23 ธ.ค. 2019 เวลา 07:11 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
<<All about Penicillin>>
"ซื้อยาแก้อักเสบเม็ดฟ้าๆเขียวๆหน่อย"
เป็นประโยคที่ผมได้ยินจนชิน เวลาคนไข้มาขอซื้อยานี้
เรียกว่าแก้อักเสบ เอาสะไม่เกรงใจคุณหมอ Alexander Fleming ผู้ค้นพบเลย 555+ ....
.
มา ! วันนี้ ผมจะเล่าให้ฟังสนุก เกี่ยวกับ ไอ้เจ้า เม็ดฟ้าๆเขียวๆนี่แหละ ที่ชอบซื้อกิน ติดบ้านไว้หน่อย ให้ฟังกัน ว่า มันไม่ควรกินพร่ำเพื่อนะ . . . ถ้าได้รู้ว่า มันสกัด(isolate) แยกมาจากเชื้อรา ! .... ใช่แล้ว มันคือส่วนหนึ่งของเชื้อรา !!
. . .
มาดู time line ของมันกันก่อนนะครับ
ผมเล่าง่ายๆเลย
. . .
#ยาฆ่าเชื้อ #Antibiotics #BacteriaKiller #penicilin
Time line ความเป็นมา ...
.
ประมาณปี ค.ศ. 1928-1929.
Alexander Fleming นายแพทย์ชาวสก๊อต สังเกตเห็นบริเวณใส (clear zone) รอบๆ โคโลนี(บริเวณเติบโต)ของเชื้อรา Penicillium notatum ที่ปนเปื้อนบนจานเลี้ยงเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus sp. ((สรุปเห็นโดยบังเอิญซะงั้น !))
.
เมื่อนำมาศึกษาพบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย......ว่าง่ายๆคือ ตรงไหนมีเชื้อรา Penicillium notatum โต ตรงนั้นจะไม่มีเชื้อแบคทีเรีย Stapp.
_ _ _ _
เพิ่มเติมนะ : Staphylococcus sp. เป็นเชื้อแบคทีเรีย ที่อยู่บนผิวหนังมนุษย์ครับ ถ้าเรามีแผล และ ดูแลไม่ดี มันจะติดเชื้อตัวนี้ได้ครับ
.
ต่อมา
.
ปี 1930.
(ช่วงนั้น เริ่มมีสัญญาณตึงเครียดของการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วนะครับ)
Ernst Boris Chain และ Howard Walter Florey สองนักวิทย์ ของ มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด นำงานวิจัยของ เฟรมมิ่ง มาวิจัยต่อยอด สามารถ แยก Isolate เอาเฉพาะส่วนที่ยับยั้งการเติบโต ของแบคทีเรีย ที่อยู่ในเชื้อราออกมาได้ ทำให้ เราได้มี ยาฆ่าเชื้อ ตัวแรกของโลก สำคัญ นั่นคือ ยากลุ่ม "เพน-นิ-ซิ-ลีน" Penicillin.
.
ต่อมา า
.
การค้นพบดังกล่าว ส่งผลให้ทั้ง 3 คน
Alexander Fleming
Ernst Boris Chai
Howard Walter Florey
ได้รับรางวัลโนเบลสาขา Medicine and physiology ในปี ค.ศ. 1945.
. . . . . . . . . . .
การค้นพบยิ่งใหญ่นี้ มาได้ตรงจังหวะพอดี๊ พอดี .... ช่วงนั้น เกิดสงครามโลกคร้งที่ 2 พอดี ทำให้ ยาฆ่าเชื้อที่พบนั้น ช่วยชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บน้อยลงกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 มากเนื่องจากนำ Penicillin ที่ได้ไปใช้ในการรักษาบาดแผลและนำไปรักษาปอดบวมทำให้อัตราการเสียชีวิตจากโรคปอดบวมในสงครามโลกครั้งที่ 2 ลดลงเหลือ 1%
(อัตราการเสียชีวิตจากโรคปอดบวมในสงครามโลกครั้งที่ 1 18%)
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
หากจะเปรียบเทียบการทำงาน กลไกของยาฆ่าเชื้อกลุ่มนี้ ... ก็คงเหมือนสำนวนไทยที่ว่า *หนามยอก เอาหนามบ่ง*
. . . อารมณ์ประมาณว่า ติดเชื้อมาใช้ไหม?! ได้ !! ก็เอาเชื้อไปฆ่าสิ !!! 5555+ เห็นภาพเลย
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ผมจะขออธิบาย โดยเอาโครงสร้างหลักของยา มาเล่าง่ายๆ นะครับ . . . .อันดับแรก ต้องเข้าใจก่อนนะ ว่า ยาก็คือ เคมีประดิษฐ์ อยากได้ฤทธิ์อะไร? ยังไง? แบบไหน? สร้างสรรค์ได้หมด ตามวิทยาการไปถึง (^,^)
.
ยากลุ่มนี้ เริ่มแรก เดิมที ไม่ทนต่อสภาวะกรด ในกระเพาะอาหาร จึงออกมาเป็น ยาฉีด อย่างเดียว นั่นคือ Penicillin G ... ปัจจุบันนี้ ก็ยังมีข้อบ่งใช้อยู่นะ หลายโรคเลย เช่น ซิฟิลิส เป็นต้น . . . . ตรงโครงสร้างยา ข้างซ้ายสุด นั่นคือ Benzyl gr.(วงหกเหลี่ยม นั่นละครับ) ตรงนี้แหละ ที่ไม่ทนต่อกรด จึงทำออกเป็นยาฉีด
.
