27 ธ.ค. 2019 เวลา 14:00 • กีฬา
"ธีราทร บุญมาทัน"
การที่คุณได้ไปเล่นฟุตบอล ค้าแข้งกับสโมสรต่างประเทศนั้นจัดว่าเป็นสิ่งที่นักฟุตบอลน้อยคนในประเทศไทยนั้นจะสามารถทำได้ และที่ยากกว่านั้นไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยเท่านั้นก็คือการคว้าแชมป์กับสโมสรนั้นๆ...
J.league นั้นนับว่าเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่สำหรับนักฟุตบอลไทย และอาจจะเป็นความฝันของนักฟุตบอลไทยส่วนใหญ่เช่นกัน แม้ว่าจะเป็น league ที่ไม่ได้แข็งเท่าในยุโรปก็ตาม แต่การเล่นฟุตบอลที่ญี่ปุ่นนั้นมันเต็มเปี่ยมไปด้วย tactic ไหวพริบ และ พละกำลังความฟิตที่สูงกว่า Thai league มากพอสมควร
หลังจากที่ ชนาธิป สรงกระสินธุ์ ได้สร้างตำนานนักฟุตบอลไทยคนแรกใน league สูงสุดของญี่ปุ่น ตามมาด้วยยอดกองหน้าดีกรี La Liga สเปน อย่าง ธีรศิลป์ แดงดา และ fullback ผู้ไม่ย่อท้ออย่าง “ธีราทร บุญมาทัน”
และเป็น “โก๋อุ้ม” คนนี้นั่นเองที่ทำให้ประเทศไทยต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลว่าเป็นนักฟุตบอลไทยคนแรกที่คว้าแชมป์ J.league มาได้อย่างยิ่งใหญ่ พร้อมกับนำความภาคภูมิใจมาสู่แดนสยามแห่งนี้
จากนักฟุตบอลดาวรุ่ง ฝีเท้าจัดจ้านที่สุดคนหนึ่งในตำแหน่ง leftback ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย ซึ่งด้วยวีรกรรมต่างๆในสนามของเขานั้นอาจจะนำมาสู่คำวิจารณ์แง่ลบรวมไปถึงคำด่าทอมากมายที่เกินจริง แต่หารู้ไม่ว่า นอกสนามนั้น เขาเป็นคนที่ทุ่มเทเต็มร้อยให้กับทุก match หรือแม้แต่โปรแกรมฝึกซ้อมต่างๆที่สุดคนนึงที่แฟนบอลชาวไทยได้รู้จัก
ธีราทร บุญมาทัน นั้นได้ถูกปลุกปั้นมาจาก academy ของโรงเรียนอัสสัมชัญ ธนบุรี ซึ่งเป็นแม่พิมพ์ของนักฟุตบอลระดับประเทศหลายต่อหลายคน ก่อนที่จะเริ่มค้าแข้งใน league สูงสุดของประเทศไทยอย่าง ราชประชา
ด้วยฝีเท้า ทักษะ และความนิ่งที่เกินวัย ทำให้สโมสรยักษ์ใหญ่ใน Thai league อย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ต้องการตัวเขาไปร่วมทีมในปีพ.ศ. 2552 พร้อมด้วยดีกรีทีมชาติไทยชุด U-23 ก่อนที่จะติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ในปี พ.ศ. 2553 ด้วยวัยเพียง 20 ปีต้นๆเท่านั้น
แต่เส้นทางอาชีพค้าแข็งของเขานั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หรือ คำชม ยกยอปอปั้น อะไรมากมาย เมื่อเหตุการณ์ที่สร้าง “ชื่อเสีย” ให้กับเขาในปี พ.ศ. 2554 ที่ อุ้ม ธีราทร ได้รับใบแดงไล่ออกจากสนามถึง 2 ใบในจำนวน 2 เกมติดๆ ทำให้จากที่คนไทยมักจะเรียกเขาว่า “เจ้าอุ้ม” กลายเป็น “โก๋อุ้ม” ทันที
เหตุการณ์สั้นภายในไม่ถึงสัปดาห์นั้นทำให้เขาติด blacklist ในการถูกเรียกติดทีมชาติไปอย่างชั่วคราว และแฟนบอลชาวไทยต่างตีหน้าเขาว่าเป็นนักฟุตบอลอันธพาล ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ ซึ่งนั่นก็อาจจะเป็นสิ่งที่เขาสมควรจะได้รับ แต่ก็ยังมีแฟนบอลที่เข้าอกเข้าใจ และให้กำลังใจเขาต่อเนื่องมาเป็นอย่างดี
