5 ม.ค. 2020 เวลา 03:30 • ประวัติศาสตร์
The last girl : My story for captivity, and my fight against the Islamic State
Written by : Nadia Murad
หนังสือเล่าถึงเรื่องราวของ Nadia Murad หญิงสาวชาวยาซีดิส ที่ต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมในสิทธิมนุษยชน บ้านเมืองของเธอถูกรุกล้ำและทำลายโดยพวก ISIS เพียงเพราะคนในบ้านเมืองของเธอมีความเชื่อที่ต่างออกไป เธอถูกทำร้ายและข่มขืนโดยพวก ISIS ที่แก้ไขความเชื่อจนเชื่อว่าชนชาติของเธอสามารถถูกซื้อขายเป็นทาส และสามารถถูกข่มขืนทั้งๆที่เธอยังเป็นเพียงเด็กสาวได้โดยไม่ได้ผิดหลักศาสนาและความเชื่อแต่อย่างใด พี่น้องของเธอถูกฆ่าตายและทรมาน ส่วนตัวเธอเองหนีออกมาเพื่อที่จะเรียกร้องสิทธิที่ชนชาติของเธอควรจะได้รับ
บ้านเมืองของเธอเชื่อและนับถือในนกยูง (Tawusi Melek) นกยูงเป็นเหมือนเทพที่ถูกส่งลงมาจากพระเจ้า แต่ในมุมของชาวมุสลิมอิรัก พวกเขากลับลบหลู่นกยูงและความเชื่อทั้งหมดเหล่านั้นพร้อมกับตราหน้าว่าชาวยาซีดิสเป็นเพียงพวกที่นักถือปีศาจ รวมไปถึงความเชื่อบางอย่างก็ถูกนำมาล้อเลียนและดูถูกอยู่เสมอ เช่น ชาวยาซีดิสบางคนไม่สวมเสื้อผ้าสีฟ้าเพราะเป็นสีของเทพเจ้านกยูง และเป็นสีที่ศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าจะเอามาสวมใส่
หนังสือเริ่มเล่าจากชีวิตของเธอในหมู่บ้านนอกเมือง Kocho เธออาศัยอยู่กับแม่ พี่สาว 2 คน และพี่ชายอีก 8 คนของเธอ ชีวิตครอบครัวของเธอไม่ได้สบายและค่อนข้างที่จะลำบาก พ่อของเธอทิ้งแม่ของเธอและลูกๆ เพื่อไปแต่งงานใหม่เป็นครั้งที่สาม (แม่ของเธอเป็นภรรยาคนที่สองของพ่อ) พร้อมกับไล่แม่และพวกเธอออกไปอยู่ที่อื่น เธอกับพี่น้องมีหน้าที่ที่ต้องทำการเกษตรเพื่อที่จะเอาพืชผลไปขายเเลกกับเงิน สมัยที่เธอโตมา เธอมีโอกาสได้ไปโรงเรียนซึ่งต่างจากสมัยพ่อและแม่ของเธอที่ไม่สามารถศึกษาหาความรู้ได้จากที่ไหนเลย เธอเรียนถึงแค่ชั้นประถม เพราะแม่เธอไม่สามารถหาเงินเป็นค่ารถเพื่อส่งเธอไปเรียนชั้นมัธยมในอีกเมืองได้ เธอจึงต้องกลับไปใช้ชีวิตกับการเกษตรกรรม แต่ตลอดเวลาที่เธอได้เรียนหนังสือหรือแม้กระทั่งสมัยที่เลิกเรียน ประธานาธิบดีของอิรักอย่างซัดดัม ฮุตเซนก็พยายามทุกวิธีทางที่จะทำให้ชาวยาซีดิสเปลี่ยนมาเป็นชนชาติของเขาและพยายามที่จะลบล้างชนชาติยาซีดิสทิ้งเสีย โดยหนทางหนึ่งที่ซัดดัมทำคือ เสนอการศึกษาให้ชาวยาซีดิส รวมไปถึงการปราศรัยผ่านช่องทางโทรทัศน์ด้วย แต่ว่าเนื้อหาทุกอย่างในตำราที่ใช้ในการเรียนกลับไม่มีการพูดถึงเชื้อชาติยาซีดิสเลย