31 ธ.ค. 2019 เวลา 08:22 • ประวัติศาสตร์
ช่วงนี้คำว่าภาพที่มีเสียงออกมากำลังถูกพูดถึงในวงกว้าง ซึ่งในทางภาษาแล้วเราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า “อวัจนภาษา” หรือ “Nonverbal communication” คือการสื่อสารที่ไม่ใช้คำพูดหรือตัวหนังสือเพื่อถ่ายทอดความหมายถึงกัน เช่น ภาษามือ สีหน้า ภาพ รูปสัญลักษณ์
เช่นเดียวกับวัจนภาษา ตัวอวัจนภาษาเองก็มีธรรมชาติที่ต้องเกิด ตายและเปลี่ยนแปลง สัญลักษณ์หนึ่งอาจมีความหมายอย่างหนึ่งแต่เมื่อกาลเวลาเคลื่อนผ่านก็อาจเปลี่ยนความหมายไป เช่น สีดำที่เคยเป็นสีของความรักก็กลับกลายเป็นสีของความทุกข์โศกในปัจจุบัน
แต่โลกนี้ก็ย่อมไม่มีอะไรที่แน่นอน เมื่อมีอวัจนภาษาที่เลิกใช้หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงความหมายก็ย่อมมีอวัจนภาษาที่เก่าแก่ คงทนผ่านกาลเวลานับพันปี เป็นสัญลักษณ์ที่ในปัจจุบันผู้คนยังนิยมใช้และแพร่หลายไปทั่วโลก สัญลักษณ์ของการดูหมิ่นที่เก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์ยังคงอนุรักษ์ไว้และใช้แจกความสดใสใส่กันเสมอมา
สัญลักษณ์ที่เรารู้จักกันดีในชื่อว่า
“นิ้วกลาง”
"It's one of the most ancient insult gestures known," - Desmond Morris
อย่างที่เรารู้กันดีว่าการชูนิ้วกลางขึ้นและหดนิ้วบริวารรอบ ๆ ลงนั้นเป็นสัญลักษณ์ของการแจกกล้วยซึ่งตัวนิ้วกลางนั้นแสดงถึงลำอวัยวะเพศชาย ส่วนจุดที่หดไปแทนลักษณะของลูกอัณฑะ มีความหมายโดยนัยเป็นคำด่าที่หยาบคาย ใช้แสดงใส่กันเมื่อเกิดความไม่พอใจ
ซึ่งความเก่าแก่ของการใช้นิ้วกลางแทนอวัยวะเพศที่มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์นั้นยาวนานสืบย้อนไปได้ถึงยุคกรีก ช่วง 423 ปีก่อนคริสตกาล หรือ กว่า 2,400 ปีมาแล้ว ในบทละครเรื่อง “The Cloulds” ของอริสโตฟาเนส (Aristophanes ) โดยมีตัวละครตัวหนึ่งเอานิ้วกลางมาไว้บริเวณหว่างขาเพื่อสื่อความหมายถึงอวัยวะเพศและใช้นับจังหวะของดนตรี
แต่การใช้นิ้วกลางแสดงถึงการด่าทออย่างหยาบคายนั้นเกิดขึ้นหลังจากนั้นอีกเกือบร้อยปีเมื่อไดโอจีเนส (Diogenes) นักปรัชญาที่เชื่อในความเรียบง่ายและมักเยาะเย้ยถากถาง ประชดประชันสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นความไร้สาระของคนในสังคมอยู่เสมอ ๆ ได้วิจารณ์นักพูดและนักการเมืองนามว่าเดมอสธีเนส (Demosthenes) พร้อมกับแกว่งไกวนิ้วกลางไปด้วย
จนมาถึงยุคโรมัน นิ้วกลางถูกเรียกว่า “digitus impudicus” หรือนิ้วแห่งความหยาบคาย จักรพรรดิคาลิกูลา (Caligula) ผู้โหดเหี้ยมและวิปริตได้คิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้า มีการบังคับประชาชนให้บูชาพระองค์และให้สมาชิกวุฒิสภาจุมพิตที่นิ้วกลางแทนหลังมือเพื่อแสดงความภักดี สร้างความตื่นตระหนกและไม่พอใจให้กับวุฒิสภาอย่างมาก
นอกจากนี้การใช้นิ้วกลางยังปรากฎในงานเขียนต่าง ๆ เช่น บทละคร Epigrammata ของมาร์เทียล (Martial) นักประพันธ์ชาวละตินในศตวรรษที่หนึ่ง ซึ่งเขียนให้ตัวละครตัวหนึ่งชูนิ้วให้หมอ หรือ บันทึกของทาชิตุส (Tacitus) นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันได้กล่าวไว้ว่าระหว่างเดินทัพ ทหารโรมันเคยถูกอนารยชนเยอรมันแจกกล้วยใส่ นั่นหมายความว่า ความหมายของนิ้วกลางได้แพร่ไปหลายพื้นที่ในยุโรปตั้งแต่ยุคโรมันแล้ว
