23 ธ.ค. 2019 เวลา 11:54 • ธุรกิจ
วิชาปั่นหุ้น รู้ทันเจ้า
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาของตลาดหุ้นไทย ได้มีการพัฒนาระบบการตรวจสอบจับกุมพวกปั่นหุ้นขึ้นมาเยอะแยะ และยังมีการตั้งข้อบังคับที่รัดกุมขึ้นมามากกว่าในอดีตเยอะ แต่การปั่นหุ้นก็ยังคงอยู่ยั้งยืนยงมาได้จนกระทั่งทุกวันนี้ ถึงแม้นักลงทุนจะมีความรู้มากขึ้น ก็ยังเห็นเหยื่อที่ต้องเสียเงินจำนวนมากให้กับกลุ่มคนพวกนี้ เช่น การปั่นหุ้น ABC เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 22 พฤษภาคม ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2557 โดยมีการอำพรางการซื้อขายหุ้น อำพรางผู้ครอบครองหุ้น และมีการซื้อขายรายใหญ่ หรือบิ๊กล็อต ระหว่างผู้ร่วมขบวนการ ยังมีครูอ้อย ซึ่งเคยถูกตั้งข้อสงสัยว่า อาจมีส่วนร่วมในขบวนการสร้างราคาหุ้นให้ร้อนแรง โดยชักชวนให้นักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้น ABC ทำให้ปริมาณการซื้อขายมากขณะที่ราคาหุ้น ถูกลากจากระดับ 2.38 บาท/หุ้น ขึ้นไปสูงสุดที่ระดับ 7.80 บาท/หุ้น มูลค่าการซื้อขายหุ้น ABC จากวันละประมาณ 30,000 หุ้น พุ่งขึ้นไปวันละกว่า 600,000 หุ้น โดยเมื่อนักลงทุนรายย่อยแห่เข้าไปเก็งกำไร กลุ่มที่ร่วมกันปั่นหุ้น ได้ขายหุ้นทำกำไร ทำให้นักลงทุนได้รับความเสียหายจำนวนมาก ในตอนนั้น กลต. ลงโทษปรับ 120 ล้านบาท แต่เทียบไม่ได้กับความเสียหายที่นักลงทุนรายย่อโดนแม้แต่น้อย
5
ยังมีหุ้นตัวอื่นอีกเยอะมากในตลาด ที่จับไม่ได้ ซึ่งผมมองว่าหากเรามาเป้าหมายที่จะลงทุนอย่างยั่งยืน เราควรหลีกเหลี่งหุ้นพวกนี้ออกจากพอร์ตเราซะ เพราะบางคนไม่สามารถแยกหุ้นพวกนี้ได้ คิดว่าตัวเองเป็น VI ไปถัวๆ หุ้นพวกนี้ เพราะเชื่อว่าพื้นฐานมันยังดี โดยมองจากข่าวดีมากมายที่ออกมา แต่แท้จริงแล้ว หุ้นปั่นพวกนี้ หากเจ้ามือขายของออกไปหมดแล้ว ราคาจะร่วงลงไม่หยุด และข่าวร้ายๆจะออกมาเองภายหลัง ซึ่งหากเราผิดพลาด ไปไล่ถัวหุ้นพวกนี้ เป็นไปได้ว่า กำไรที่เคยทำได้มาในอดีต อาจหมดสิ้นไม่เหลืออะไรเลย ดังคำกล่าวว่า “ผิดนิดหน่อยไม่เป็นไร แต่อย่าผิดจังๆก็พอ ตราบใดที่ไม่ผิดจังๆ เราก็ยังเอาคืนได้ไม่ยาก” ซึ่งผมเองตั้งใจสรุปวิธีกรองหุ้นปั่นพวกนี้ออกไป โดยดูจากคุณสมบัติของหุ้นที่เจ้ามือชอบปั่น และศิลปะในการปั่นหุ้น เพื่อให้เรารู้เท่าทันเจ้ากันครับ
1
ลักษณะของหุ้นที่นิยมปั่น
1. มักมีมูลค่าทางตลาด ( MARKET CAPITALISATION ) ต่ำจะได้ไม่ต้องใช้จำนวนเงินมากในการไล่ราคามากนัก อันนี้อยู่ที่เจ้ามือด้วย หากเจ้ามีเงินเยอะมาก หุ้นขนาดกลางสำหรับเราๆอาจคิดว่ามูลค่าทางตลาดสูงแล้ว แต่ในสายตาเจ้ามือที่เงินเยอะมากๆเค้าไม่ได้รู้สึกเหมือนเรา ดังนั้นถ้าเราเลือกหุ้นมูลค่าสูงแล้ว ยังเจอเจ้าปั่นอีก คือเราซวยนั่นเอง แต่หากเลือกหุ้นมูลค่าน้อยๆ แบบนี้เจ้าที่ไหนก็ทำได้