ซึ่งถ้าเป็นคนที่ไม่ได้มีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งแล้วนั้น การที่เจอเหตุการณ์แบบนี้เข้าไป ย่อมกระทบต่อสภาพจิตใจและฟอร์มการเล่นในสนามอย่างแน่นอน แต่นั่นมันไม่ใช่กับนักฟุตบอลคนนี้
เขาเริ่มที่จะปรับตัวในเรื่องของการควบคุมอารมณ์ควบคู่ไปกับการกวาดแชมป์มากมายกับบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จากที่เป็นดาวรุ่งฝีเท้าเยี่ยม ประสบการณ์ต่างๆนั้นหล่อหลอมให้เขากลายเป็นนักเตะระดับต้นๆของไทย อีกทั้งยังถูกยกย่อง และ ยอมรับว่าเขาคนนี้นี่แหละ “แบ๊คซ้าย ที่เก่งที่สุดในไทย”
หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2558 เขาได้รับเลือกให้ติดทีมชาติไทยชุดใหญ่อีกครั้ง ในยุคของ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ตำนานจอมตีลังกาทีมชาติไทย ซึ่งเขาไม่เพียงแค่เป็นตัวเลือกลำดับแรกในตำแหน่ง leftback แล้ว เขายังดำรงตำแหน่งกัปตันทีมอีกด้วย
ซึ่งไม่มีใครที่จะเหมาะสมในตำแหน่งกัปตันเท่าเขาอีกแล้ว จากประสบการณ์ที่เขาได้รับ และบุคลิกผู้นำที่เหนือกว่าคนอื่นๆทุกคน ย่อมทำให้เพื่อนร่วมทีมเคารพเขาในฐานะผู้นำในสนามไม่ว่าจะแก่กว่าหรืออ่อนกว่าอุ้มก็ตาม
จากเมื่อก่อนที่เขามักจะใช้กำลังและวาจาในการสร้างความได้เปรียบให้กับตัวเองในสนาม แต่หลังจากที่เขาได้รับอะไรต่างๆมามากมาย สิ่งเหล่านั้นที่คนเคยมองว่าเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ เขากลับนำมาใช้เพื่อปกป้องลูกทีมของเขาในสนามได้อย่างเหมาะสมและน่าเกรงขาม
อีกทั้งยังสถาปนาตัวเองเป็นไอดอลและขวัญใจในการเล่นฟุตบอลของเด็กไทยหลายๆคนที่อยากจะทำได้แบบเขา รวมไปถึงการที่เขากลายเป็นขวัญใจแฟนบอลชาวไทยทุกคน แม้แต่แฟนบอลของสโมสรที่เป็นคู่แข่งของสโมสรของอุ้มบางคนก็ต้องยอมรับในฝีเท้าและพัฒนาการของเขา
ซึ่งการ comeback ทีมชาติในครั้งนั้นจะบอกว่า “ฟ้ามีตา” มันก็ไม่ใช่ แต่นั่นเป็นสิ่งที่เขาสมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับต่างหาก
หลังจากที่เขาได้โยกมาอยู่กับ เมืองทอง ยูไนเต็ด ได้เพียงปีครึ่งนั้น แฟนบอลรวมไปถึงผู้บริหารระดับสูงของสโมสรนั้นต่างก็มองว่า Thai league นั้นมันเล็กเกินไปสำหรับเขา ประกอบกับกระแส J.league ที่เริ่มมีการบุกเบิกนำแข้งไทยไปค้าแข้งแล้วนั้น ทำให้เขาได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่จาก Vissel Kobe สโมสรดังจาก league สูงสุดของญี่ปุ่น
แม้ว่าการค้าแข้งที่ Kobe นั้นเขาจะได้เล่นร่วมกับนักฟุตบอลระดับโลกอย่าง Andres Iniesta ที่กลายมาเป็นเพื่อนกันในภายหลัง เขาทั้งสองสนิทสนมกันทั้งในและนอกสนามถึงขนาด Iniesta ยังกด follow Instagram ของอุ้มอีกด้วย แต่ที่ Kobe นั้นยังไม่ถือว่าเป็นฟอร์มที่ดีที่สุดของเขา
