1 ม.ค. 2020 เวลา 20:44 • ความคิดเห็น
📽“ รีวิวภาพยนตร์ How to ทิ้ง ?” By ป้อง📽
ในขณะที่แม่กับกี้เดินออกจากโรงหนังด้วยความสงสัยด้วยไม่เข้าใจในสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อ
ผมกลับรู้สึกโชคดีที่เข้าใจทุกอย่างที่หนังเรื่องนี้ต้องการจะสื่อ ราวกับว่าหนังเรื่องนี้ สร้างขึ้นมาเพื่อนักจิตวิทยา นักสะกดจิตบำบัด หรือหมอที่รักษาเกี่ยวกับการทำงานของสมอง และพฤติกรรมของมนุษย์โดยตรงยังไงยังงั้นเลยทีเดียว
จึงขอนำมาอธิบายในมุมมองของคนที่ประกอบอาชีพด้านนี้โดยตรง แบบง่ายๆ และไม่ยืดเยื้อ
เพื่อที่จะอธิบายให้คนที่ไปดูแล้ว เข้าใจตัวหนังมากขึ้น ซึ่งโดยส่วนตัวต้องบอกว่า ผู้กำกับและนักแสดงทำการบ้านมาดีมากจริงๆ
รากเหง้าที่ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นแบบนี้นั่นก็คือ
“พ่อ” ที่ทิ้งจีน แม่ และพี่ชายไป
และคำถามที่จีนวนเวียนถามซ้ำๆ และคิดย้ำๆทุกวันว่า “ทำไมพ่อถึงทิ้งพวกตนไป?” ตั้งแต่เด็กนั่นเอง
ที่ทำให้จีนกลายเป็นคนแบบเดียวกับพ่อไปโดยไม่รู้ตัว (ทั้งๆที่ไม่ได้อยากเป็นเลย)
เนื่องจากเมื่อใดก็ตามที่สมองคิดถึงสิ่งใดบ่อยๆ เป็นประจำจนเคยชิน
“เราก็จะกลายเป็นคนแบบที่เราคิดโดยไม่รู้ตัว”
รู้ตัวอีกที ก็ไปทำอะไรแบบนี้กับคนอื่นได้อย่างง่ายดาย โดยไม่สนใจ ไม่แคร์ว่าใครจะเดือดร้อนแค่ไหน เหมือนกับที่พ่อทำกับตน
ไม่เว้นแม้แต่กับ “เอ็ม” ที่เป็นคนรัก ที่จีนเลือกที่จะตัดการติดต่อทุกอย่างหลังจากที่ตนบินไปอยู่ที่สวีเดนโดยไม่คิดที่จะบอกกล่าวหรืออธิบายอะไร ด้วยตนเชื่อว่า “มันไม่จำเป็น” ความรู้สึกคนอื่น ไม่มีความสำคัญอะไรกับตน
และนั่นเอง จีนก็ได้ทำกับเอ็ม เหมือนกับที่ตัวเองโดนทำมาเด๊ะๆ (พฤติกรรมของมนุษย์นั้นคือ โดนใครทำอะไรไว้กับตน ก็มักจะไปทำแบบนั้นกับคนอื่น เหมือนกับต้องหาการหาแพะมารับบาป มาเอาความรู้สึกนี้ไปแทนตน”
และเมื่อวันหนึ่ง ที่จีนถูกความรู้สึกผิดที่ไม่เคยหายไปไหนกลับเข้ามาทำร้าย จึงทำให้จีนกลับมาทำอะไรบางอย่างเพียงเพื่อความสบายใจของตนเอง
ด้วยการเอาของกลับมาคืนเอ็ม เหมือนที่เอาไปคืนคนอื่นๆ และกล่าวคำขอโทษ เพื่อที่จะให้ความรู้สึกผิดถูกปลดปล่อยออกจากใจของตน
ซึ่ง “มันก็ช้าไปแล้ว”
เอ็ม ผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่เคยได้รู้เหตุผลแม้ซักนิดว่าทำไมอยู่ๆคนรักถึงทิ้งตนไป แถมชีวิตก็ยังคงต้องไปต่อ
