25 ธ.ค. 2019 เวลา 17:36
"ของขวัญจากซานต้า ไม่ได้มาแค่ในถุงเท้า"
Air France Flight 8969
กับภารกิจกอบกู้อาชญากรรมกรรมบนเครื่องบิน
F-GBEC ทะเบียนเครื่องบินรุ่น A300 ที่เกิดเหตุ
เมื่อโลกเริ่มพัฒนา เหล่าประชากรบนโลกล้วนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงประชากรชาวอัลจีเรียที่มีกราฟประชากรเพิ่มขึ้นมหาศาลในช่วงปีค.ศ. 1960 เมื่อประชากรเพิ่มมากขึ้น ความต้องการด้านต่างๆย่อมมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่อยู่อาศัย อาหาร การงาน ฯลฯ จนกระทั่งปี 1980 ปลายๆ ประชากรชาวอัลจีเรียเริ่มมีการเคลื่อนไหว เพราะตลาดน้ำมันที่เคยเป็นรายได้หลักกลับผันผวนราคาตกอย่างกะทันหันไปอีก กลุ่ม Islamic Salvation Front (FSI) จึงได้เริ่มก่อตั้งขึ้นเพื่อความอยู่รอดของชาวอิสลามในอัลจีเรียนำโดย Abassi Madani และ Ali Belhadj
ไม่นานนักการเคลื่อนไหวของกลุ่ม FSI เริ่มบานปลาย เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในปี 1991 ขณะอยู่ในช่วงเลือกตั้ง ทางการอัลจีเรียจึงทำการจับกุมผู้นำทั้ง 2 คนเพื่อหยุดความไม่สงบไว้ในวันที่ 30 มิถุนายน 1991 นี่แหละครับคือที่มาซึ่งหายนะในวันคริสมาสต์อีฟในอีก 3 ปีต่อมา
ภาพสงครามกลางเมืองในอัลจีเรีย
สงครามกลางเมืองของอัลจีเรียยังคงไม่หยุด จนปลายปี 1994 สายการบิน Air France ได้รับอาสาลูกเรือที่พร้อมบินไปรับชาวฝรั่งเศสก่อนวันหยุดยาวช่วงคริสมาสต์ (ด้วยความวุ่นวายของสงครามกลางเมือง มีความเสี่ยงจะโดนยิงเครื่องบินทิ้งไม่รู้เมื่อไหร่ จึงต้องถึงขั้นอาสาเลยครับ) จนกระทั่งได้นาย Bernard Delhemme เป็นนักบินที่ 1, นาย Jean-Paul Borderie เป็นผู้ช่วยนักบิน และ Alain Bossuat เป็นวิศวกรประจำเที่ยวบิน พร้อมกับเหล่าลูกเรืออีก 9 คน อาสาบินในเที่ยวบินนี้บนเครื่องบินรุ่น Airbus A300B2-1C ทะเบียน F-GBEC เส้นทางการบินจาก Paris-Orly Airport, ประเทศฝรั่งเศส ไป-กลับ Boumediene Airport, ประเทศอัลจีเรีย จุผู้โดยสารและลูกเรือรวม 232 คน
ขาไปเครื่องบินทำการลงจอดอย่างปกติ และทำการเติมน้ำมัน ต่อด้วยโหลดผู้โดยสารและสัมภาระขึ้นเครื่องในเที่ยวบินขากลับ (เที่ยวบินที่ 8969) เนื่องจากเหตุการณ์บ้านเมืองที่ไม่สงบนัก ทุกเที่ยวบินออกนอกประเทศจำเป็นต้องมีตำรวจมาคอยตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนนำเครื่องขึ้นทุกครั้ง ไม่เว้นแม้แต่เที่ยวบินนี้
กำหนดการนำเครื่องขึ้นของเที่ยวบินที่ 8969 คือ วันที่ 24 ธันวาคม 1994 เวลาท้องถื่น 11.15 น. ก็มีตำรวจเข้ามาตรวจความเรียบร้อย บางส่วนเช็คพาสปอร์ตผู้โดยสาร บางส่วนเดินตรวจตราทั้งในห้องผู้โดยสารและห้องนักบิน เวลาผ่านไปไม่นานนักผู้โดยสารที่จุอยู่เต็มเครื่องก็ต้องตกใจเมื่อ เหล่าชายชุดตำรวจหยิบอาวุธขึ้นมาทั้งปืนไรเฟิล AK-47, ปืนกลระยะสั้น UZI, ปืนพกสั้น, ระเบิดมือ และ Dynamite พร้อมแสดงตัวเองว่าคือกลุ่ม Armed Islamic Group of Algeria (GIA) หรือกองกำลังติดอาวุธชาวอิสลามในอัลจีเรีย นำโดยนาย Abdul Abdullah Yahia มือสังหารชื่อดังขณะนั้น