ก่อนหน้าการเข้ามาของ Iniesta นั้น Vissel Kobe นั้นเน้นการขึ้นเกมทางด้านริมเส้นเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถนัดสำหรับอุ้ม ในขณะที่เขากำลังปรับตัวให้เข้ากับระบบฟุตบอลญี่ปุ่นนั้น เขาก็ต้องเปลี่ยน style การเล่นไปพอสมควร จากการเข้ามาของ Iniesta ที่ทำให้เน้นการขึ้นเกมตรงกลางมากกว่า
แม้ว่าอุ้มกับ Iniesta จะเล่นได้เข้ากัน ตาม sense บอลกันทันก็จริง แต่อุ้มกลับกลายเป็นต้องวิ่งหาช่องเพื่อรับลูกจ่ายที่มากกว่าเดิม แม้ว่า skill การ cross บอลของเขานั้นอยู่ในระดับสูง แต่นั่นก็ลำบากพอสมควรในการฉายแสง โชว์ฟอร์ม ที่ดีที่สุดออกมาก อีกทั้งยังต้องวิ่งเยอะขึ้น ทดแทนการป้องกันพื้นที่ของนักเตะต่างชาติที่โรยรา
ถ้าว่ากันตามตรง เส้นทางอาชีพการค้าแข้งของ ชนาธิป และ ธีรศิลป์ในญี่ปู่นนั้นอาจจะดูสวยหรูกว่าเขาด้วยซ้ำไป ซึ่งคนหนึ่งติดทีมยอดเยี่ยมของฤดูกาล ส่วนอีกคนอยู่ในสถานะไล่ล่าแชมป์ league แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาได้รับประสบการณ์มากมายจากการเล่นร่วมกับผู้เล่น world-class ไว้เล่าให้ลูกหลานฟัง
ถึงแม้อุ้มจะไม่ได้โดดเด่นมากมายในปีแรกที่ญี่ปุ่นของเขา แต่ในปีนี้ก็สามารถบอกได้เลยว่าเป็นช่วงที่ดีที่สุดในอาชีพของเขาตอนนี้เลยก็ว่าได้ เมื่อเขาได้รับโอกาสให้ลุย J.league ต่อเป็นปีที่สองต่อเนื่องจาก Yokohama F. Marinos
ในช่วงแรกที่ Yokohama นั้นอาจจะหนักหนาที่สุดในอาชีพค้าแข้งของเขาด้วยซ้ำไป และอาจจะช้ำใจยิ่งกว่าอาการ homesick ในช่วงแรกที่เขาอยู่ที่ Kobe ซึ่งอาจจะแลกมาด้วยน้ำตาลูกผู้ชาย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาถอดใจ ซึ่งมันก็อาจจะมีท้อกันบ้าง
แต่แฟนบอลที่คอยสนับสนุนอุ้มมาอย่างต่อเนื่องนั้นมั่นใจอย่างแน่นอนว่า เขานั้นท้อ แต่ไม่ถอยอย่างแน่นอน
การที่มีครอบครัวมาอาศัยอยู่ด้วยกันที่ญี่ปุ่นนั้นย่อมเป็นการจุดไฟสู้ให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องตกเป็นตัวสำรองอยู่เป็นเดือนๆ จากการที่เขานั้นไม่สามารถสื่อสารกับคนญี่ปุ่นได้โดยตรง ซึ่งทำให้เขาต้องมีล่ามคู่ใจ ที่เป็นทั้งเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขามาตลอดที่อยู่ญี่ปุ่น
การสื่อสารนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้ฝีเท้าเลยทีเดียวสำหรับเวทีแข่งขันที่เปี่ยมไปด้วย tactic ที่เหนือกว่าไทยมากมาย ซึ่งทำให้เขาต้องปรับตัวให้เข้ากับ tactic ที่แปลกใหม่และเข้าใจยากมากๆ
ในช่วงแรกๆนั้น การที่ไม่สามารถเข้าใจ tactic ของ head coach ได้อย่างแตกฉานนั้น ทำให้เขาถูกมองข้ามไป ซึ่ง leftback ที่นั่น มันไม่ใช่ leftback ที่เขารู้จักแบบที่คุมพื้นที่ริมเส้น ขึ้นสุดลงสุด แต่มันคือ inverted fullback ที่เพีงเป็นที่รู้จักไม่นานนัก