แถมภาษาในหนังสือก็ล้วนแต่เป็นภาษาอารบิก ทั้งๆที่ภาษาที่ชาวยาซิดีสพูดกันคือภาษาเคิร์ด แต่นั่นก็ทำให้เธอสามารถพูดภาษาอารบิกได้ และมีชีวิตรอดถึงทุกวันนี้ และในปี 2003 สหรัฐอเมริกาก็ได้บุกอิรักเพื่อโค่นล้มอำนาจของซัดดัม ฮุตเซนได้สำเร็จ เหตุการณ์นั้นก็ได้ทำให้เคิร์ดกลายมาเป็นประเทศที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของอิรักมีบทบาทและพัฒนาขึ้นเพราะเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา
1
หลังจากการสูญสิ้นอำนาจของซัดดัม และการเข้ามาของสหรัฐอเมริกา ยาซีดิสได้ถูกพัฒนามากขึ้น ผู้คนเริ่มเข้าถึงความเจริญอย่างโทรศัพท์ จานดาวเทียม เคิร์ดเข้ามาช่วยให้ยาซีดิสมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมไปถึงชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ และการที่มุสลิมนิกายชีอะห์มีอำนาจขึ้นมำให้ชาวมุสลิมนิกายสุหนี่กลับมีอำนาจลดลง ชาวมุสลิมสุหนี่จึงกลับพยายามทำลายสหรัฐอเมริกาและชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ โดยการสั่งสมกำลังพล ฝึกพวกเขาให้ออกรบและรู้จักแต่ความรุนแรง กำลังพลพวกนั้นก็คือกลุ่ม ISIS นั่นเอง
และวันที่ 14 สิงหาคม 2007 รถบรรทุกน้ำมันและรถอีก 3 คันได้ขับเข้าไปในใจกลางเมือง Siba Sheikh Khider และ Tel Ezeir และระเบิดตัวเอง ทำให้มีคนเสียชีวิตถึง 800 คนทั้งจากแรงระเบิดและติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง รวมไปถึงบาดเจ็บอีกรวม 1000 กว่าคน
และเรื่องที่ยิ่งมาเพิ่มความรุนแรงก็คือตอนที่ หญิงสาวที่ชื่อ Du’a Khalil Aswad พยายามที่จะเปลี่ยนศาสนาไปเป็นอิสลามและแต่งงานกับผู้ชายชาวมุสลิม (การเปลี่ยนศาสนาและแต่งงานนอกชนชาติเป็นเรื่องที่ผิดร้ายแรงสำหรับชาวยาซีดิสมาก) ครอบครัวของเธอปาหินใส่เธอจนเธอเสียชีวิต ข่าวการเสียชีวิตของเธอแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว และมันทำให้ทุกคนมองชาวยาซีดิสว่าเป็นพวกหัวรุนแรงและต่อต้านมุสลิม เหตุการณ์นั้นทำให้ชาวยาซีดิสต้องเป็นจำเลย สองสัปดาห์หลังจากการตายของ Du’a มือปืนของมุสลิมนิกายสุหนี่ก็หยุดรถบัสที่มีชาวยาซีดิสและฆ่าผู้โดยสารจำนวน 23 คนทิ้ง เหตุการณ์นั้นทำให้พวกเขาต้องเตรียมรับมือกับอีกหลายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น รวมไปถึงเหตุการณ์ต่อต้านรัฐบาลที่เริ่มต้นขึ้นที่ทูซีเนียลามไปยังซิเรีย ซีเรียเกิดสงครามกลางเมืองในปี 2012 และในปี 2013 กลุ่มผู้ก่อการร้ายที่เรียกตัวเองว่า ISIS (Islamic State of Iraq and al-Sham) ก็เริ่มก่อตัว และ 2 ปีหลังจากนั้น ISIS ก็ยึดครองกองทัพตอนเหนือของอิรักและพื้นที่ส่วนใหญ่ของซีเรียได้ และยังลามไปถึงเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของอิรักอย่าง Mosul