เริ่มต้นมา อาชญากรสั่งให้ทุกคนทั้งรวมกันทั้งชายหญิง และต้องใช้ห้องน้ำร่วมกันไม่มีการแบ่งแยก สั่งให้ผู้หญิงทุกคนโพกหัว ใครไม่มีก็เอาผ้าห่มบนเครื่องมาโพก อาชญากรชื่อดังคนนี้มีเทคนิคในการคุมสถานการณ์คือ "20 minutes relaxation, 20 minutes of torture" คือจะให้สลับการผ่อนคลายและทรมานกันไปอย่างละ 20 นาทีไปเรื่อยๆ
ต่อมา ทางการอัลจีเรียมาติดต่อกับอาชญากรผ่านหอควบคุม จึงทราบว่าข้อเสนอของเหล่าโจรร้ายคือการปล่อยตัว 2 ผู้นำกลุ่ม FIS; Abassi Madani กับ Ali Belhadj ทว่าก่อนจะตอบรับข้อเสนอของอาชญากร ทางการได้ขอให้ปล่อยตัวผู้โดยสารที่เป็นเด็กและสตรีออกมาก่อน
ฝ่ายโจรร้ายไม่มีท่าทีการปล่อยตัวใดๆ จนเวลาล่วงเลยมาถึงบ่ายโมงกว่า อาชญากรได้บอกให้กัปตันทำการนำเครื่องขึ้นเพื่อมุ่งหน้าไปยังปารีส พวกเขาจะไปแถลงการณ์การก่อการร้ายครั้งนี้ที่ Paris-Orly Airport, ประเทศฝรั่งเศส กัปตันมิได้มีท่าทีขัดขวางเพียงแต่บอกให้โจรร้ายรู้ว่าเครื่องไม่สามารถนำขึ้นได้ เพราะทีมงานภาคพื้นดินยังไม่ได้เอาบันไดลำเลียงผู้โดยสารออกจากประตู โจรร้ายจึงบอกให้กัปตันติดต่อหอควบคุมให้จัดการเรื่องนี้ซะ ทว่าไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆจากทางการอัลจีเรีย
ศพที่ 1 - ตอนตรวจพาสปอร์ตผู้โดยสาร หนึ่งในอาชญากรจำได้ว่ามีคนเป็นตำรวจของทางอัลจีเรีย จึงไปเรียกมาพูดคุยอะไรบางอย่าง จนกระทั่งหลายคนบนเครื่องได้ยินเสียงที่ว่า "อย่ายิงผมเลย ผมแต่งงานแล้ว มีลูกต้องดูแล" สิ้นสุดประโยคนี้ โจรร้ายก็จับชายที่เป็นตำรวจเดินไปที่บันไดแล้วยิงหัวชายคนนี้ทิ้ง แล้วทำการเจรจาใหม่
ศพที่ 2 - ทางการอัลจีเรียยังคงไม่ทำตามข้อเสนอ อาชญากรจึงไปตามหาชาวเวียดนามที่มีเพียงคนเดียวในเที่ยวบินนี้ เรียกมาคราวนี้ไม่พูดคุยอะไรเลย ลากไปที่ยอดบันไดเหมือนกันแล้วยิงทิ้งในสถานการณ์คล้ายกันกับคนแรก
ตัดภาพมาที่ห้องนักบิน ทั้งกัปตัน ผู้ช่วย วิศวกรยังไม่รู้อิโหน่ อิเหน่ จนได้รับอนุญาตจากโจรร้ายให้ทางพนักงานบริการบนเครื่องเอาเครื่องดื่มเข้ามาให้ 3 คนนี้ ระหว่างเสิร์ฟพนักงานบริการก็กระซิบกัปตันว่าข้างนอกมีคนตายแล้ว 2 คน เพื่อให้ทราบถึงความตึงเครียด
ผ่านไป 7 ชั่วโมงจากการบุกยึดเครื่องบิน ภายนอกเริ่มมืด มีเพียงแสงสปอร์ตไลท์เล็ดลอดเข้ามา ภายในเครื่องมีบรรยากาศที่อึมครึมมาก กัปตันจึงพยายามพูดคุยกับโจรร้ายเพื่อให้ผ่อนคลายมากขึ้น รวมถึงซื้อความเชื่อใจว่าจะทำตามคำสั่งจนเสร็จสิ้นภารกิจ
การทหารของฝรั่งเศสได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของผู้โดยสาร 2 คนจึงไม่อยู่เฉย เร่งทำการติดต่อน่านฟ้าอัลจีเรียขอทำการนำกองกำลังจู่โจม Groupe d'Intervention de la Gendarmerie Nationale (GIGN) ไปตั้งหลักอยู่ที่อัลจีเรีย แต่สาเหตุของความขัดแย้งระหว่างประเทศ 2 ประเทศนี้ที่มีมายาวนานทำให้ไม่ได้รับการอนุญาต ท้ายที่สุดกองกำลังได้ทำการบินไปปักหลักอยู่ที่ Palma de Mallorca Airport, ประเทศสเปน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ใกล้กับอัลจีเรียที่สุด
