศาสนาจนสามารถผลิตพระอรหันต์ได้อีกเป็นจำนวนมาก ถ้าจะให้ประเมินก็คิดว่าคงจะมากมายพอสมควร (ในพุทธประวัติบางบทเคยอ้างไว้ถึงแสนองค์) แต่ที่แน่ๆต้องเกิน 1,250 คน เพราะจากหลักฐานที่บันทึกไว้ว่ามีพระอรหันต์จำนวน 1,250 รูป ได้ไปประชุมพร้อมกันที่วัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย ในวันขึ้น15ค่ำเดือน3 ซึ่งต่อมาชาวพุทธได้ถือเอาวันนั้น เป็นวันมาฆบูชา
...
จากเรื่องราวที่เล่ามานี้เราสามารถตั้งข้อสังเกตุได้สองประเด็นคือ
1. การสำเร็จเป็นพระอรหันต์นั้นสามารถทำได้เพียงฟังและทำความเข้าใจในเนื้อหาสาระที่พระพุทธเจ้าสื่อสารมาเท่านั้น เพราะสังเกตุจากกรณีของ ยสะกุลบุตร ที่ไม่ได้เป็นนักพรตนักบวชไม่ได้บำเพ็ญเพียรอะไรมาก่อนอย่างกับปัญจวัคคีย์ทั้ง5 ก็สามารถสำเร็จอรหันต์ได้ด้วยการฟังธรรมเทศนาเพียงสองครั้ง คำถามคือ คำสอนของพระพุทธเจ้าที่เรารู้กันอยู่ปัจจุบันนั้นถูกต้องหรือมีบางสิ่งบางอย่างถูกปิดบังไม่ได้พูดถึงบ้างหรือไม่ ซึ่งมันทำให้เรา(คนในปัจจุบัน)แทบจะหาคนที่เป็นพระอรหันต์ไม่ได้เลย และทำให้พวกเรามองว่าการเป็นพระอรหันต์นั้นมันช่างยากเย็นแสนเข็ญ ถึงกับเชื่อว่าชาตินี้เราคงไม่มีทางทำได้
...
2. ประเด็นที่สองคือเรื่องความเสื่อมของพุทธศาสนา ปัจจุบันศาสนาพุทธมีการแบ่งแยกเป็นสองฝั่งใหญ่ๆคือ แบ่งเป็นมหายานและหินยาน และในแต่ละฝั่งก็มีการแยกเป็นนิกายย่อยๆอีกมากมาย ถ้าในประเทศไทยฝั่งที่เป็นหินยานก็มีการแบ่งเป็น2นิกายอีกคือ 1.นิกายที่เน้นเรื่องการศึกษาพระไตรฏิฎก(มหานิกาย) กับ2.นิกายที่เน้นเรื่องวิปัสนาธุระ(ธรรมยุต) สำหรับผมที่ได้ชื่อว่าเป็นพุทธศาสนิกชนตามทะเบียนบ้าน ผมไม่สามารถแยกแยะได้หรอกว่านิกายไหนถูกนิกายไหนผิด นิกายไหนคือหนทางอันสมควรจะยึดถือเอามาปฏิบัติ แต่ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ตรงนี้ มันอยู่ที่ว่าตอนนี้พุทธศาสนาถึงจุดที่เราเรียกว่า“เสื่อม”แล้วหรือยัง
...
ดังภาพที่ปรากฏให้เห็นอยู่เนื่องๆเกี่ยวกับวงการศาสนาบ้านเรา ทั้งเรื่องการทะเลาะเบาะแว้งเพื่อแย้งชิงลาภยศสรรเสริญ เรื่องความโลภโมโทสรรค์พอกพูนกิเลสตัญหากามราคะ เรื่องการทำพิธีกรรมพิธีการประหลาดๆ เรื่องการทำให้ผู้คนคลั่งไคล่ไหลหลงสะสมบุญเสียจนไม่ลืมหูลืมตา ฯลฯ เรื่องเหล่านี้น่าจะพอทำให้เราเห็นภาพซึ่งผมถือว่าเป็นเรื่องทางกายภาพที่แม้แต่เด็กๆก็สามารถวิเคราะห์ได้ว่ามันกำลังเป็นเช่นไร แต่ประเด็นสำคัญที่ผมเห็นว่าเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเสื่อมสูงสุดของพระพุทธศาสนานั่นคือ พุทธศาสนาไม่สามารถทำให้บุคคลธรรมดาสามัญอย่างพวกเรา บรรลุอรหัตผลได้เหมือนดั่งที่เคยเกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล อย่าว่าแต่คนธรรมดาเลย แม้แต่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นธรรมทายาทโดยตรงของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ทำหน้าที่นำคำสอนของพระองค์มาถ่ายทอดก็ยังทำไม่ได้
...