Inverted fullback นั้นจะเหมือนกับ fullback ปกติในส่วนของการเล่นเกมรับ แต่แตกต่างกันสิ้นเชิงในส่วนของเกมรุก ซึ่งต้องหุบเข้าในมาช่วยกองกลางขึ้นเกม หรือว่า overload พื้นที่ในแดนกลาง รวมไปถึงการป้องกันการ counter attack จากตรงกลางสนามอีกด้วย
ในช่วงต้นฤดูกาลนั้น ตำแหน่ง leftback นั้นถือว่ายังไม่ลงตัวอย่างยิ่ง และยังไม่มีใครสามารถยึดตัวจริงได้อย่างถาวร ซึ่งก็ต้องแลกมาด้วยการลองผิดลองถูก ใช้งานไปทีละคนๆ จนกว่าจะมีคนที่ชนะใจ head coach ชาว Australia อย่าง Ange Postecoglou ได้ จนมีถึงวันที่อุ้มสามารถเล่นได้ตาม tactic ของ Ange ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
สิ่งที่ทำให้ อุ้ม สามารถเอาชนะในการยึดตำแหน่งตัวจริงจากคนอื่นๆที่ถูกส่งลงสนามในตำแหน่ง leftback อีก 3-4 คนของทีมนั้นไม่ใช่ฝีเท้าที่เหนือกว่าพวกเขา แต่เป็นเพราะความพยายามที่จะพัฒนาฝีเท้าตัวเอง หรือเรียกง่ายๆว่า ซ้อมหนักนั่นแหละ อีกทั้งยังนำ tactic sheet กลับไปศึกษาต่อด้วยตัวเองที่ห้องพักอีกด้วย
หากจะบอกว่า ชนาธิป คือพรสวรรค์ที่พระเจ้าบรรดาลให้เขาดั่ง Lionel Messi
ธีราทร บุญมาทัน นั้นคือตัวอย่างของพรแสวงที่เขามีดั่ง Cristiano Ronaldo
อีกสิ่งนึงที่ทำให้ อุ้ม มีภาษีเหนือกว่าคู่แข่งในตำแหน่งเดียวกันนั่นก็คือ เขาสามารถเล่นเป็น midfield ตัวคุมเกมได้ อย่างที่ได้เล่นในประเทศไทยและทีมชาติไทย ทำให้เขามี sense ของ midfield ผสมอยู่ในตัวแม้ว่าจะเป็น leftback ธรรมชาติก็ตาม
ไม่เพียงแค่เรื่องในสนามแข่งเท่านั้น อุ้ม เริ่มที่จะฝึกภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวเอง เพื่อที่จะสามารถสื่อสารกับเพื่อนร่วมทีมได้อย่างดี ในการที่เขานั้นมักจะศึกษาคำและประโยคใหม่ๆอยู่ตลอดเวลาจากล่ามคู่ใจของเขา จนมาถึงวันที่เขานั้นยึดตำแหน่งตัวจริงในทีมได้โดยปริยาย
ก่อนที่จะมีส่วนร่วมในการคว้าแชมป์ league ในช่วงต้นเดือนนี้ที่ผ่านมา อย่างสมเกียรติและสมศักดิ์ศรี สร้างตำนานคนไทยคนแรกที่คว้าแชมป์ J.league ที่ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตาของลูกผู้ชายที่ทุ่มเท ไม่ย่อท้อ และ “พรแสวง” ที่เขาไม่เคยคิดจะหยุดพัฒนา
ในท้ายที่สุด เขาสามารถที่จะเอาชนะคำดูถูก คำด่า หรืออะไรที่แย่ๆมากมาย พร้อมกับตบหน้าแฟนบอล plastic เหล่านั้นด้วยคำว่า “ความสำเร็จ” ได้อย่างดี ซึ่งในชั่วโมงนี้คงไม่มีแฟนบอลคนไหนที่เกลียด และดูถูก อุ้ม ธีราทร บุญมาทัน อีกต่อไป...
พี่อุ้ม ธีราทร นั้นผมมองว่าเป็นคนที่มีบุคลิกผู้นำที่แท้จริง จากการที่ออกมารับคำวิจารณ์ จนไปถึง คำด่าทอ มากมายของแฟนบอล จากผลแข่งขันที่ไม่เป็นใจแทนลูกทีมของเขาด้วยตัวเองและด้วยหัวใจอย่างแท้จริง
เพื่อนๆคิดอย่างไรกันมั่งครับ ?
ติดตามพวกเราได้อีกช่องทางได้ที่ Facebook : Talk Shit Football
โฆษณา