5
2.ปัจจัยพื้นฐานยังไม่ดีเพื่อที่นักลงทุนสถาบันไม่เข้ามาซื้อขายด้วย ซึ่งจะทำให้ยากต่อการควบคุมปริมาณและราคาหุ้น
3.มีราคาต่อหุ้น ( MARKET PRICE ) ต่ำ ถ้าราคาต่ำกว่า 10 บาทยิ่งดี
4.ผู้ถือหุ้นใหญ่รู้เห็นเป็นใจ ส่วนใหญ่พวกนี้ต้องสามัคคีกัน เพราะผู้ถือหุ้นใหญ่มีหุ้นปริมาณมากอยู่ ส่วนใหญ่เค้าไม่เอามาเทรดกัน แต่สามารถเอามาเทรดได้อยู่ หากคนปั่นทำราคาขึ้นไปแล้วโดนผู้ถือหุ้นใหญ่ขายใส่ อาจโดนทุบไม่เป็นท่าได้ ซึ่งความจริงๆแล้ว พวกนี้ต้องรู้เห็นเป็นใจกันอยู่แล้ว
2
ขั้นตอนการปั่นหุ้น
1.เลือกหุ้นที่มีคุณสมบัติดังกล่าว
2
2.กระจายเปิดพอร์ตการลงทุน จะเปิดพอร์ตกระจายไว้สัก 4 - 5 โบรกเกอร์ ในชื่อที่แตกต่างกันมักจะใช้ชื่อคนอื่นที่ไว้ใจได้เช่น คนขับรถ , เสมียน , คนสวน หรืออาจปลอมเป็นฝรั่งผมดำคือให้กองทุนนอมินีเข้าซื้อหุ้นผ่าน NVDR แทน เพื่อป้องกันไม่ให้โยงใยมาถึงตนได้
2
3.การเก็บสะสมหุ้น โดยทั่วไปการเก็บสะสมหุ้น เมื่อเห็นว่าราคาหุ้นลงมามากแล้ว ก็ใช้วิธีทยอยซื้อหุ้นแบบไม่รีบร้อนวันละหมื่นวันละแสนหุ้น ขึ้นกับว่าหุ้นตัวนั้นมีสภาพคล่องมากน้อยขนาดไหน เพื่อไม่ให้ราคาเป็นที่สะดุดตาของนักเก็งกำไร เจ้าจะสะสมจนมีปริมาณหุ้นในมือมากพอ ถ้าระหว่างที่กำลังเก็บสะสมหุ้นยังไม่ได้ปริมาณที่ต้องการ เกิดมีข่าวดีเข้ามาหรือตลาดหุ้นเปลี่ยนเป็นขาขึ้น ทำให้มีรายย่อยเข้ามาซื้อหุ้นตัวนี้ ก็จะใช้วิธีขายหุ้นล็อตใหญ่ๆออกมาเป็นการข่มขวัญนักลงทุนรายย่อย
2
4.เมื่อเจ้ารวบรวมหุ้นส่วนใหญ่ได้แล้ว เจ้ามือจะรู้แล้วว่าตนสามารถควบคุมราคาหุ้นให้ขึ้นหรือลงได้ตามใจชอบ ดังนั้นขั้นตอนต่อไปจะเป็นศิลปหรือเทคนิคการทำกำไรของเจ้ามือกัน โดยมีด้วยกันหลายแบบ
2
แบบที่หนึ่ง การทำ “High Close” หรือทำราคาปิดให้สูงขึ้น นี่คือผู้ทำจะใช้กับหุ้นที่มีสภาพคล่องไม่มากที่คนทำจะเคาะซื้อหุ้นในช่วงปิดตลาดทุกวันหรือเกือบทุกวันต่อเนื่องกันเพื่อทำให้ราคาปรับตัวขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะสร้างภาพว่าหุ้นตัวนั้นกำลังปรับตัวขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่คนทำนั้นใช้เงินไม่มากแต่ทำให้ราคาหุ้นขึ้นไปสูงซึ่งในจุดหนึ่งเขาก็อาจจะขายทิ้งทำกำไร หรือไม่อย่างนั้นคนทำก็อาจจะต้องการให้หุ้นขึ้นไปเป็นฐานราคาอ้างอิงในกรณีต่าง ๆ เช่น เขาอาจจะกู้เงินโดยมีหุ้นค้ำประกัน ถ้าหุ้นมีราคาต่ำเขาอาจจะถูกเรียกหลักประกันเพิ่ม เป็นต้น
2