ในเมื่อเรารู้แล้วว่าสถานการณ์เป็นแบบนี้ คือไม่มีใครสามารถเป็นพระอรหันต์หรือเข้าถึงพระนิพพานได้ (ถึงแม้ว่านานๆจะมีข่าวเรื่องการเป็นพระอรหันต์ของพระเถรผู้ใหญ่บ้างรูปแต่เราก็ไม่อาจจะแน่ใจอีกเหมือนกันว่าเป็นจริงหรือไม่)ซึ่งต่อให้พุทธศาสนาสามารถดำรงค์อยู่ต่อไปได้อีก2,400ปี แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อมันมีสภาพที่ไม่ต่างอะไรกับลัทธิโยคีชีไพรหรือลัทธิพราหมณ์ปุโลหิตเจ้าพิธีในสมัยก่อนพุทธกาล คำถามคือ...แล้วอะไรคือข้อธรรมะที่ทำให้คนในสมัยพุทธกาลสำเร็จอรหันต์ได้เพียงแค่ชั่วข้ามคืน....
...
สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบอันดับแรกคือ “กลไกที่ทำให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิด” (ผมขออนุญาตไม่อ้างอิงคำที่เป็นต้นฉบับบภาษาบาลีนะครับ เพราะผมเรียนรู้ว่าเวลาที่ผู้อ่านได้ยินคำเหล่านั้นแล้วมักจะทำให้สมองของเขาปิดการจินตนาการในทันที แต่ขอรับรองว่าท่านจะยังได้รับเนื้อหาสาระครบถ้วนอย่างแน่นอน) ผมขอเรียกกลไกนี้ว่า “วงจรกรรม” ก็แล้วกันนะครับ สิ่งนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหม่มากในสมัยพุทธกาล (ผมอยากให้ท่านลองนึกภาพตามนะครับ) ในสมัยนั้นทุกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนักปราชญ์ นักพรต นักบวช รวมทั้งฤาษีชีไพร ต่างก็เสาะแสวงหาวิธีการหลุดพ้นกันทั้งนั้น (การหลุดพ้นหมายถึงการเข้าถึงสภาวะหนึ่งที่มีความบริสุทธิ์) ซึ่งแต่ละลัทธิแต่ละสำนักก็มีกรรมวิธีและขั้นตอนไม่เหมือนกัน บ้างก็ให้ไปบำเพ็ญทุกกริยา เช่นอดอาหาร นั่งสมาธิไม่หลับไม่นอนหลายวันหลายเดือน บ้างก็ให้ประกอบพิธีกรรมบูชาไฟหรือบูชาโน้นบูชานี่ บ้างก็เพี้ยนสุดๆเช่นให้ไปฆ่าคนเป็นจำนวนมาก อย่างในกรณีขององค์คุลีมาร ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งในเวลานั้นก็ไม่มีใครบอกได้เหมือนกันว่าถ้าทำแบบนั้นแล้วจะสามารถหลุดพ้นได้จริง บอกเพียงแต่ว่าให้ทำอย่างต่อเนื่องด้วยความมุ่งมั่นเมื่อถึงเวลานั้นก็จะรู้เองไม่มีใครสามารถบอกได้ การที่พระพุทธเจ้าออกมาประกาศถึงกลไกที่เป็นสาเหตุของการเวียนว่ายตายเกิดนั้นจึงถือว่าเป็นความรู้ใหม่ เพราะมันคือกุญแจสำคัญที่จะไขไปสู่วิธีการหลุดพ้นได้จริง
...