หลังการแผ่ขยายของ ISIS ผู้นำของยาซีดิสเลือกที่ยังคงอยู่ที่เดิมถึงต่อจะให้มีชาวบ้านบางจำนวนที่ย้ายออกไปแล้วเพราะกลัวความอันตรายที่จะเกิดขึ้น
วันที่ 3 สิงหาคม 2014 เหล่ากองกำลัง ISIS ขับรถบุกเข้ามาในหมู่บ้านของชาวยาซีดิสและโจมตีชาวยาซีดิสที่ไม่ยอมเปลี่ยนศาสนาเป็นมุสลิมหรือคนที่คิดจะหนี โดยการทั้งยิงทิ้งและฆ่าปาดคอ ส่วนพวกที่หนีออกมาได้ก็พยายามเอาตัวรอด โดยการหนีไปที่ภูเขา คนแก่และคนป่วยหลายคนล้มตายลงเพราะอากาศที่ร้อนจัดในตอนกลางวัน ผู้ชายและหญิงชราหลายร้อยคนถูกฆาตกรรมหมู่ เด็กชายและเด็กหญิงถูกลักพาตัว
ครอบครัวของเธอไม่ได้หนีไปไหนแต่ทั้งหมู่บ้านก็ถูกกักตัวไปด้วยเหล่าทหาร พวกเธอต้องใช้ชีวิตด้วยความอดอยากและยากลำบาก จนกระทั่งวันที่ 12 สิงหาคม ทุกคนในหมู่บ้านถูกบังคับให้เปลี่ยนศาสนา หรือไม่ก็ต้องจ่ายค่าปรับให้กับกลุ่มอิสลาม
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันทุกคนในหมู่บ้านก็ถูกบังคับให้ไปรวมตัวที่โรงเรียนของหมู่บ้าน หลังจากที่ทุกคนไปรวมตัว ISIS ก็ได้จับแยกชายหญิง พร้อมกับกวาดของมีค่าทั้งหมดของพวกเขาไป ฝ่ายชายหนุ่มโดนนำไปฆ่าหมู่โดยการกราดยิง ซึ่งพี่ชายทั้งสองคนของ Nadia เองก็โดนด้วย แต่ทั้งสองคนยังไม่ตายเพราะกระสุนไม่ได้โดนที่จุดสำคัญ ส่วนผู้หญิงและเด็กๆก็ถูกนำขึ้นรถบรรทุกเพื่อไปอีกที่
เมื่อไปถึงกลุ่ม ISIS ก็ได้จับผู้หญิงแยกออกเป็นแม่ คนชรา วัยสาวและเด็กๆ รถบรรทุกอีกคันมารับทุกคนไป บนรถที่ Nadia ขึ้นนั้น ทหารที่ดูแลรถก็ได้ลวนลามเธอด้วยการจับหน้าอกของเธอและหญิงสาวคนอื่นหลายต่อหลายครั้ง พอรถมาหยุดที่เมือง Tal Afar รถคันที่บรรทุกเด็กผู้ชายก็หยุดลงที่เมืองนี้ รถของเธอมุ่งหน้าไปต่อจนในที่สุดเธอก็รู้ว่าทุกคนบนรถของเธอถูกนำมาเพื่อเป็นทาสสำหรับระบายความใคร่เท่านั้น และอย่างที่บอกว่าตามความเชื่อของ ISIS ที่ได้บอกไว้ว่าการข่มขืนทาสไม่ได้เป็นบาปแต่อย่างใด และตอนที่เธอถูกลวนลามเธอได้กรีดร้องออกมา และนั่นทำให้เธอตกเป็นเป้าหมายของพวกทหาร