แบบที่สอง การทำ “Wash Trading” นี่คือการซื้อและขายกันเองในเวลาเดียวกันแบบต่อเนื่องโดยที่เจ้าและทีมงานจะค่อยๆ เพิ่มราคาที่ซื้อขายขึ้นเรื่อยๆ โดยจะส่งคำสั่งซื้อจากโบรกหนึ่งและคำสั่งขายจากอีกโบรกหนึ่งผ่านบัญชีโนมินีเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ จำนวนโนมินีและจำนวนโบรกเกอร์ที่ใช้นั้นยิ่งมากก็ยิ่งปลอดภัย ที่สำคัญ การทำแบบนี้ไม่ต้องใช้เงินลงในหุ้น เสียแต่ค่าคอมมิสชั่นซึ่งก็เสียไม่มากเพราะเขาเป็นนักลงทุนที่มีปริมาณซื้อขายมากซึ่งทำให้สามารถต่อรองกับโบรกเกอร์ได้
9
แบบที่สาม การทำ “Bear Raiding” หรือการ “ล่าหมี” คนที่ทำมักจะขาย Short Sale หุ้นไว้ เสร็จแล้วก็ออกข่าวร้ายและตามด้วยการทุบหรือขายหุ้นอย่างหนักทำให้หุ้นตกลงมาแรงซึ่งทำให้เขาสามารถซื้อหุ้นกลับในราคาต่ำและทำกำไรจากช๊อตเซลเป็นกอบเป็นกำ
2
แบบที่สี่ การทำ “Market Cornering” หรือการ “ต้อนหุ้นเข้ามุม” นี่คือสุดยอดของการปั่นหุ้นที่จะทำให้หุ้นสามารถวิ่งขึ้นไปได้สูงมากและอยู่ยาวพอที่จะขายหุ้นทิ้งทำกำไรได้มหาศาล เหตุผลก็เพราะว่าเมื่อหุ้นถูกซื้อจนเหลือหุ้นที่อยู่ในมือนักลงทุนน้อยมากหรือ “ติดมุม” แล้ว การควบคุมราคาก็ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ราคาหุ้นจะถูกกำหนดให้ปรับตัวในทิศทางที่คนปั่นต้องการนั่นก็คือ ขึ้น ขึ้น และขึ้นทุกครั้งที่มี “ข่าวดี” ซึ่งอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ ตรงกันข้าม เวลามีข่าวร้ายและหุ้นตก การตกก็จะน้อยกว่าความเป็นจริงมากเพราะเขาสามารถรับหุ้นที่จะถูกขายจำนวนน้อยนั้นได้ หลังจากที่หุ้นถูกปั่นขึ้นไปสูงมากจน “เหลือเชื่อ” เนื่องจากคนทั้งตลาดเชื่อในคุณภาพและการเติบโตของหุ้นแล้วและต่างก็เข้าซื้อและไม่ยอมขาย คนปั่นก็จะเริ่ม “ปล่อยของ” คือทยอยขายหุ้นออกไปจนหมด ทำกำไรมหาศาลจากการปั่นที่เต็มไปด้วยศิลปะในการโน้มน้าวจิตใจคน
7
ตอนนี้เพื่อนๆคงพอนึกภาพออกกันแล้วลองไปไล่ดูหุ้นที่อยู่ในใจของแต่ละคนดู ผมรู้ว่าคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ในใจกำลังมีหุ้นที่กำลังคิดถึงกันอยู่ ดีไม่ดียังอยู่ในพอร์ตนั้นแหละ T T จากประสบการณ์ส่วนตัว หุ้นดีหลายๆตัวก็ยังมีทีมทำราคาหุ้นให้บริษัท ข่าวดีมากมายบางทีก็เชื่อไม่ค่อยได้ งบการเงินหากบริษัทจะให้กำไรเพิ่มขึ้นกว่าปกติในไตรมาสนี่ๆนั้น ก็ทำกันได้ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ คนทำราคาเค้าตั้งใจทำออกมาอยู่แล้ว ดังนั้นนอกจากคุณสมบัติของหุ้นปั่นที่เจ้ามือชอบเล่นที่ได้กล่าวไว้ก่อนนี้ เพื่อนๆก็อย่างพึ่งนิ่งนอนใจ ว่าถ้าไม่ได้อยู่ในคุณสมบัติที่ว่าแล้ว จะไม่ใช้หุ้นปั่น 100% ดังคำที่ว่า “จริงคือเท็จ เท็จคือจริง อะไรที่เห็นชัดเกินไป ยอมไม่เป็นผลดี”
2
โฆษณา