และปัญหานี้ก็เปรียบเสมือนกับเส้นผมบังภูเขา มันเหมือนการคลิ๊ก!!.เพียงนิดเดียวก็สามารถบรรลุได้ทันที มันน่าตื่นเต้นมากเสียจนทำให้พระพุทธเจ้าต้องรีบเดินทางรอนแรมตั้งหลายวันเพื่อไปบอกกับปัญจวัคคีย์ทั้ง5.... และที่มาของ“วงจรกรรม”ที่ว่านี้ก็คือ “กระบวนการการรับรู้สิ่งต่างๆที่อยู่ในชีวิตประจำวันของพวกเรา” นั่นเอง
...
กระบวนการทั้งหมดเริ่มต้นตั้งแต่ที่เรานำเข้าสิ่งต่างๆผ่านช่องทางทางกายภาพเช่น ทางตาคือได้เห็น ทางหูคือได้ยิน ทางจมูกคือได้กลิ่น ทางลิ้นคือได้รส ทางผิวกายคือได้สัมผัส เราเรียกกระบวนการนี้ว่า 1.) “การรับรู้” เมื่อเกิดการรับรู้ประสาทสัมผัสทั้งหมดจะส่งสัญญาณไปที่ศูนย์รวมการรับรู้คือที่จิตใจว่าอะไรเป็นอะไรเช่น มืด สว่าง สวย ร้อน หนาว หวาน ขม เหนื่อย หนัก แข็ง อ่อน ฯลฯ ต่อจากนั้นมันก็จะเกิดกระบวนถัดมาขึ้นแทบจะในทันทีนั้นคือ 2.) เกิดเป็น “ความรู้สึก” เช่นรู้สึก ชอบ ไม่ชอบ เกลียด ขยักแขยง ไพเราะ หนวกหู อร่อย ไม่อร่อย ฯลฯ เมื่อมีความ“รู้สึก”แล้วก็จะมีกระบวนการถัดมาแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นคือ 3.)เกิดเป็น “อารมณ์” เช่น โกรธ หงุดหงิด เบื่อหน่าย คลั่งไคล ฯลฯ อารมณ์กับความรู้สึกมีความคล้ายคลึงกันมาก จะต่างกันตรงที่อารมณ์มันจะมีความเข้มข้นและมีผลต่อจิตใจมากกว่า ซึ่งส่วนใหญ่การแสดงผลของอารมณ์ก็จะมีช่วงเวลาการเกิดที่ยาวนานมากกว่า บางคนนานเป็นวันหรือเป็นปีเลยก็มี และเมื่ออารมณ์เกิดขึ้น ก็จะเกิดกระบวนการถัดมาคือ 4.) เกิดการคิดและตัดสินใจ “กระทำอะไรบางอย่างออกไปและส่วนใหญ่การแสดงออกที่สืบเนื่องมาจากอารมณ์มันก็มักจะไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม และเมื่อเกิดการแสดงออกมา ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดเช่น คิดอยู่ในใจ พูดออกมา หรือกระทำสิ่งนั้นด้วยร่างกาย กระบวนการถัดมาจะเกิดขึ้นทันที นั่นคือ 5.)เกิด“การเกี่ยวข้องกัน”กับคู่กรณี คำว่าคู่กรณีนี้ไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่เฉพาะกับคน สามารถเกิดขึ้นได้กับสัตว์หรือแม้กระทั้งสิ่งของที่ไม่มีชีวิต และเมื่อมีการเกี่ยวข้องกันเกิดขึ้น กระบวนการถัดมาคือ 6.)เกิดการ“กลับมาชดใช้กัน”ในอนาคต ส่วนใหญ่ถ้าไม่สามารถกลับมาชดใช้กันได้ภายในช่วงชีวิตปัจจุบัน กระบวนการนี้จะถูกบันทึกไว้ในรหัสทางจิตวิญญาณ ซึ่งแน่นอนดวงจิตดวงนั้นกับคู่กรณีก็จะต้องกลับมาเกิดร่วมกันในอนาคตไม่วันใดก็วันหนึ่ง และนี่คือสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมเราถึงต้องมีภพมีชาติมีการเวียนว่ายตายเกิดกันอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
...
สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบในลำดับถัดมาคือ “เราจะแก้ไขวงจรนี้อย่างไร” การจะแก้ไขวงจรนี้ได้ เราต้องหาสาเหตุหรือต้นตอที่แท้จริงของมันให้เจอเสียก่อน และสาเหตุที่แท้จริงของมันก็จะซ่อนอยู่ที่กระบวนการนั่นเอง เราสามารถไล่ย้อนกลับไปจนถึงตัวแรกเลยนั่นคือ “ความรู้สึก” แล้วความรู้สึกมาจากไหน พระพุทธเจ้าบอกว่าความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นจาก “ความมีตัวตน” หมายความว่าถ้าเราไม่มีตัวตนก็เท่ากับเราจัดการที่ต้นเหตุได้ เดี๋ยวนะครับ..!!. เมื่อท่านได้ยินคำว่าไม่มีตัวตน บางท่านอาจจะคิดเปรียบเทียบกับความรู้เก่าของท่านว่าหมายถึง ความว่างเปล่าหรือความไม่มีอะไรทำนองนั้น แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ครับ ความไม่มีตัวตนนี้หมายถึง การที่เราไม่เอาตัวเราเข้าไป “ตัดสิน”กับทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในการรับรู้ของเราต่างหาก เราจะไม่แม้กระทั้งรู้สึกว่าเราชอบหรือไม่ชอบสิ่งนั้น เราจะแค่รับรู้ว่าอะไรเป็นอะไรเท่านั้น และเมื่อเราสามารถหยุดกระบวนการทั้งหมดไว้ที่ “การรับรู้” กระบวนการที่น่ามหัศจรรย์ก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เราจะเริ่มมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามที่มันเป็นจริง
...
ผมขออนุญาตขยายความเกี่ยวกับ “ความมีตัวตน”เพิ่มอีกสักนิด ถ้าเราวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่แท้จริงแบบลึกๆของ “ความมีตัวตน” มันจะมีสิ่งหนึ่งที่ขับเคลื่อนมันอยู่ สิ่งนั้นเรียกว่า “ความแบ่งแยก” (เพราะมีความแบ่งแยกเราถึงมีตัวตน)ความแบ่งแยกนี้แอบอยู่ในความคิดของเราแทบจะทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องที่เบาบางที่สุดจนถึงหนาแน่นที่สุด เช่นแบ่งว่านี่เป็นตัวฉันนั่นเป็นตัวเธอ แบ่งแยกว่านี่เป็นบ้านฉันนั่นเป็นบ้านเธอ แบ่งแยกว่านี่ประเทศของฉันนั่นประเทศของเธอ แบ่งแยกว่านี่เป็นศาสนาของฉันนั่นเป็นนิกายของเธอ ฯลฯ และความคิดเรื่องการแบ่งแยกนี้ก็จะมีรหัสทางพฤติกรรมแสดงออกมาเป็น ความหวงแหน ความเก็บกักไว้เป็นของตัว การผลักไส การปิดกั้น ความวิตก ความกลัว ความเกลียดชัง ฯลฯ สรุปง่าย ทุกพฤติกรรมฝั่งที่เป็นลบมันได้ถูกแสดงออกมาจากรากเง้าเรื่อง “การแบ่งแยก”ทั้งสิ้น
...