ระหว่างนั้นกองกำลังได้ความคุ้นเคย ฝึกซ้อมกับเครื่องบินรุ่น Airbus A300 ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกันกับที่จะเข้าทำภารกิจในเร็วๆนี้
ภาพการจู่โจมของ GIGN (เหตุการณ์จริง)
วันที่ 25 ธันวาคม 1994 เวลาท้องถิ่น 2.00 น. อาชญากรได้ประกาศปล่อยตัวผู้โดยสารบางส่วน (ไม่รู้ว่ามาจากการพูดคุยกับนักบินด้วยหรือเปล่า) ส่วนใหญ่เป็นเด็กและสตรีรวม 63 คนตามข้อเสนอแรกของทางการอัลจีเรีย แต่ยังไม่ทันไรทางการของฝรั่งเศสได้นำตัวมารดาของ Abdul Abdullah Yahia มาเกลี้ยกล่อมลูกชายและกลุ่มอาชญากรของเขา สถานการณ์ที่คิดไว้ว่าจะดีขึ้นกลับแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะ Abdul Abdullah Yahia โกรธมาก
ศพที่ 3 - หัวหน้าโจรร้ายตามหาชาวฝรั่งเศสบนเครื่องจนพบเชฟหนุ่ม, Yannick Beugnet ที่ทำงานที่สถานทูตฝรั่งเศสในอัลจีเรีย และให้โอกาสเขาร้องขอทางการอัลจีเรียยังไงกก็ได้ให้ทำการเคลียร์พื้นที่สำหรับนำเครื่องขึ้น ภายใน 21.30 น. หากไม่ทำตามจะฆ่าเขาเป็นคนแรก แล้วก็แน่นอนครับ ทุกอย่างยังไม่ได้รับการสนอง บันไดยังอยู่ที่เดิมจนถึงเวลาที่กำหนด และแน่นอนครับ เชฟหนุ่มถูกยิงเสียชีวิตอีกศพที่ยอดบันไดเหมือนสองศพแรก
เหตุการณ์ทั้งหมดกัปตันเห็นกับตาตัวเอง จึงทำการตะโกนผ่านวิทยุถึงอัลจีเรียในทันทีว่า "See what you get when you play tough?!" อารมณ์แบบจะเล่นกับเวลาอีกนานมั้ย เห็นมั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง อีก 30 นาทีก็จะมีคนตายเพิ่มอีกนะ
หลังจากนั้นฝรั่งเศสได้มีการติดต่อไปทั้งนายกรัฐมนตรีของอัลจีเรียและประธานาธิบดีของอัลจีเรีย ถึงความรับผิดชอบหากเกิดอะไรขึ้นกับ Airbus A300 ลำนี้และชีวิตผู้โดยสารทุกคน พร้อมบอกอีกว่าให้ปล่อยเครื่องบินมาลงที่ปารีส ทางฝรั่งเศสเตรียมการทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว
39 ชั่วโมงหลังจากถูกยึดเครื่องบิน, ทางการอัลจีเรียยินยอมปล่อยเครื่องบินให้นำเครื่องบินลำดังกล่าวขึ้นน่านฟ้ามุ่งหน้าไปปารีสในที่สุด
เนื่องด้วยเครื่องจอดใช้ APU (Auxiliary Power Unit) มาเป็นเวลานานทำให้น้ำมันที่มีอยู่บนเครื่องไม่สามารถไปถึงปารีสได้ ต้องจอดเติมน้ำมันที่ Marseille หรืออีกข้อหนึ่งคือเติมที่นี่ ทางอาชญากรเลือกให้ไปจอดที่ Marseille เพื่อให้ออกจากอัลจีเรียก่อน
เครื่องบินได้ถูกนำขึ้นและลงจอดที่ Marseille Provence Airport ในรุ่งเช้าวันที่ 26 ธันวาคม 1994 เวลาท้องถิ่น 3.33 น. แต่หารู้ไม่ว่ากองกำลังจู่โจม GIGN ได้มาทำการสแตนบายไว้ที่นี่ล่วงหน้าแล้วหลังทราบเส้นทางของเครื่องบินเที่ยวบิน 8969