..
...ต่อมา
..
.
มีการพัฒนาต่อยอด ตัดเปลี่ยนแปลงโครงสร้างด้านซ้ายให้ทนต่อกรดได้มากขึ้น โดยทำเป็น Phenoxyl gr.(เป็น e-withdrawing gr. ตัวยาคงทนต่อกรดมากกว่า Pen G
สามารถให้โดยการกินได้) เลยกลายเป็นยา Penicillin V ในที่สุด
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
แต่ ไม่ว่าจะเป็น ทนกรด หรือ ไม่ทนกรด ตัวยาทั้งสอง ก็มีโอกาสดื้อยาสูงมาก เพราะ โครงสร้างยา ไม่ทนต่อ น้ำย่อยยา (Penicillinase) เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียสามารถสร้าง น้ำย่อยมาทำลายยา ในตำแหน่ง amide bond ใน β-lactam ringได้
.
(β-lactam ring เป็นป้อมปืนใหญ่ พื้นที่สีเหลืองๆ ที่ผมไฮไลท์ไว้ ตรงนี้ สำคัญมาก เพราะเป็นพื้นที่ออกฤทธิ์ของยา จะโดนทำลายไม่ได้....ถ้าโดนทำลาย จะเกิดดื้อยาทันที)
คราวนี้มาถึงตรงนี้ จะมีชื่อยาอยู่ 2 ชื่อที่ผมมักจะได้ยินจากคนไข้บ่อยๆ ว่า อยากได้ตัวนี้ นั่นคือ
1. อะ มีอก ซี่ (Amoxi) 500
และ
2. อ๊อก แมน ติน (Augmentin) 1,000
.
ซึ่งยาทั้งสองตัวนี้ มีความแตกต่างกัน ในแง่ของการออกฤทธิ์
โดยปกติ ของการรักษาภาวะการติดเชื้อ คือ เราต้องมั่นใจก่อนว่า คนไข้คนนั้น ติดเชื้อจริงๆ หรือ อาจจะเป็นกรณีนี้ คือ คนไข้คนนี้ "เสี่ยง"ต่อการติดเชือนะ (แต่ตอนที่มาหาหมอ หรือ มาร้านยาหาเภสัชนี่ ยังไม่ได้ติดเชื้อนะ)
.
==สรุปคือ คนที่ควรได้รับยาฆ่าเชื้อคือ==
1. คนที่ติดเชื้อแล้ว(ผ่านการซักประวัติจากแพทย์/เภสัช)
2. คนที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ(ผ่านการซักประวัติอีกนั่นละ)
.
..... ถ้าไม่ได้ติดเชื้อ แล้ว กินยาฆ่าเชื้อ....อาจจะส่งผลให้เชื้อตัวดีๆ มันตายไปด้วย เพราะ จากหลักการที่ผมเล่าให้ฟัง คือ "เราเอาเชื้อไปฆ่าเชื้อ" หรือ "หนามยอกเอาหนามบ่ง"
.
ฉะนั้นแล้วเนี้ยยยยย....เวลาเจ็บป่วยอะไร ผมแนะนำ ปรึกษาแพทย์ หรือ เภสัชกร ดีกว่าครับ
.
ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆเลย เวลา "เจ็บคอ" นี่ เอ๊ะ อะ มา ก็จะกินแต่ยาฆ่าเชื้อ (หรือที่คนทั่วไปชอบเรียกว่ายาแก้อักเสบ) นะครับ แบบนี้บ่อยๆ ไม่ดีแน่ๆ เสี่ยงต่อการดื้อยาในอนาคต ---> พอดื้อยา ก็จะไม่เหลือยาอะไรให้ได้ใช้ในอนาคต นะครับ
.
ความสนุกมันอยู่ตรงนี้ เวลาเราเจ็บป่วยอะไร เราจะลัดไปใช้ยาแรงๆ เลยไม่ได้ เพราะ อาจจะทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ ยาแรงจะว่าจะดีเสมอไป....อย่างตัวที่ผมบอกไป ตัว อ๊อก แมน ติน (Augmentin) 1,000 มีอาการข้างเคียงจากยา ค่อนข้างเยอะ ทั้งขี้แตก เป็นกันเยอะนะ ถึง 40%ของคนที่กินยานี้เลยละ , วิงเวียน อ้วก นี่รองๆ
.
เวลาเราจะเลือกใช้ยานี้ ส่วนใหญ่ แล้วจะมีเหตุผลรองรับ หรือ ประกอบการตัดสินใจ เช่น
1. คนไข้ดื้อยา
2. คนไข้แพ้ยา
3. เงื่อนไขการใช้ยาของคนไข้เอง(เอาง่ายๆนะ คนไข้เรื่องมาก กินยายาก นุ้น นี้ นั้น 5555+)
.
พวกเรา บุคคลากรทางแพทย์ เรามี แบบประเมิน และ เทคนิคการซักประวัติอยู่ครับ .
แบบประเมิน และ การซักประวัติ ผมก็โพสให้ดูคราวๆประมาณในรูปเลยครับ
.
หรือถ้า ดูแล้ว ไม่เข้าใจ หรือ สงสัย ก็ ....
.
มาเหอะ .... อยากคุย (พบแพทย์พบเภสัช หรือ ถามมาก็ได้)^^
โฆษณา