ดังนั้นคำว่าการ “ละวางความมีตัวตน” น่าจะเป็นวิธีการแก้ไขวงจรกรรมที่ถูกต้องที่สุด แต่...ต้องไม่ใช่ละวางตัวตนแบบไม่มีอะไรเหลือเลย ความมีตัวตนยังคงอยู่ แต่ต้องเปลี่ยนที่รากเง้าของมัน จากเดิมที่มีตัวตนแบบมีรากเง้าเป็น “ความแบ่งแยก” ให้เปลี่ยนเป็นความมีตัวตนแบบที่มีรากเง้าเป็นขั่วตรงข้ามแทน ซึ่งขั่วตรงข้ามนี้พอจะนิยามออกมาเป็นภาษาพูดได้ว่า การหลอมรวม การประสาน การเป็นหนึ่งเดียว การผนึก การผนวก การกอด การรัด หรือความรัก ซึ่งเวลานั้นพระพุทธเจ้าได้ให้นิยามของกระบวนใหม่นี้ว่า “วงจรธรรม” โดยหัวใจหลักของกระบวนการนี้คือ “ความรัก” บางท่านเมื่ออ่านถึงตรงนี้อาจจะมีความคิดขัดแย้งขึ้นมาว่า เรื่องความรักเป็นคำสอนของศาสนาอื่นนี่นา พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่องความรัก... ผิดถนัดครับ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องความรักแน่นอนครับ แถมยังสอนแบบลึกซึ้งเสียด้วย เนื่องจากพระพุทธเจ้าจำเป็นต้องอธิบายเรื่อง “ความรัก”นี้ให้กับนักปราญช์ฟัง ดังนั้นท่านจึงจำแนกเรื่อง “ความรัก”ออกเป็น4ระดับ นั่นคือ 1.)เมตตา 2.)กรุณา 3.)มุฑิตาและ4.)อุเบกขา (ตรงนี้ผมขออนุญาตใช้การเขียนแบบทับศัพท์นะครับ)
...
เรามาดูความหมายของคำว่า “ความรัก” 4ระดับของพระพุทธเจ้ากัน
1.)“เมตตา” หมายถึงความรักที่มีให้กับผู้ที่ต่ำกว่าหรือแย่กว่าเรา เช่นคนที่น่าสงสาร คนที่ลำบากยากจน คนที่กำลังประสบภัย คนที่กำลังเจ็บไข้ได้ป่วย ฯลฯ ความรักระดับนี้จะรวมไปถึงความรักที่มอบให้กับสัตว์โลกทุกชนิดด้วย เพราะทางกายภาพแล้วสัตว์เหล่านั้นถือว่าต่ำกว่ามนุษย์ การแสดงออกซึ่งความรักระดับนี้ถือว่าเป็นระดับพื้นฐานเพราะทำได้ง่ายที่สุด ถึงแม้ว่าจะง่ายที่สุดแต่คนส่วนใหญ่ในสังคมก็ทำไม่ได้ ยังมีการเบียดเบียนสัตว์กันอย่างมากมายมหาศาลในแต่ละวัน ยังมีการฆ่าแกงกันทุกวัน
2.)”กรุณา” หมายถึงความรักที่มอบให้คนที่เสมอกันกับเรา บริบทความเสมอภาคกันนี้อาจจะมีได้หลายรูปแบบเช่น มีฐานะเท่าหรือใกล้เคียงกัน มีความรู้ความสามารถเท่ากัน มีโอกาสเท่ากัน เป็นเพื่อนร่วมโลกเดียวกัน ฯลฯ การแสดงความรักระดับนี้จะถือว่ายากขึ้นมาเล็กน้อย แต่ถึงแม้ว่าจะน้อยเราก็ยังทำไม่ค่อยได้ สังเกตุง่ายๆว่าถ้าเราเป็นคนที่มักจะพูดถึงเรื่องความยุติธรรม,มักทะเลาะกับคนข้างบ้าน,กล่นด่าคนที่ขับรถเห็นแก่ตัวเป็นประจำ ฯลฯ นั่นแสดงว่าเรายังไม่มีความรักระดับนี้อยู่เลย