พอมาถึงที่หมายทหารเรียกเธอออกไปพร้อมกับจุดบุหรี่และจี้ลงมาที่ไหล่และอีกมวนจี้ไปที่ท้องของเธอเพราะเขาจำได้ที่เธอก่อความวุ่นวายด้วยการกรีดร้องบนรถ กลิ่นไหม้ของเสื้อผ้าและเนื้อโชยออกมา ผู้หญิงหลายคนในห้องนั้นถูกซื้อตัวไป บางส่วนก็พยายามฆ่าตัวตาย บางส่วนก็พยายามหาทางหนี พวกเธอถูกจับแยกและส่งตัวไปยังอีกที่หนึ่งอีกครั้ง อีกที่หนึ่งเธอถูกนำตัวไปให้ทหารร่างใหญ่ ระหว่างที่เธอกำลังกลัวเพราะเธอไม่อยากตกเป็นทาสสำเร็จความใคร่ของชายอ้วนผู้นั้น ปลายตาเธอได้หันไปเห็นชายผอมสูง เธอใช้พลังที่มีทั้งหมดเข้าไปหาชายคนนั้นและอ้อนวอนให้เขาพาเธอไปแทน ชายคนนั้นเป็นผู้พิพากษา เขาตกลงรับเธอไป
คืนแรกชายคนนั้นพยายามคุยกับเธอให้เธอพยายามเปลี่ยนศาสนา และพาเธอไปจดทะเบียนเพื่อเป็นทาสของเขาพร้อมกับบังคับให้เธอเปลี่ยนศาสนา เธอถูกเขาทำร้ายและข่มขืนหลายต่อหลายครั้ง เธอพยายามจะหนีออกจากบ้านหลังนั้นแต่เธอทำไม่สำเร็จ นั่นทำให้เธอถูกลงโทษอย่างหนักด้วยการถูกเฆี่ยนตีด้วยแส่และเหล่าทหารเพื่อนของคนที่ซื้อเธอไปรุมข่มขืน และเธอก็ถูกชายที่ซื้อเธอไปขายเธอต่อ เธอถูกเจ้าของใหม่ข่มขืนและพาไปทิ้งไว้ที่จุดตรวจระหว่างทาง ให้คนที่ผ่านไปมาสามารถข่มขืนเธอได้ เธอถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผู้หญิงชาวยาซีดิสคนอื่นๆก็ถูกกระทำอย่างโหดร้ายทารุณไม่ต่างกันกับเธอเธอถูกส่งต่อไปเรื่อยๆและข่มขืนจนกระทั่งเธอป่วย เธอถูกส่งมายังบ้านของทหาร ISIS ที่ชื่อ Amer ซึ่งบอกเธอว่า เธอจะต้องถูกส่งต่อไปยังซีเรีย เย็นวันนั้นขณะที่ Amer ออกไปซื้อของ เธอพยายามที่จะหนีอีกครั้ง
ครั้งนี้เธอหนีออกมาจากบ้านได้สำเร็จ เธอเดินไปตามถนนเพื่อหาความช่วยเหลือจนกระทั่งเธอมาหยุดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง เธอตัดสินใจเคาะประตูบ้านหลังนั้น และโชคดีที่คนในบ้านก็เป็นพวกต่อต้าน ISIS แต่ไม่สามารถหนีได้เพราะพวกเขาไม่มีเงิน พวกเขาช่วยเธอโดยติดต่อพี่ชายของเธอที่ไปทำงานอยู่ที่เคอร์ดิสถาน และพยายามวางแผนช่วยเธอหนีไปหาพี่ชาย อีกทั้งยังหาที่ทำบัตรประชาชนปลอมของอิรักให้เธออีกด้วย ครอบครัวนั้นให้เธอหนีไปพร้อมกับลูกชายของบ้านที่ชื่อ Nasser เพราะที่บ้านหลังนั้นก็กลัวว่าลูกชายของเขาจะถูกล้างสมองให้ถูกนำไปฝึกให้ร่วมรบกับทหาร ISIS เธอและ Nasser เดินทางออกมาและเข้าสู่เคอร์ดิสถานได้สำเร็จ Nadia เองยังคงอำพรางตัวและใช้บัตรประจำตัวประชาชนอิรัก จนกระทั่งพวกเขามาถึงเมือง Sulaymaniyah ทหารของฝ่าย PUK (ที่เมืองเคอร์ดิสถานมีทหารอยู่ 2 ฝ่ายคือ PUK และ KDP ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายขัดแย้งกันและนั่นเคยทำให้เกิดสงครามกลางเมืองในเคอร์ดิสถาน และทหารฝ่าย KDP ได้ละทิ้งชาวยาซีดิสตอนที่ถูกกลุ่มทหาร ISIS เข้าบุกยึด) ที่เมืองนั้นไม่ยอมให้พวกเขาผ่านเพื่อไปยังเมือง