ในปี 2004 ลีกเจอกับปัญหาเรื่องภาพลักษณ์อีกครั้ง เมื่อเกิดเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทครั้งใหญ่ ที่เรียกว่า “Malice in the Palace” ที่ Detroit โดย Ron Artest บุกตะลุยขึ้นที่นั่งคนดูไปต่อยกับแฟนคนหนึ่งที่เขาสงสัยว่าปาแก้วเบียร์ใส่เขา ก่อนเกิดการตะลุมบอนกับผู้เล่นอีกหลายๆ คนตามมาด้วย
แน่นอนว่า ตอนที่ออกกฏตอนแรก ก็ได้รับกระแสตอบรับที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง ด้วยความที่ดูเป็นกฏที่มุ่งจำกัดคนผิวสี โดยเฉพาะอย่าง Allen Iverson หรือ Rasheed Wallace
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ทุกคนก็หาแนวทางของตัวเองที่จะแต่งตัวกันอย่างสนุกสนานภายในขอบเขตของกฏเกณฑ์ ทำให้เราได้เจ้าพ่อแฟชั่นอย่าง Russell Westbrook หรือ James Harden ในช่วงต่อๆ มา
4.
แต่ท้ายสุดแล้ว ผลงานที่โดดเด่นที่สุดของ Stern คือการที่เขาทำให้ NBA กลายเป็นถุงเงินถุงทองอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ โดยเฉพาะ การจับเอาถ่ายทอดสดการแข่งขันไปลงฉายใน TV อย่างต่อเนื่อง
จากที่แต่ก่อนจะดู NBA เกมนึงที ต้องมานั่งรอเทปรีเพลย์ถ่ายทอดตอนดึกๆ Stern ได้คะยั้นคะยอปั้นสัญญาแล้วสัญญาเล่า จนตอนนี้แทบจะเห็น NBA ได้ทั่วทุกพื้นที่จอทุกรูปแบบทุกเวลา
แค่นั้นยังไม่พอ Stern ยังเป็นคนที่เห็นแววศักยภาพของตลาดในประเทศจีนอีกด้วย และได้รุกหนักในการเอา NBA เข้าไปฉายในจีน จนตอนนี้ก็ได้กลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญของลีกอีกเช่นเดียวกัน