3.)“มุทิตา” ส่วนมากเราจะเคยได้ยินว่า มุทิตา แปลว่า “การยินดีเมื่อเห็นคนอื่นได้ดี” ถูกต้องครับนั่นคือผลของมันโดยตรง แต่ที่จริง มุทิตา คือความรักที่มอบให้กับคนที่เหนือกว่าเรา รวยกว่าเรา ดีกว่าเรา สูงส่งกว่าเรา ซึ่งบางครั้งสิ่งนี้สำหรับคนทั่วไปจะทำได้ยากเพราะมันไม่ใช่ความสงสาร เราไม่สามารถสงสารคนที่รวยกว่าเราได้ ขอยกตัวอย่างง่ายๆดังนี้ สมมุติว่าเพื่อนรักของคุณเกิดถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง 30 ล้าน ถ้าคุณรักเพื่อนคนนี้ คุณจะยินดีกับเขาอย่างแน่นอน แต่ถ้าไม่ใช่เพื่อนรักล่ะ คุณจะยินดีกับเขาไหม...คำตอบส่วนใหญ่คือไม่ นอกจากไม่ยินดีแล้วยังอิจฉาเขาด้วย ซึ่งความอิจฉานั้นคือขั้วตรงข้ามกับความรัก
4.) “อุเบกขา” หลายคนเข้าใจว่าอุเบกขาแปลว่าการวางเฉย ผมคิดว่าตรงนี้มีความถูกต้องเพียงแค่10 เปอร์เซ็นต์ ที่จริงอุเบกขาต้องหมายถึง ความรักที่มอบให้กับคนที่เราเกลียด เช่นคนชั่ว คนไม่ดี คนนิสัยไม่ดี มากกว่า แล้วลักษณะของความรักที่มอบให้กับคนกลุ่มนี้ ก็ต้องออกมาในรูปของการให้อภัย ให้โอกาส(กลับตัวกลับใจ) เป็นต้น ซึ่งบางครั้งเวลาที่เราเจอกับสถานการณ์แบบนี้ เวลาที่เขาทำสิ่งไม่ดีกับเรา รูปธรรมที่เราต้องแสดงออกมาคือ ไม่ตอบโต้เขา ไม่กระทำการใดๆอันจะส่งผลทำให้เกิดการเกี่ยวเวรเกี่ยวกรรมกัน ซึ่งหากดูเผินๆจะดูเหมือนการวางเฉย
...
ดังนั้นผู้ที่ปรารถนาการหลุดพ้นจำเป็นต้องทำ “ความรัก” แบบพระพุทธเจ้านี้ให้ได้ในทุกระดับชั้น จะเว้นระดับใดระดับหนึ่งไม่ได้ โดยเฉพาะระดับสุดท้ายที่ถือว่ามีความยากที่สุด ใครที่ทำระดับสุดท้ายนี้ได้อย่างจริงใจ จิตของเขาจะถูกเรียกว่าเป็นจิตของพระอรหันต์ ดังที่มีคนเคยเปรียบเทียบว่า พ่อแม่คือพระอรหันต์ของลูก ซึ่งมีความหมายว่าเพราะความรักที่พ่อแม่มีให้กับลูกนั้นมันบริสุทธิ์ไร้ซึ่งเงื่อนไขใดๆ ถึงแม้ว่าลูกคนนั้นจะทำตัวชั่วช้าขนาดไหน พ่อแม่ก็พร้อมที่จะรักและให้อภัยลูกคนนั้นได้เสมอ ซึ่งจิตลักษณะนี้ของพระอรหันต์จะมีความยิ่งใหญ่และแผ่ออกไปได้มากกว่า เขาสามารถรักแบบนี้ได้กับทุกๆคนโดยไม่เลือกว่าจะเป็นคนดีคนเลว น่าส่งสารหรือไม่น่าสงสารเขารักอย่างบริสุทธิ์ใจได้เหมือนกันหมด และนี้คือคุณสมบัติที่แท้จริงของพระอรหันต์
...