Erbil ที่ญาติของ Nadia รอเธออยู่ เธอจึงตัดสินใจบอกทหารที่นั่นถึงตัวตนที่แท้จริงของเธอ เธอสารภาพและเล่าเรื่องราวมากมายแต่ยกเว้นเรื่องราวครอบครัวของ Nasser เพราะครอบครัวเขายังคงอาศัยอยู่ภายใต้การปกครองของ ISIS รวมถึงเรื่องที่เธอถูกข่มขืนเพราะมันเป็นเรื่องที่ชาวยาซีดิสรับไม่ได้ และเธอกลัวครอบครัวของเธอจะต้องเสียใจ เหล่าทหารบันทึกเทปบทสัมภาษณ์ของเธอและ Nasser และปล่อยให้เธอเดินทางต่อไป
ไม่นานบทสัมภาษณ์ของเธอกับเหล่าทหารหลุดและถูกแพร่ภาพออกไป เธอเสียใจมากที่เธอถูกใช้เป็นเกมส์การเมือง เพราะในบทสัมภาษณ์ เธอเองก็กล่าวว่าทหาร KDP เอาไว้ อีกทั้งค่ายผู้อพยพที่เธอกำลังจะไปอาศัยก็อยู่ภายใต้การดูแลของทหารฝ่าย KDP เเละในที่สุดเธอก็สามารถรวมตัวกับญาติของเธอได้ ญาติของเธอค่อยๆหนีออกมาได้ทีละคนด้วยการช่วยเหลือแบบต่างๆ รวมไปถึง Jilan ภรรยาของพี่ชาบของเธอ Hezni หนีออกมาได้เพราะการช่วยเหลือของภรรยาของทหาร ISIS คนหนึ่งที่ซื้อเธอไว้เป็นทาส ภรรยาของเขาไม่พอใจที่สามีเธอมีทาสเป็นสาวยาซีดิส เธอจึงร่วมมือกับ Hazni ให้ทหารบุกเข้าไปทิ้งระเบิดใส่รถสามีตัวเองจนเสียชีวิตและพา Jilan หนีออกมา
หลังจากเหตุการณ์นี้พี่ชายของเธอ Hezni กลายเป็นผู้ช่วยเหลือหญิงที่ถูกจับไปเป็นทาสแบบ Nadia พี่ชาย Saeed ต้องอยู่กับฝันร้ายทุกคืน Saoud ต้องอยู่กับความรู้สึกผิดที่ตัวเองหนีรอดออกมาในค่ายผู้อพยพได้ ส่วน Malik หลานของเธอก็ถูกล้างสมองและกลายเป็นผู้ก่อการร้าย ISIS เธอยังได้รับข่าวว่าแม่ของเธอถูกฆ่าตายที่เมือง Solagh ส่วนญาติคนสนิทของเธอ Kathrine เสียชีวิตจากการเหยียบกับระเบิดตอนที่หนีเอาตัวรอดเพื่อข้ามชายแดนมายังเคอร์ดิสถาน รวมไปถึงพี่ชายอีก 6 คนของเธอก็เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ด้วย
เธอย้ายมาอยู่ที่เยอรมันเพื่อไปทำหน้าที่เป็นนักเคลื่อนไหวบอกเล่าเรื่องราวของเธอ และเรียกร้องความข่วยเหลือจากนานาประเทศ และเดือนในเดือนพฤศจิกายน 2015 หลังจากที่ ISIS เข้าบุกยึดเมือง Kocho ได้ 1 ปีกับอีก 3 เดือน เธอก็ได้เดินทางไปที่สวิตเซอร์แลนด์เพื่อไปร่วมงานปราศรัยของสหประชาชาติ รวมถึงได้ไปที่นิวยอร์กเพื่อเป็นตัวแทนของผู้ที่รอดชีวิตจากการตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ รวมถึงได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพและก่อตั้งสถาบันเพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูเหยื่อจากการสังหารหมู่และการค้ามนุษย์อีกด้วย
Credit photo : Google
โฆษณา