ก็คิดซ้ำๆ วนเวียนอยู่กับความไม่เข้าใจ วนเวียนอยู่กับคำว่าทำไม เพราะอะไร และความคิดเหล่านี้ก็กลายเป็นคุก ขังเอ็มไว้ในใจของตนเอง ซึ่งก็ส่งผลกระทบมายัง “มี่” แฟนคนปัจจุบัน ที่ต้องคบกันทั้งๆที่รู้ว่าเอ็มมีอดีตที่ไม่เคยหายไป และก็ไม่เคยมีเธออยู่ในปัจจุบันได้เลยจริงๆ
และสุดท้าย เอ็ม ก็ทำกับมี่แบบเดียวกันกับที่ถูกจีนทำ อาจจะดีกว่าตรงที่ เอ็มมีเหตุผลให้กับมี่ว่า
“ชีวิตคนเราต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด”
และเป็นที่แน่นอนคือ ในอนาคต “มี่ ก็จะไปทำแบบนี้กับคนอื่นต่อเช่นกัน (พฤติกรรมผลักไสความความทุกข์ไปให้แพะรับบาปดังข้างต้นที่กล่าวไว้) ส่งต่อกันเป็นทอดๆ ต่อไปอย่างไม่รู้จบ
จริงๆแล้ว หนังเรื่องนี้กำลังสะท้อน พฤติกรรม และวิธีคิดของคนในสังคมยุคนี้เป็นอย่างมาก
ในเรื่องของ “ความเห็นแก่ตัว” และคิดถึงใครไม่เป็น และสุดท้าย สิ่งเหล่านั้นมันก็ไม่เคยหายไปไหน มันก็ยังเป็นสิ่งที่ผิดๆอยู่ในใจไปตลอด
และไม่มีใครเลยที่จะมีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้เลย และลองมองไปรอบๆตัว ว่า ณ ปัจจุบันนี้ คนแบบจีนมีเยอะแค่ไหนในสังคมเรา
ทั้งหมดทั้งมวล กำลังสะท้อนให้เห็นว่า “ความคิด “ มีอิทธิพลกับชีวิตมากมายมหาศาลแค่ไหน
คนเรายุคนี้เป็นทุกข์เพราะความคิดกันมาก
ผู้คนมากมายพันธนาการตัวเองและขังตัวเองไว้ใน “คุกแห่งความคิด” และไม่เคยรู้วิธีที่จะออกจากคุกได้เลย
ซึ่งนั่นก็สะท้อนกลับมาอีกทอดว่า มนุษย์ ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองเลยสักนิด ไม่รู้จักแม้กระทั่ง “ความคิด” ของตน และนี่เองจึงเป็นต้นเหตุของความทุกข์และปัญหาทั้งหมด
“และมันก็จะเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิต ตราบใดที่เค้ายังไม่รู้จักธรรมชาติของตนเอง”
ต้องขอชื่นชมผู้กำกับ พี่เต๋อ ที่กล้าทำหนังแบบนี้ออกมาแบบไม่กลัวเจ๊ง และไม่กลัวโดนด่า
ถือว่าเป็นผู้กำกับที่กล้าหาญจริงๆ และชัดเจนกับตัวเองจริงๆ ว่าต้องการทำอะไร? และทำไปทำไม?
และนี่ คือทั้งหมดที่อยากอธิบายให้ใครก็ตามที่ได้ดูหนังเรื่องนี้แล้วได้เข้าใจ
สุดท้ายนี้ ผมขอรวบรวมสิ่งที่ได้จากหนังเรื่องนี้มาย่นย่อและฝากทิ้งท้ายไว้เป็นบทสรุปและข้อคิดทั้งหมดไว้ดังนี้
🖤ต่อให้ทิ้งทุกอย่างจนหมดไม่เหลืออะไร แต่ถ้าทิ้งด้วยความไมเข้าใจ ก็ยังไม่ถือว่า
“ทิ้ง”อยู่ดี
มันก็เป็นได้แค่เพียงการ “หนีปัญหาแบบผิดๆ” เท่านั้นเอง🖤
จบการรีวิว
ป้อง
โฆษณา