ถึงแม้ว่าหัวข้อเรื่องนี้จะคือ “#การดูว่าใครเป็นพระอรหันต์” แต่ผมก็ไม่ปรารถนาให้ท่านเอาวิธีการที่ผมอธิบายข้างต้นทั้งหมดไปใช้เพื่อตรวจสอบหรือตัดสินใคร ผมอยากให้ท่านนำมันไปใช้ตรวจสอบตัวท่านเองมากกว่า มาถึงตอนนี้ท่านพอจะบอกได้ไหมว่าตัวท่านเองนั้นอยู่ระดับไหน ท่านสามารถเช็คได้จากมาตรวัดเหล่านี้ได้ในทุกๆวัน ทุกๆการกระทำด้วยตัวท่านเอง ไม่ต้องให้ใครมาบอก ไม่ต้องให้ใครมาสอนอีกต่อไป... ถึงตรงนี้ผมจะขอมอบเครื่องมือสำหรับใช้เช็คตัวเองอีกชิ้นหนึ่ง เอาไว้ใช้ควบคู่กันไป เครื่องมือตัวนี้มันเป็นเหมือนเครื่องมือตรวจสอบความสามารถของตัวท่าน ซึ่งมีระดับการวัดอยู่4ระดับเช่นเดียวกันคือ ทุกครั้งที่ท่านประสบกับสถานการณ์อะไรก็ตามไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี ถูกใจหรือไม่ถูกใจ ท่านจะแสดงออกต่อสถานการณ์นั้นอย่างไร ขอยกตัวอย่างสถานการณ์ที่ทำให้เห็นภาพชัดๆ เอาเป็นเรื่องของความโกรธก็แล้วกัน ผมเชื่อว่าทุกท่านต้องเคยโกรธ ไม่ว่าความโกรธนั้นจะเกิดจากสาเหตุใด เจอคนขับรถไม่มีมารญาติ, มีข้างบ้านที่เห็นแก่ตัว, มีคู่ครองคิดนอกใจ ฯลฯ มันล้วนสามารถทำให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ได้ทั้งสิ้น ถ้าท่านเจอสถานการณ์เช่นนี้จะทำอย่างไร
1.)คนระดับที่หนึ่ง จะโกรธทันที แล้วก็จะแสดงออกมาทางร่างกายทันทีว่ากำลังโกรธ เช่นการด่า การสาปแช่ง หรือแม้กระทั้งลงไม้ลงมือทำร้ายกัน บุคคลระดับนี้เป็นระดับต่ำที่สุด คนระดับนี้ง่ายต่อการเกิด “วงจรกรรม”มาก เพราะเมื่อใดก็ตามที่เขาตัดสินใจกระทำอะไรลงไปแล้ว การเกี่ยววงจรกรรมกันก็จะเกิดขึ้นทันที พระพุทธเจ้าเคยเปรียบเทียบคนระดับนี้ว่าเหมือนกับบัวที่ฝังอยู่ในโคลนตมใต้น้ำ
2.)คนระดับที่สอง มีทักษะเพิ่มขึ้นมาอีกนิด คือสามารถควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงออกมาทางกายภาพได้ คือไม่ไปด่า ไปว่า ไม่ไปต่อยตีกับคู่กรณี คนระดับนี้ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำให้เกิดผลกรรมทางกายภาพ แต่เขาก็ยังต้องมีการเกี่ยวเวรเกี่ยวกรรมกันอยู่ดี เพราะในจิตใจของเขาเกิดความโกรธไปแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นกรรมทางพลังงาน
3.)คนระดับที่สาม คนระดับนี้จะมีกระบวนการเหมือนกับระดับที่สองทุกประการ แต่จะต่างกันตรงที่คนระดับที่สามนี้มีทักษะการขจัดความโกรธนั้นได้ในที่สุด ไม่ว่าจะกำจัดการมันได้ภายในเวลาเท่าไหร่ 1ชม. 1วันหรือ1 ปี ซึ่งก็ยังดีเพราะถือว่ามีความตั้งใจที่ขจัดมัน ผิดกับระดับที่สองที่ไม่มีความคิดว่าจะทำเลย เรียกว่าแค้นฝังหุ่นตามล้างตามแค้นข้ามภพข้ามชาติกันเลยทีเดียว เราเรียกทักษะการขจัดความโกรธนี้ว่า “การให้อภัย”(แต่ต้องเป็นการให้อภัยจากใจจริงนะ ท่านสามารถตรวจสอบในใจได้ด้วยตัวเองว่าเราให้อภัยเขาได้จริงหรือเปล่า) บุคคลใดที่รู้จักการให้อภัย บุคคลนั้นย่อมได้ชื่อว่าเป็นอริยะบุคคล เป็นคนที่สามารถพัฒนาได้ แต่ว่า...เขาก็ยังไม่รอดพ้นจากกระบวนของ “วงจรกรรม” ได้เพราะว่ากระบวนการการเกี่ยวกรรมมันได้เกิดขึ้นไปแล้วตั้งแต่เริ่มโกรธ การจะแก้มันให้ได้จะต้องรอไปเกิดร่วมกันใหม่เท่านั้น