เมื่อเข้าสู่ยุคกลาง คริสตจักรเรืองอำนาจอย่างเต็มที่จนสามารถควบคุมวิถีชีวิตของประชาชนไว้ได้ในทุก ๆ ด้านไม่เว้นแม้แต่เรื่องเพศ มีการกำหนดวันห้ามมีเพศสัมพันธ์ (ทุกวันอาทิตย์ วันพุธ วันศุกร์ ช่วงคริสต์มาส อีสเตอร์ และวันที่มีพิธีหรือวันสำคัญต่าง ๆ รวม ๆ แล้วเหลือวันประกอบกามกิจได้ปีละประมาณ 90-100 วัน) มีการกำหนดท่าที่ควรใช้ร่วมรัก กำหนดวัตถุในการปฏิบัติกิจกรรมเข้าจังหวะว่าใช้เพื่อทำลูกเท่านั้น ห้ามทำเพื่อความบันเทิงเริงใจ ลามไปถึงสื่อลามก โป๊เปลือย อนาจาร หยาบคายต่าง ๆ ก็ถูกสั่งห้ามและการชูนิ้วกลางก็หนีไม่พ้นเช่นกัน
การครอบงำของคริสตจักรส่งผลให้การแจกกล้วยค่อย ๆ เลือนหายไปจากชีวิตจริงของมนุษย์ แต่ถึงกระนั้นพวกมันก็ยังปรากฏอยู่ตามเรื่องเล่า เช่นในยุทธการอาแซ็งกูร์ (Battle of Agincourt) ที่พระเจ้าเฮนรี่ที่ 5 แห่งอังกฤษ ( Henry V of England) ยกทัพเข้าบุกฝรั่งเศส
ขณะนั้นปัจจัยทุกอย่างล้วนเอื้อให้กับฝรั่งเศสได้รับชัยชนะ กองทัพอังกฤษต้องเผชิญกับโรคร้าย ถูกตัดเส้นทางเดินทัพจนขาดเสบียง ทหารเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางไกล แตกต่างกับกองทัพฝรั่งเศสที่สมบูรณ์พร้อมและมีกำลังพลมากกว่าถึง 4-5 เท่า ยกเว้นเสียแต่ว่าการรบในครั้งอังกฤษได้มาพร้อมอาวุธที่ทรงพลังที่สุดในตอนนั้น
“ธนูยาวอังกฤษ”
(ธนูยาวอังกฤษเป็นธนูยาวหกฟุต ต้องใช้แรงน้าวคันศรมากกว่าธนูทั่วไป แต่ก็มีระยะยิงที่ไกลและแรงกว่าเช่นกัน)
เมื่อเข้าสู่สมรภูมิพระเจ้าแฮนรี่ได้สั่งให้ทหารตั้งขวากเป็นท่อนไม้เหลาปลายจนแหลมเพื่อสกัดทหารม้า และระดมยิงจนกองทัพฝรั่งเศสไม่สามารถรุกไล่เข้าไปได้สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กองทัพน้ำหอมอย่างหนัก ถึงขั้นมีเรื่องเล่าว่าทหารฝรั่งเศสนั้นต้องตัดนิ้วชี้และนิ้วกลางของเชลยที่จับมาได้เพื่อไม่ให้กลับไปยิงธนูอีก และนั่นทำให้เหล่าทหารอังกฤษใช้การโบกนิ้วกลางไปมาเพื่อเย้ยหยันและยั่วยุทหารฝรั่งเศสในสนามรบ
(ประมาณว่านี่ไงนิ้วกลางที่แกอยากได้มาเอาสิ)
ซึ่งหลายคนเชื่อว่านี่เป็นต้นกำเนิดของการชูนิ้วกลางในประวัติศาสตร์ แต่ในปัจจุบันค่อนข้างจะยอมรับแล้วว่าการชูนิ้วกลางครั้งนี้เป็นเพียงตำนานต่อเติมเท่านั้น
ส่วนในอเมริกาคาดว่าการแจกกล้วยจะเดินทางเข้ามาพร้อมการอพยพของชาวอิตาลี แต่ก็ไม่มีหลักฐานปรากฏชัดจนกระทั่งปี 1886 เมื่อชาร์ลส์ แรดเบิร์น (Charles Radbourn) พิชเชอร์จากทีมบอสตันบีนีตเตอร์ส (Boston Beaneaters) ชูนิ้วกลางขึ้นมาระหว่างถ่ายรูปหมู่กับทีมนิวยอร์กไจแอนท์ (New York Giant) จนกลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ขึ้น
จนเมื่อเวลาผ่านไปการแจกกล้วยก็ถูกพบเห็นบ่อยขึ้นในวัฒนธรรมอเมริกา มีการชูนิ้วกลางขึ้นในงานต่าง ๆ เช่น Super Bowl คอนเสิร์ตของศิลปินระดับโลก และในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด จนนิ้วกลางกลายเป็นสัญลักษณ์ที่รับรู้ร่วมกันทั่วโลก
แม้ว่าการชูนิ้วกลางในปัจจุบันอาจจะให้ความรู้สึกหยาบคายน้อยลงมากเพราะการปรากฏผ่านสื่อจำนวนมากตลอดเวลา บ้างก็นำมาใช้เป็นมุกตลก บ้างก็นำใช้เพื่อเพิ่มอรรถรสในการแสดง เช่นเดียวกับคำว่า ”เหี้ย” “ดอก”
แต่ความหยาบคายของนิ้วกลางนั้นก็ยังไม่หมดไปการเลือกใช้อย่าถูกที่ถูกเวลาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะภาษานั้นสามารถเชื่อมผู้คนเข้าด้วยกันได้และทำลายชีวิตผู้คนได้เช่นกัน
โฆษณา