กองกำลังพูดคุยกับเครื่องบินลำนี้ผ่านหอควบคุมที่ Marseille โดยแสร้งทำเป็นหนึ่งในพนักงานในหอควบคุม นำโดย Denis Favier ซึ่งแรกเริ่มมีการพูดคุยเจรจากันเรื่องเติมเชื้อเพลิงเป็นหลัก ระหว่างนั้นก็ทำการถ่วงเวลา ยืดเยื้อการเติมเชื้อเพลิง ไปจนถึงเจรจาขอนำอาหาร/เครื่องดื่มขึ้นไปให้ทุกคนบนเครื่อง การจัดการสิ่งปฏิกูลในห้องน้ำบนเครื่อง อีกทั้งทำความสะอาดต่างๆนานา ในระหว่างการอำนวยความสะดวก ทีมงาน GIGN ที่ปลอมตัวแฝงเข้าไปในกลุ่มพนักงานก็ทำการแอบติดตั้งเครื่องดักฟังไว้ตามจุดที่ได้ฝึกซ้อมกันมา เวลาผ่านไปสักพัก Denis Favier ได้เสนอว่าการอำนวยความสะดวกอาจใช้เวลาอีกนาน ขอให้ทีมอาชญากรทำการแถลงการณ์ที่สนามบินนี้เลยได้หรือไม่ การเอานักข่าวมาที่นี่จะไวกว่า โจรร้ายก็ใช้เวลาปรึกษากันอยู่พักนึงจนกระทั่งตกลง แต่ต้องเคลียร์พื้นที่และนำทีมนักข่าวมาให้ไวที่สุด
ทั้งนี้การยืดเยื้อเวลาทั้งหมดเพื่อให้ถึงเวลามืด และแผนการบุกเข้ายึดเครื่องบินคืนของกองกำลังจะได้สำเร็จง่ายขึ้น แต่เมื่อเวลาล่วงไปนานแสนนาน ยังไม่มีวี่แววของนักข่าวซักคน อีกทั้งการเคลียร์พื้นที่สนามบินก็ไม่ได้ถูกจัดการตามที่ขอ อาชญากรเริ่มรู้ตัวว่าถูกเล่นตุกติก ผู้โดยสารคนนึงได้เล่าว่า Abdul Abdullah Yahia ไปหยิบบทสวดมาสวดบทแห่งความตาย (Prayers for the dead) จากนั้นก็ทำการเดินเข้าไปที่ห้องนักบิน หยิบปืนขึ้นมาเล็งไปที่หอควบคุมและกราดยิงในทันที
สถานการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดหวังไว้ กองกำลัง GIGN ที่สแตนบายทั้งหมดได้รับคำสั่งให้จู่โจมทันที โดยแผนคือเข้าประตูหน้า 8 คน ประตูหลังฝั่งละ 11 คน รวม 30 คน
ภาพแผนการจู่โจมของ GIGN
การจู่โจมครั้งนี้ใช้เวลาเพียง 17 นาทีในการจัดการอาชญากร และช่วยเหลือผู้โดยสารทั้งหมดที่เหลืออยู่ ขณะทำการจู่โจม ผู้ช่วยกัปตันได้ทำการกระโดดออกจากหน้าต่างห้องนักบินเพื่อเอาชีวิตรอดขณะชุลมุน และเป็นการเปิดทางให้ทีม Sniper ได้ยิงง่ายขึ้น ทำให้ทุกคนรอดมาได้ โจรร้าย 4 คน เสียชีวิตในเครื่องบินทันที
ภาพ First Officer กระโดดหนีออกจากหน้าต่าง
จากเหตุการณ์อาชญากรรมคาบเกี่ยววันคริสมาสต์นี้ มีผู้เสียชีวิต 7 คน (ผู้โดยสาร 3 คนและอาชญากร 4 คน), ผู้บาดเจ็บ 25 คน (ผู้โดยสาร 13 คน ลูกเรือ 3 คน และกองกำลัง GIGN 9 คน), และมีผู้รอดชีวิต 229 คน
กัปตัน Bernard Delhemme กลับมาทำหน้าที่ตามปกติหลังเกตุการณ์จนเกษียณในอีก 9 ปีถัดมา, พนักงานบริการบนเครื่องบิน 2 คนลาออกทันทีหลังจากเที่ยวบินนี้, เที่ยวบินปัจจุบันในเส้นทางระหว่าง Charles de Gaulle Airport (แทน Paris-Orly Airport) ไปยังอัลจีเรียปัจจุบันคือเที่ยวบินที่ 1555, 1855, 2155, และ 2455
คริสมาสต์เมื่อ 25 ปีก่อน ณ เที่ยวบินที่ 8969 อาจทำให้ใครหลายคนสะเทือนใจมากกว่าที่คิด ขอแสดงความเสียใจแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตทั้ง 3 คนด้วยครับ
โฆษณา