4.)คนในระดับที่สี่ เป็นคนที่เมื่อประสบกับเหตุการณ์ที่เป็นเงื่อนไขต่างๆ แล้วเขาจะไม่มีความรู้สึก อารมณ์รวมถึงการแสดงออกทางกายตั้งแต่แรก คล้ายๆการที่เราเรียกว่าวางเฉย แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ มันจะต้องเป็นคุณสมบัติแห่งความรักระดับที่4 ดังที่ได้อธิบายไปแล้ว ดังนั้นใครก็ตามที่ทำได้อย่างนี้ จิตวิญญาณของเขาจะค่อยๆปลดเปลื้องภาระกรรมไปทีละเรื่องๆ กรรมในอดีตจะได้รับการแก้ไขทีละเรื่องๆ การปฏิบัติตัวในปัจจุบันก็จะไม่ก่อให้เกิดผลกรรมใหม่ ในอนาคตก็จะไม่มีเงื่อนไขอะไรให้ทำอีก จิตวิญญาณของเขาก็จะถูกเรียกว่า “บริสุทธิ์” ปราศจากน้ำหนักมวล(กรรม)ใดๆ และแน่นอนเมื่อเขาไม่มีอะไรต้องทำอีกแล้ว สภาวะความ “ว่าง” ก็จะเกิดขึ้นกับเขา มันจะเป็นความว่างที่ไม่เหมือนกับสิ่งที่เราพยายามแสวงหากันอยู่ แต่มันเป็น “ความว่าง” ที่ต้องอาศัยการกระทำเท่านั้น วิธีการนั่งหลับตาเฉยๆไม่สามารถจัดการกับกรรมหรือทำให้ว่างได้หรอก
...
มันมีความมหัศจจรย์ของเรื่องนี้อยู่อย่างหนึ่งคือ ใครก็ตามที่สั่นสะเทือนจิตสำนึกของตัวเองเป็นความรักได้ตลอดเวลาจนกลายเป็นความเคยชิน กลายเป็นคุณสมบัติแท้ของเขา คนนั้นจะมีความฉลาดมากขึ้น....ดูจากตัวอย่างที่เรามักจะเคยเห็นกันบ่อยๆที่ มีพระผู้ใหญ่บางรูปที่มีเมตตาสูงๆ จะสังเกตุว่าถึงแม้ท่านจะเรียนจบแค่ป.4 แต่ก็สามารถให้คำปรึกษาแก้ไขปัญหาชีวิตกับคนที่เรียนจบถึงดอกเตอร์ได้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องไสยศาสตร์ลี้ลับอะไรมันเป็นวิทยาศาสตร์ และสาเหตุที่แท้จริงนั้นก็มาจากกลไกการทำงานของสมองเราเองนั่นแหล่ะ ดังที่ได้บอกไปแล้วว่า คนปกติมีความคิดพื้นฐานเป็น “ความแบ่งแยก”ซึ่งความคิดนั้นก็จะมีรหัสการทำงานของมันคือ การเก็บกัก หวงแหน ผลักไส กลัว วิตก เคลียด หยิ่งยโส ปิดกั้นฯลฯ ซึ่งรหัสนี้มันก็จะมีผลในการสั่งงานให้สมองเกิดการทำงานแบบ “ปิดกั้น” ไปด้วย แต่ถ้าเราเปลี่ยนความคิดพื้นฐานให้กลายเป็น “ความรัก” ซึ่งมีรหัสการสั่งงานเป็น การผนวก ผนึก รัด กอด ยึด ดึงดูด เป็นปึกแผ่น แบ่งปัน อ่อนน้อม ถ่อมตัวถ่อมใจ เปิดรับ รหัสที่ว่านี้ก็จะมีผลโดยตรงกับการทำงานสมองให้เป็น “เปิดกว้าง” สายตาของคนๆนั้นจะสามารถมองเห็นอะไรๆที่ไม่เหมือนกับคนอื่น เขาจะสามารถมองเข้าไปในจิตใจของใครต่อใครได้ เขาสามารถเข้าใจมุมมองของแต่ละคนได้ ฯลฯ
...
ด้วยรักจากใจ
อารียา เมตตายา
ธาตรี โภควนิช