6 ม.ค. 2020 เวลา 02:00 • ประวัติศาสตร์
เส้นทางธารน้ำตา (Trail of tears) การกวาดต้อนชนเผ่าพื้นเมืองของรัฐบาลอเมริกันและขับไล่ชนเผ่าพื้นเมืองออกไปจากแผ่นดินบรรพบุรุษ
เส้นทางธารน้ำตา (Trail of tears) เป็นประวัติศาสตร์ที่น่าสลดช่วงหนึ่ง
เป็นเวลาหลายชั่วคนที่ดินแดนในแถบตะวันออกของแม่น้ำมิสซิปซิปปีเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าพื้นเมืองกว่าห้าชนเผ่า
แต่ในยุค 1790 (พ.ศ.2333-2342) ชนผิวขาวได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มบุกเบิกที่ดินเพื่ออาศัยและทำการเกษตร
เมื่อได้เกิดรัฐต่างๆ ขึ้นในอเมริกา ชนผิวขาวก็เริ่มมองชนเผ่าพื้นเมืองเหล่านี้เป็นก้างขวางคอ ชนผิวขาวจึงเริ่มคิดที่จะหาทางกำจัดชนเผ่าพื้นเมืองไปให้พ้นทางผ่านนโยบาย “อารยธรรม” ซึ่งคือการนำอารยธรรมเข้าไปยังชนเผ่าพื้นเมือง กลืนกินชนเผ่าพื้นเมือง
3
แต่การนำอารยธรรมเข้าไปสู่ชนเผ่าพื้นเมืองก็ไม่เคยได้มีการนำไปใช้จริงๆ จนเข้าสู่ยุค 1830 (พ.ศ.2373-2382) ประธานาธิบดี “Andrew Jackson” ได้มีนโยบายที่จะขยายเศรษฐกิจของประเทศ และต้องการจะขยายพื้นที่ปลูกฝ้าย
ประธานาธิบดี Jackson จึงได้ตัดสินใจที่จะให้ย้ายชนเผ่าเหล่านี้ไปยังพื้นที่ห่างไกลนับ 100 ไมล์
Andrew Jackson
แต่แทนที่จะตกลงดีๆ กับชนเผ่าพื้นเมือง ท่านประธานาธิบดีได้ทำการกดดันให้ชนเผ่าพื้นเมืองย้ายออกด้วยวิธีการต่างๆ นาๆ ไม่ว่าจะเป็นการตัดงบประมาณของชนเผ่าพื้นเมือง ไม่จ่ายเงิน รวมทั้งยังอนุญาตให้รัฐทางใต้ทำลายการปกครองของชนเผ่า ไม่ว่าจะเป็นการไม่อนุญาตให้ชนเผ่าทำเรื่องฟ้องร้องต่อศาล ไม่ยอมรับกฎของชนเผ่า
เมื่อถูกกดดันหนักเข้า ชนเผ่าแต่ละชนเผ่าก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องย้ายไปยังพื้นที่ห่างไกล ซึ่งทุรกันดารมาก และทำให้ชนเผ่าพื้นเมืองเสียชีวิตนับพัน ซึ่งสาเหตุการเสียชีวิตนั้น ก็มาจากโรคต่างๆ ความอดอยาก และอุบัติเหตุระหว่างทาง
แต่ก็ได้มีนักการเมืองฝั่งสหรัฐเองที่เห็นใจชนเผ่าพื้นเมืองและพยายามช่วยเหลือ พยายามนำเรื่องนี้ขึ้นศาล แต่ประธานาธิบดี Jackson ก็ได้จัดการซื้อตัวคู่แข่งของฝ่ายที่ต้องการจะช่วยเหลือชนเผ่าพื้นเมืองให้เข้ามาสนับสนุนตน จนไม่มีใครสามารถช่วยเหลือชนเผ่าพื้นเมืองได้
ในช่วงต้นยุค 1830 (พ.ศ.2373) ได้มีชนเผ่าพื้นเมืองอาศัยอยู่ในดินแดนที่ถูกขับไล่กว่า 125,000 คน แต่ผ่านไปเพียงไม่ถึง 10 ปี ชนเผ่าเหล่านั้นก็ถูกขับไล่ออกไปเกือบหมด
ชนเผ่าพื้นเมืองกว่า 100,000 คนต้องถูกขับไล่ และมีผู้เสียชีวิตกว่า 15,000 คนในเส้นทางธารน้ำตานี้
นับเป็นประวัติศาสตร์ที่น่าสลดบทหนึ่ง
โฆษณา